วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๒๙


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)




พอมาทำงาน รามจึงได้รู้ แค่วันเดียวที่เขาปิดประตูอยู่บ้าน เกิดเรื่องวุ่นวายน่าหนักใจไม่ทันให้ตั้งตัว

เงินบัญชีกงสีถูกอายัด รายได้ทุกกิจการของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลถูกตรวจสอบละเอียด พบช่องโหว่เงินรั่วไหลมากมาย มีลายเซ็นเบิกจ่ายของรามและสมุทรกำกับ เมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคาร กระแสเงินหมุนเข้าออกของคนทั้งสอง ปรากฏมีเงินไหลเข้าออกจำนวนมาก ตรวจย้อนหาต้นตอของเงินเหล่านั้น พบว่ามาจากกิจการต่างๆ ของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลและบริษัทกงสี

นอกจากนี้ยังมีจดหมายเป็นทางการ พร้อมสำเนาหลักฐานจากลักษณ์ ถึงรามและสมุทรว่า...จากหลักฐานทั้งหมดที่แนบมานี้ จะถูกนำไปใช้ฟ้องศาล ข้อหายักยอกเงินบริษัท

“ไอ้ห่าเอ๊ย...ศาลที่ไหนจะรับฟ้องวะ เจ้าของบริษัทยักยอกเงินตัวเอง” รามเดือดจัด

“หลักฐานเฮียลักษณ์มันก็ชัดนะเฮีย...ผมว่าเราปรึกษาทนายก่อนดีกว่า ว่ามันจะฟ้องเราได้จริงมั้ย” สมุทรไม่วางใจ

“เฮ่ย...อย่าตื่นตูมเลยวะ เรามีลายเซ็นเบิกถอนเงินก็จริง แต่ในพินัยกรรมระบุชัดแล้วว่าลายเซ็นทายาทสองในสามก็สามารถใช้เบิกเงินกองกลางได้”

“ในจดหมายเฮียลักษณ์บอกว่า...ถ้าทายาทอีกคนไม่ยินยอม ลายเซ็นสองคนก็ไม่เป็นผลนี่เฮีย”

“มันโกหกน่ะสิ...ไม่มีในเงื่อนไขพินัยกรรม ไม่มีในระเบียบข้อยกเว้นของบริษัท ไอ้ลักษณ์มันขู่เราไปอย่างนั้นเอง” รามทำเป็นพูดปลอดโปร่งทั้งที่จริงไม่มั่นใจนัก

“แต่ผมว่าเราปรึกษาทนายก่อนดีกว่านะเฮีย”

“เฮ่ย ไม่จำเป็น เราไปลากคอไอ้ลักษณ์ออกมาพูดกันตรงๆ ดีกว่า... ไอ้ห่าเอ๊ย...พี่น้องกันแท้ๆ พูดกันไม่รู้เรื่อง ต้องมาทำเป็นขึ้นโรงขึ้นศาลหาทนายสู้คดี...ทุเรศ”

รามพูดตามความรู้สึก สำหรับเขา...พี่น้องต่อให้โกรธกันแทบเป็นแทบตาย ก็น่าจะพูดจากันได้ ด่ากันบ้าง ทะเลาะลงมือกันบ้าง เป็นเรื่องในครอบครัว ไม่สมควรให้คนนอกเกี่ยวข้อง

“งั้นเราโทรหาเฮียลักษณ์กัน”

สมุทรคล้อยตามแต่ปาก ในใจรู้ชัดเจน ลักษณ์เอาจริงแน่ ถ้าพี่ชายคนนี้บอกจะฟ้องศาล ก็หมายความว่าฟ้องแน่...ไม่ขู่...

ลักษณ์ผิดกับรามตรงที่สุขุม รอบคอม และมีมันสมองมากกว่า คิดอ่านซับซ้อน ก้าวไกล ยากมีใครตามทัน ผิดกับรามที่ตรงไปตรงมา ชัดเจน บอกทำอะไรเป็นทำ ไม่คิดมาก ไม่มีแผนการซับซ้อน แบบนักเลงลูกทุ่ง ถนัดออกรบมากกว่าวางแผน

รามกดโทรศัพท์ถึงลักษณ์ทันที ปรากฏว่ามือถือปิด ไม่รับสาย โทรไปหาที่โรงแรม เลขาลักษณ์บอกว่าเจ้านายลางานสองสามวัน ไม่บอกไปไหน

โทรศัพท์ไปที่บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลมีเสียงรุ่งรตีรับสาย

“พ่อไม่อยู่หรอกลุง” หญิงสาวตอบแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว

“มันไปไหนล่ะ” รามมีน้ำเสียงฉุนเฉียว

“เห็นบอกว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศสักวันสองวันค่ะ” รุ่งรตีตอบ พลางนึกขุ่นใจตามอารมณ์ฝ่ายตรงข้าม

“ไปไหนมันบอกมั้ย” คำถามคาดคั้น

“ไม่รู้” หญิงสาวเริ่มเสียงแข็งตอบ หล่อนไม่ใช่คนอารมณ์เย็นพอจะถูกใครไล่จี้แล้วเฉย

“อะไรกัน เป็นพ่อลูกกัน ไปไหนทำไมไม่บอก”

รามเอะอะโวยวายใส่โทรศัพท์ ความหงุดหงิดที่โทรถามหลายแห่งแล้วไม่ได้เรื่องจึงพาลใส่หลานสาว...รุ่งรตีเป็นเด็กรุ่นหลาน เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

โทสะรุ่งรตีพุ่งปรี๊ด ปกติหล่อนไม่เคยมีความอดทนต่ออารมณ์ใครอยู่แล้ว ขนาดพ่อตัวเองหล่อนยังไม่ค่อยยอมอ่อนข้อ นี่เป็นลุง...ที่ดูกำลังจะมีปัญหากับพ่อด้วยซ้ำ หญิงสาวไม่รู้สึกผิดอะไรถ้าจะ “วีน” ใส่ ในฐานะลูกสาวพ่อ

ขณะจะขยับปากตอบโต้ด้วยวาจาแรงอย่างเคย สติก็กระตุกปิดริมฝีปากไว้ ระลึกถึงความใส อ่อนเย็นของคุณจิตใสขึ้นมา

ความที่อยู่ใกล้คน “เย็น” มาพักหนึ่ง จะมากน้อยจิตก็สัมผัสคุ้น มีความติดใจในความเย็นเช่นนั้นเหมือนกัน

“ขอโทษค่ะลุง” รุ่งรตีแปลกใจน้ำเสียงตน ที่ฟังอ่อนโยนเหมือนรินน้ำออกจากใจแจ่มใส “รุ้งไม่ทราบจริงๆ เมื่อเช้าพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้าน บอกคนรถให้ขับเข้ากรุงเทพฯ ไปสนามบินแล้วบอกรุ้งว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศสักสองสามวัน รุ้งเองก็ไม่ติดใจถามอะไร แค่สองสามวันพ่อคงไปใกล้ๆ แถวฮ่องกง สิงคโปร์ อย่างมากไม่น่าเกินญี่ปุ่น เกาหลี จีน อะไรแถบนี้แหละค่ะ”

รุ่งรตีพูดไหลเรื่อย ใจปลอดโปร่ง...ชั่วขณะนั้นเองที่มองเห็นใจตนชัดเจน...จิตขณะมีโทสะเป็นเช่นไร...จิตขณะไม่มีโทสะปลอดโปร่งเพียงไหน

รามถอนใจหนักๆ ใส่โทรศัพท์

“มันบอกวันกลับที่แน่นอนมั้ย” ความใจเย็นของหลานสาวทำให้รามอารมณ์เย็นตาม

“เปล่าค่ะลุง...เอาอย่างนี้มั้ย ถ้าพ่อกลับมารุ้งจะโทรไปบอก หรือไม่ก็ให้พ่อโทรไปหาลุงก็ได้”

รามถอนใจอีกครั้ง

“ก็ดี...บอกมันด้วยว่าลุงมีเรื่องสำคัญมาก ต้องการคุยกับมันเร็วที่สุด”

วางหูโทรศัพท์หลานสาว มองน้องชายที่นั่งรอฟังข่าว อารมณ์สับสนปนเป ยากอธิบาย

“เป็นยังไงบ้างเฮีย เจอตัวมั้ย” สมุทรถามทั้งที่เดาคำตอบได้

“มันไปต่างประเทศ ประเทศห่าอะไรก็ไม่รู้” พูดแล้วอารมณ์เสีย

“อย่างนี้ต้องเป็นแผนแน่ๆ” สมุทรพูด

“แผนอะไรวะ” รามสงสัย

“เฮียลักษณ์กำลังเก็บหลักฐานเล่นงานเราไง ตอนนี้คงแอบเก็บตัวปรึกษาทนาย...เชื่อได้เฮียลักษณ์ต้องอยู่เมืองไทยนี่แหละ ไม่ได้ไปประเทศไหนหรอก อย่างมากแค่กรุงเทพฯ ไม่เชื่อโทรเช็คสายการบินเดี๋ยวนี้ยังได้”

คำพูดของสมุทรมีเหตุผล คนเป็นพี่ชายไตร่ตรองตาม รามไม่ใช่คนโง่ แต่ไม่ใช่คนวางแผนหลายชั้น พอมีคนกระตุก ชี้ให้มองอีกมุมก็เห็นจริงตาม

อาจเป็นอย่างที่สมุทรบอก หลักฐานที่ส่งมาอาจไม่พอเล่นงานได้ ลักษณ์จึงแอบซุ่มค้นหาหลักฐานอื่น ปรึกษาทนาย พอได้หลักฐานครบก็ให้ทนายทำเรื่องยื่นฟ้องศาลทันที

“เอายังไงดีวะ” รามขอความเห็น

“ผมจะไปคุยกับทนาย ดูว่าเราจะตั้งรับยังไง...อีกอย่างถ้าเฮียบอกว่าหลักฐานที่เขามีไม่น่าฟ้องเราได้ ผมก็จะคุยกับทนายว่าเราจะเล่นงานเฮียลักษณ์กลับแบบไหน”

ฟังแล้วรามหดหู่ใจ ใบหน้าแม่ที่นองน้ำตาลอยมาในความทรงจำ...ในฝันนั้นเขาไม่รู้แม่ร้องไห้ด้วยเหตุใด รู้แค่ว่าแม่เศร้ามาก...เรื่องเศร้าของแม่จะเกี่ยวกับการที่ลูกต่างตั้งป้อมสู้กัน เพื่อช่วงชิงสมบัติที่แม่ลำบากสะสมมาทั้งชีวิตหรือไม่



สุขศจีเพิ่งเสร็จจากการคุยธุระสำคัญ น่าแปลกที่หล่อนควรจะมีความหนักใจ กังวลใจบ้างหลังจากคุยธุระครั้งนี้ แต่ก็เปล่า...หล่อนรู้สึกเหมือนพูดจากับคนห่างไกล คุยด้วยเรื่องไกลตัว

“ถ้าขึ้นศาลคงต้องใช้เวลาสู้คดีกันนาน” จำได้หล่อนบอกต่อปลายสายอย่างนั้น

“แล้วเงินของคุณล่ะ” คำถามฟังไม่เหมือนเป็นห่วงหล่อน

“ก็น่าจะถูกคุ้มครองประโยชน์ หรือไม่ก็โดนอายัดทั้งหมด จนกว่าจะสิ้นสุดคดี”

“พวกพี่ชายคุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” คนพูดฉุนเต็มที่

“คุณยังไม่รู้จักพวกพี่ชายจี...นี่แหละครอบครัวของฉัน” ท้ายเสียงเยาะหยัน

“แล้วผมจะทำยังไง ทางนี้ก็ต้องการใช้เงินเหมือนกัน” คนพูดเสียงอ่อนลง

“จีให้คุณไปเยอะแล้วนะ ถ้าเกิดไปเรียกร้องเอาอะไรมากกว่านี้ เขาจะสงสัยเอา”

“ผมเข้าใจ แต่คุณก็รู้ว่าทางนี้เราลงทุนไปไม่น้อยกว่าผมจะได้ตำแหน่ง ตอนนี้เราจำเป็นต้องใช้เงินปรับปรุงทุกอย่างให้เข้ารูปเข้ารอย”

“ฟังดูแล้ว จีเริ่มรู้สึกว่าเราลงทุนสูญเปล่า”

“ไม่หรอก ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ลงตัว รายได้ของเราจะมหาศาล เรา ซื้อ คนไว้เป็นพวกตั้งมากแล้ว เมื่อไหร่ที่ผมได้ครอบครองทั้งหมด สิ่งที่ผมจะคืนให้คุณ มันมากกว่าที่คุณให้ผมร้อยเท่า”

สุขศจีเชื่อ เห็นจริงตามคำพูดเขา “ธุรกิจ” ที่เขาทำ มีผลตอบแทนสูง...นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่หล่อนร่วมหัวจมท้ายกับเขาด้วย

“หลิง” สุขศจีเรียกชื่อเขาหนักแน่น “สัญญาได้มั้ย อย่าให้จีต้องรอนาน”

คำพูดหล่อนมันกินความหมายยิ่งกว่าการรอคอยผลตอบแทนทางธุรกิจ...สิ่งที่หล่อนรอ...คือตัวเขาด้วย

“สัญญา” คำตอบกลับมารวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาคิด “มาถึงขั้นนี้ผมก็จะรออีกไม่ได้ ถ้าหากผมต้องทำอะไรบางอย่างไป คุณจะขัดข้องหรือเปล่า”

“ทำอะไร” ขณะถามจิตใจหล่อนหายวูบไร้สาเหตุ

คำตอบหลิงเนิบช้า...หนักแน่นเหมือนผ่านการครุ่นคิดไตร่ตรองดีแล้ว

สุขศจีตัวชาวาบ ใจหล่อนวูบตลอดระยะเวลาที่นั่งฟังเขาพูดจนจบ

“จำเป็น...ด้วยหรือ” คำพูดหล่อนยังชัด...ทว่าเนื้อเสียงไม่หนักแน่นเช่นเคย

“จำเป็น” อีกฝ่ายตอบมั่นคง “ผมบอกแล้ว เราจะรออีกไม่ได้”

“แต่...” สุขศจีเกิดความลังเลใจชั่ววูบ

“ผมรักคุณ” คำพูดนั้นก่อให้เกิดกระแสอุ่นวาบในใจหล่อน “ยิ่งรอนานอนาคตยิ่งไม่แน่นอน...คุณอยากให้เราสองคนอยู่กันอย่างนี้ตลอดไปหรือ”

“ได้” คำตอบของหล่อนสั้น ไม่ได้ตัดสินใจด้วยสมอง หากแต่ตอบด้วยคำเรียกร้องของหัวใจ

“ดี...ถ้างั้นผมจะจัดการเลย”

สุขศจีไม่ตอบคำ...จากนั้น...ค่อยปิดโทรศัพท์

...น่าแปลกที่หล่อนควรจะมีความหนักใจ กังวลใจเกิดขึ้นบ้าง...แต่ก็เปล่า...หล่อนรู้สึกเหมือนพูดจากับคนห่างไกล...คุยด้วยเรื่องไกลตัว...



สมุทรอยู่ที่กรุงเทพฯ หลังจากนำหลักฐานทั้งหมดมาปรึกษาทนาย คำตอบได้รับยังคลุมเครือไม่ชัดเจน ไม่มีการฟันธงว่า...ชัวร์คุณชนะคดีแน่...หรือ...ไปคุยกับพี่ชายคุณเถอะ...ดูแล้วเราไม่มีโอกาสสู้เลย

คำตอบที่มี...ดูเหมือนจะชนะ...ถ้า...ไม่ก็...เขาคงทำอะไรคุณไม่ได้หรอก....ถ้า...คำแนะนำออกมาประมาณว่า...ลองตั้งเรื่องสู้ดูก่อนมั้ย...เตรียมหลักฐานมายันกับเขาดู...

ทั้งหมดเป็นคำพูดที่สมุทรฟังแล้วไม่เกิดความสบายใจ สุดท้ายไปหาภรรยาที่บริษัทเพื่อคุยปรึกษาหาวิธีแก้ไข

“ตอนนี้เห็นจะพึ่งเฮียแกไม่ได้แน่” สมุทรบอกกับภรรยาอย่างนั้น

“จริงด้วย...เฮียรามแกตามเฮียลักษณ์ไม่ทันหรอก” เกตุแสดงความเห็นเชิงคล้อยตาม

“แล้วเราจะจัดการยังไงดี” สมุทรถามความเห็นภรรยา

“เฮียรามแกว่ายังไงล่ะ”

“แกก็รอให้เฮียลักษณ์กลับจากต่างประเทศก่อนค่อยคุยกัน”

สมุทรพูดอย่างเบื่อๆ...ต่อให้คุยกันกี่ครั้งก็ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีกรอบ

“ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องต้องขึ้นศาล สมบัติส่วนของเราก็ยังเอาออกมาใช้ไม่ได้ใช่มั้ย” เกตุถามทั้งที่รู้

“คงทำนองนั้น”

“เราจะทำยังไงดีล่ะ” คนเป็นภรรยาพูดเหมือนต้องการหารือ

“ตอนนี้เรามีปัญหาอะไร” สมุทรเข้าใจความหมายคำพูดภรรยา

“หลายเรื่อง ทุกเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินทั้งนั้น”

สมุทรฟังแล้วปวดหัว อยากตะโกนลั่น...

“อะไรกัน ฉันเพิ่งเอาเงินกงสีมาให้เธอไม่นานนี้เอง...จะเอาอะไรกันอีก...” แต่ไม่กล้าพูด

“เรื่องอะไรบ้าง” เขาสะกดใจถาม

“ลูกเราน่ะสิ” เกตุเลือกพูดเรื่องลูกก่อน ถึงอย่างไรคนเป็นพ่อแม่ย่อมไม่ใจแข็งกับลูก

“เห็นบอกว่าซัมเมอร์นี้ เพื่อนชวนไปเข้าแคมป์ที่อังกฤษ”

“นานมั้ย” สมุทรถาม

“เดือนนึง”

ภรรยาตอบเช่นนี้ คนเป็นสามีสามารถคำนวณเงินรายจ่ายทันทีว่าประมาณเท่าไหร่...ลูกสาวลูกชายวัยรุ่น เรียนโรงเรียนนานาชาติ ค่าเทอมแพงหูฉี่...แถมช่วงปิดเทอมยังมีโปรแกรมซัมเมอร์แคมป์ตามประเทศต่างๆ อีก นัยว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ ให้เด็กเปิดหูเปิดตา เรียนรู้สังคมวัฒนธรรมจากประเทศเจ้าของภาษาโดยตรง

“เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” สมุทรตอบเช่นนี้เท่ากับเห็นด้วย เพื่อลูกเท่าไหร่เท่ากัน ลูกของรามโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วแท้ๆ ยังหาเรื่องเรียนต่อต่างประเทศผลาญเงิน ไม่ยอมกลับมาช่วยพ่อแม่ทำงาน รุ่งรตีลูกสาวของลักษณ์ก็ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เรียนอะไรไม่จบสักอย่าง กลับมาเมืองไทยตั้งนาน ยังไม่คิดทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราว ดูแล้ว ลูกของเขายังมีอนาคตกว่าลูกพี่ๆ ตั้งเยอะ

“แล้วทีนี้...” เกตุเข้าสู่ประเด็นที่สอง “เกตุเก็งหุ้นพลาดไปหน่อย หุ้นที่ช้อนซื้อไว้มันตกฮวบอีก ขาดทุนเยอะเหมือนกัน”

ถ้าภรรยาเขาบอกว่า “ขาดทุนเยอะ” สมุทรก็มองเห็นตัวเลขไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดหลักปลิวหายไปต่อหน้า ยังไม่กล้าถามตัวเลขแน่นอนเวลานี้ กลัวคำตอบที่ได้รับจะเป็นเลขขนาดแปดหลักปลายๆ จนเกือบถึงเก้าหลัก ซึ่งตอนนั้น คงต้องกินยาแก้ปวดหัวเป็นกำมือแน่

“แล้วบริษัทของเราล่ะ” สมุทรถามถึงกิจการบริษัทหลังจากซื้อหุ้นคืนจากหุ้นส่วนชาวต่างประเทศ

“ก็...พอไปได้” เสียงอ่อยๆ ของเกตุฟังไม่ค่อยน่าเชื่อนัก

“ได้แค่ไหน” สมุทรย้ำถาม

“พอทรงตัว ช่วงนี้หนี้เน่าเยอะ มีรายชื่อลูกหนี้กองเต็มรอฟ้องอยู่”

สมุทรถอนใจหนัก มิน่า...เกตุถึงบอกว่ามีปัญหาหลายเรื่อง...ทุกเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินทั้งนั้น ไม่มีเรื่องไหนตัดทิ้งได้เลย

ขาดทุนหุ้น...ต้องใช้เงินโปะ...บริษัทมีหนี้เสียมากเกิน ขาดสภาพคล่อง ต้องใช้เงินมาหมุน ทุกเรื่องสำคัญทั้งนั้น แม้กระทั่งลูกจะไปเข้าแคมป์ที่อังกฤษ

“เกตุถึงบอกคุณแล้วไง ว่าถ้าพวกพี่คุณเขาจะขึ้นศาล เราต้องลำบากแน่”

ใช่...ลำบากจริงๆ เพราะขาดรายได้ประจำจากบริษัทกงสีมาต่อชีวิต

“เราจะทำยังไงดี” สมุทรบ่นพึมพำกับตัวเอง

“จริงด้วย...เราจะทำยังไงดี”

เกตุทำเป็นคล้อยตามสามี...หล่อนมั่นใจ เขาต้องหาวิธีเอาตัวรอดได้...ที่ผ่านมาหล่อนกล้าทำธุรกิจ กล้าลงทุนซื้อหุ้นเก็งกำไรแบบผู้หญิงเก่ง ใจถึง ทำงานแถวหน้าก็เพราะเชื่อในแบ็กของสามี ต่อให้ล้ม ทำธุรกิจพลาด ก็มีเงินมาค้ำยันจุนเจือ

ตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลรวยจริง...ไม่ใช่รวยแบบมหาเศรษฐีหมื่นล้านแสนล้านในกรุงเทพฯ ที่ตัวเงินจริงเป็นตัวเลขในจอคอมพ์ กระดาษขึ้นลงตามมูลค่าหุ้น แถมยังมีหนี้สินติดตามเป็นพะเรอ ต้องทำงานหนัก ใช้เวลาแทบทั้งหมดพยุงธุรกิจให้มีกระแสเงินหมุน รักษาภาพมหาเศรษฐีหมื่นล้าน

ตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลดำเนินธุรกิจอย่างใจเย็น อยู่ต่างจังหวัด มีกิจการที่แปรเป็นเงินได้โดยแทบไม่มีความเสี่ยง แบบเดียวกับมีห่านทองคำเป็นฝูงออกไข่ให้ทุกวัน หนี้สินอะไรแทบไม่มี แถมยังมีเงินทุน พันธบัตร ทองคำ นอนสำรองอยู่ในธนาคาร ยืนยันได้ว่า ตระกูลนี้ไม่จนง่ายๆ

สมุทรกำลังคิดหนัก เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้เงินตามปกติ ไม่ยอมให้มีการขึ้นศาลอายัดทรัพย์ยืดเยื้อ ถ้ามีวิธีไหนทำได้ เขามั่นใจจะทำโดยไม่ลังเลเลย



วันนี้คุณจิตใสได้รับกระแสร้อนรุ่ม รบกวนใจแต่เช้า พยายามวางใจเฉย มองมันเป็นสิ่งกระทบชั่วขณะแล้วผ่านเลยนอกกายนอกใจ มันกลับเฝ้าเวียนมากวนไม่หยุดหย่อน สุดท้ายสำรวมจิตมองมันตรงๆ ว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่

ภาพคุณนายพวงทองปรากฏในนิมิต

ใบหน้าหมองเศร้า น้ำตานองหน้า บรรยากาศรอบกายอับทึบ หดหู่ มีแต่กระแสความทุกข์ล้อมรอบ เห็นแล้วได้แต่แผ่เมตตา...แต่กระแสความเย็นแห่งเมตตาเหมือนสาดน้ำโดนครอบแก้วไม่อาจกระทบถึงคุณนายพวงทองสักกระผีก

คุณจิตใสลุกจากร้านของชำไปยังร้านขายต้นไม้ของสามี เพื่อถามไถ่หาเหตุผล...ไปถึงพบลูกชายนั่งคุยกับพ่ออยู่แล้ว

“เออแน่ะ คราวนี้แม่ลูกใจตรงกัน เดินมาหาพ่อได้” นายพลทางธรรมทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แล้วมาปรึกษาเรื่องเดียวกันหรือเปล่า”

คุณจิตใสมองหน้าเชน เห็นสีหน้าแววตาเขาแล้วก็ตอบสามี

“ท่าจะเรื่องเดียวกันแหละพ่อ”

“แม่มาเรื่องคุณยายใช่มั้ยครับ” เชนทักถูก

ได้ยินลูกชายพูด คุณจิตใสค่อยผ่อนคลายลง แสดงว่าคุณนายพวงทองพยายามส่งสารถึงทุกคนเท่าที่ทำได้

“ของลูกเป็นยังไง” คุณจิตใสถาม

“เมื่อคืนฝันว่าแกมาร้องไห้อยู่ปลายเตียงครับ ถามอะไรก็ไม่ตอบ เงียบสนิท เหมือนมีกำแพงมากั้น วันนี้ก็อีก...ตั้งแต่เช้าเลย จะทำอะไร เดินไปไหน ก็เห็นภาพแกแวบมาตลอด แต่แปลกที่พอผมพยายามจะติดต่อแกเหมือนเคย มันก็ตันๆ พิกล เหมือนโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ...ทุกครั้งที่เห็นแกคล้ายกับแกอยู่ในครอบแก้วอะไรสักอย่าง หรือแบบอยู่ในจอทีวี ที่เรามองเห็นอย่างเดียว แต่สัมผัสติดต่อกันไม่ได้”

คุณจิตใสรู้ชัด ดวงวิญญาณคุณนายพวงทองถูกกระแสกรรมครอบเอาไว้ แกพยายามเต็มที่จะติดต่อกับทุกคนเพื่อบอกข่าว...เช่นเคย

“พวกบ้านนั้นเขามีเรื่องอะไรกันอีกหรือเปล่า” ท่านนายพลเอ่ยถามทั้งสอง

“ครับ” คราวนี้เชนตอบได้ “เห็นรุ้งบอกว่าน้าลักษณ์จะยื่นฟ้องศาลเรื่องที่น้ารามกับน้าหมุดยักยอกเงินบริษัท”

หลังฟังคำตอบท่านนายพลนิ่งไปชั่วครู่ ใช้จิตสัมผัสจิตคนทั้งสาม ครู่เดียวก็ถอนใจ พูดเสียงอ่อนเบา

“พวกเขาร้อน...ทั้งสามคน แล้วก็เหมือนมีเงาดำๆ บางอย่างอยู่ใกล้จนน่ากลัวแทน”

“เราจะช่วยเขาได้ยังไงครับ” เชนร้อนใจอยากช่วยเหลือ

“พ่อรู้เท่าที่บอก...ถ้าถามว่าควรจะช่วยพวกเขายังไง คำตอบง่ายนิดเดียว...แต่ดูท่าไม่มีทางทำได้”

“ทำยังไงครับ...ผมจะพยายาม” เชนกระตือรือร้น

“บอกพวกเขาให้ลดไฟในใจลง โอนอ่อนให้แก่กัน ยอมถอยหลังคนละหลายๆ ก้าว มีความรักสามัคคี...เท่านี้ ก็น่าจะทำให้เงาดำนั้นไม่มีโอกาสทำร้ายพวกเขาได้”

คำตอบบิดาแทบจะมีตราประทับ...”ไม่อาจปฏิบัติตาม”...ติดมาด้วย เชนถอนใจหนักหน่วง ความอยากช่วยเหลือทำให้จิตใจร้อนรุ่น กระวนกระวาย

“จำคำสอนของท่านอาจารย์ได้มั้ยลูก” คุณจิตใสสัมผัสความร้อนรุ่มจากบุตรชายจึงเอ่ยปากทัก

“ครับ” ชายหนุ่มได้สติ...เมื่อสติเกิด ความคิดเก่าก็ดับ...ความคิดใหม่ผุดขึ้นแทนที่...

...ต้องรู้จักยอมรับใน “ผล” ของ “กรรม” ในแต่ละสัตว์ แต่ละบุคคล...โดยไม่เอาใจเราเข้าไปแทรกแซง...

คำสอนของท่านอาจารย์กังวานชัด พอระลึกได้ หัวอกค่อยผ่อนคลาย มองความร้อนรุ่มเมื่อขณะจิตที่ผ่านมากลายเป็นภาพมายา ไม่อาจตั้งมั่นอยู่ได้นาน

...เมื่อทำอะไรไม่ได้...จึงแค่เป็นผู้ดู...มองเห็นเป็นละครอีกฉากหนึ่งซึ่งกำลังเริ่มต้น...ตั้งอยู่...และดับไป...เฉกเช่นละครทุกฉาก...ทุกเรื่องในโลกและวัฏสงสาร



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP