วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๒๖


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


ลักษณ์กำลังเครียด หนักสมอง ความคิดร้อยแปดอัดแน่นในหัวหลังจากทะเลาะจนกระทั่งประกาศสงครามกับพี่ชายก็เหน็ดเหนื่อย ไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไร ออกมารับลมนอกร้านจนดึกแล้วกลับมาพร้อมสุขศจี

หลังการทะเลาะครั้งใหญ่สุด สุขศจีไม่พูดอะไรกับเขามากมาย ไม่มีคำพูดจา บ่นว่า ด่าทอพี่ชายคนโต ไม่มีคำตัดพ้อ น้อยใจ สองพี่น้องนั่งรถมาด้วยกัน ต่างนิ่งเงียบไม่ต่างคนใบ้มาตลอดทาง

ลักษณ์กำลังคิดไตร่ตรอง หากขอให้ท่านมงคลออกหน้าทวงเงินกงสี คืนสิทธิให้สุขศจีจะมีผลดี ผลเสียแค่ไหน...จะเป็นอย่างไร ถ้ารามขอให้ภาสกรออกหน้าสู้เพื่อยืนยันทำตามพินัยกรรมฉบับสองโดยคำสั่งศาลปัจจุบัน

แน่นอน สงครามสายเลือดครั้งนี้ต้องขยายวงกว้างน่ากลัว เขาไม่ต้องการให้เรื่องอื้อฉาว มีวิธีใดที่จะรวบรัดตัดความให้มันจบรวดเร็วหรือไม่

“มี”...คำตอบหนึ่งผุดขึ้น

ถ้ารามตายเสียคน ทุกอย่างก็หมดปัญหา สมุทรไม่มีความสามารถจะคัดง้างได้แน่

ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้น ลักษณ์ร้อนวูบไปทั้งร่าง นี่เขาเลวร้ายขนาดคิดฆ่าพี่ชายตัวเองได้แล้วหรือ

เงินตรา...ผลประโยชน์ มันช่างมีอำนาจรุนแรงเหลือเกิน...ลักษณ์ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนชั่วช้าจนกระทั่งความคิดนี้ถูกปล่อยออกมาจากหัวสมอง

สุขศจีนั่งเงียบมาตลอดตั้งแต่ที่ร้าน ถึงบ้าน ลงจากรถ เดินเข้าประตู แล้วหยุดยืนเงยหน้ามองบ้านอันอลังการใหญ่โต บ้านที่เป็นศักดิ์ศรีเชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูล นัยน์ตาหรี่เรียวครุ่นคิดลึกซึ้ง ถอนใจยาว

เสียงถอนใจของหล่อนออกมาพร้อมกับพี่ชายพอดี

ลักษณ์หันมามองน้องสาว นัยน์ตาสบกัน คล้ายมีม่านหมอกบางมากั้น

“ดึกแล้ว รีบไปนอนเถอะจี...พรุ่งนี้มีเรื่องต้องทำอีกเยอะ” เขาพูด

“เฮียก็เหมือนกันแหละ อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก รักษาสุขภาพดีๆ ด้วย”

“เฮ่ย...ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้น”

“อายุขึ้นเลขห้าอย่างนี้ยังไม่แก่ แล้วจะไปแก่ตอนไหนล่ะ” สุขศจีพูดพลางยิ้มแปลก “มันก็ใกล้ลงโลงด้วยกันทั้งนั้น”

พูดจบหล่อนก็ผละขึ้นบันไดไปห้องนอนส่วนตัว

ลักษณ์แปลกใจที่เจอลูกสาวยืนกระมิดกระเมี้ยนผิดปกติ

“มีอะไรรุ้ง” ขณะถาม สมองยังตึงเปรี๊ยะ

“พ่อพอจะมีเวลาคุยกับรุ้งสักพักมั้ย”

ตอนนี้อย่าว่าแต่สักพักเลย แค่นาทีเดียวลักษณ์ก็ไม่อยากคุยกับใคร

“เป็นวันอื่นได้มั้ย ตอนนี้พ่อปวดหัว” พูดพลางขมวดคิ้ว

“มันเป็นเรื่องสำคัญมากนะพ่อ” รุ่งรตีกระสับกระส่าย

“เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน พ่ออยากพักผ่อน”

ลักษณ์ไม่คิดว่าบุตรสาวตนจะมีเรื่องสำคัญมากกว่าขอเงิน หรือไม่ก็ขอโน่นขอนี่ตามนิสัยหล่อน

“เรื่องมันสำคัญจริงๆ รุ้งอยากคุยกับพ่อตอนนี้”

ความอึดอัดที่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไร น้ำเสียงหล่อนจึงแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง บอกว่าพรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้ พ่อปวดหัว เครียดจะตายอยู่แล้ว”

ลักษณ์ขึ้นเสียงกับลูกสาวอย่างเหลืออด พร้อมกับผละขึ้นห้องของตนโดยไม่ใส่ใจ คืนนี้เขาทะเลาะกับคนมามากแล้ว ไม่อยากได้ยินใครมาเสียงแข็งใส่อีก อารมณ์ขุ่น ตะกอนค้างในใจจึงระเบิดออกมาใส่บุตรสาวโดยไม่รู้ตัว

รุ่งรตียืนตะลึง อึ้งคว้าง ทำอะไรไม่ถูก เห็นวันคืนเก่าๆ ย้อนกลับมาอีก วันที่หล่อนกับพ่อไม่เคยเข้าใจกัน ทะเลาะเบาะแว้งหมางเมินราวศัตรูคู่แค้น

หญิงสาวคิดว่าสัมพันธภาพระหว่างพ่อลูกที่ดีขึ้นในระยะหลังจะเป็นนิมิตหมายการเปลี่ยนแปลงอันดี ทว่ามันไม่ใช่...พ่อยังคงเป็นพ่อคนเดิมที่ไม่เคยรู้จักลูกสาวตัวเองอย่างแท้จริง

น้ำตาคลอเบ้าอัดอั้น เจ็บปวดใจ และปล่อยให้ความเจ็บปวดนี้ซึมซ่านไปทั่วอย่างสะใจ เงาของรุ่งรตีคนเดิมทาทาบกลับมาอีกครั้ง เมื่อมองเห็นบิดาในมุมเดิมอีกครา




บทที่ ๒๑


รามนอนไม่หลับทั้งคืน ครุ่นคิดหาวิธีรับมือน้องชายตัวเอง ลักษณ์ไม่ใช่คนพูดพล่อยๆ พูดได้ต้องทำได้ และทำจนถึงที่สุดด้วย

ลักษณ์บอกจะเข้าพบท่านมงคล ขอให้ท่านสนับสนุน เขาต้องทำจริง วิธีเดียวที่จะรับมือคือขอให้ภาสกรออกหน้าคัดค้าน แม้การขอความช่วยเหลือจากภาสกรแต่ละครั้ง จะหมายถึงเงินที่ออกจากบัญชีเป็นตัวเลขหลายหลัก

ครั้งที่สู้กับพิทักษ์ก็หมดไม่น้อย ทุกคนรู้แต่ยอมเสีย ครั้งนี้เขาต้องอาศัยมือภาสกรเพื่อสู้กับน้องตัวเองอีก เงินที่เสียให้คนนอกเช่นนี้มันคุ้มค่าหรือไม่

รามนึกถามตัวเอง...การก้าวสู่ถนนการเมืองมันสำคัญมากนักหรือ

สำคัญสิ...คำตอบมาทันใด

เขามีเงินมาก แต่ยังขาดอำนาจ...อำนาจที่ทำให้มีลู่ทางหาเงินเพิ่มอีก

หาเท่าไหร่ถึงจะพอ? คำถามใหม่ติดตามมา...

ไม่รู้...คำตอบนี้รวดเร็วเช่นกัน

เขามีลูก...เมีย...เมียเล็กๆ และทายาทรุ่นหลาน เหลนในอนาคต จำเป็นต้องหาไว้มากๆ ให้คนเหล่านั้นเสวยสุข

...เงินยิ่งมากยิ่งดี...ไม่มีคำว่าพอ...นี่เป็นสิ่งที่แม่สอนมาตลอด...

รามไม่อาจรู้...คุณนายพวงทองลำบากหาเงินชั่วชีวิต กระทั่งตายไป สมบัติทรัพย์สินเหล่านั้นไม่เคยทำให้เธอรู้จักความสุข กระทั่งเขาเองก็เถอะ มีเมียหลายคน มีสมบัติมากมาย ได้สิ่งของแทบทุกชิ้นที่ต้องการ หัวใจเคยพบความสุขจริงสักครั้งหรือไม่

...กระทั่งยามนี้...จิตใจยังร้อนรุ่ม ทุกข์ทรมาน ยิ่งกว่าขอทานข้างถนนเสียอีก

หากใจไม่มีคำว่า “พอ” เสียอย่างเดียว ต่อให้เป็นเจ้าของโลกทั้งใบ จิตใจก็ยังไม่รู้จักความสุขอยู่นั่นเอง


คุณจิตใสรอพบรามแต่เช้าก่อนเขาจะออกไปทำงาน อาศัยความเป็นญาติผู้พี่ สนิทสนมคุ้นเคย จึงได้เข้ามานั่งรอถึงห้องรับแขกส่วนตัว สมุนลิ่วล้อของรามให้ความเกรงใจคุณจิตใสในระดับหนึ่ง กระทั่งศรีนวลก็ยังรีบเรียกสามีลงมาคุยด้วย

“สวัสดีครับพี่จิต มาหาผมแต่เช้าเชียว มีธุระอะไรหรือเปล่า” รามยกมือไหว้แต่งกายกึ่งชุดนอน

“มีนิดหน่อยจ้ะ พี่มาตั้งแต่เมื่อวาน เห็นศรีบอกว่าไปคุยกับน้องๆ ที่ร้าน”

พอคุณจิตใสพูดถึงการ “คุย” กับพี่น้อง ทำให้รามหน้าตึง อารมณ์ขุ่นทันใด

“ครับพี่” รามเสียงแข็ง คิดว่าคุณจิตใสมาพูดแทนฝ่ายของลักษณ์

คุณจิตใสจับความแข็งในน้ำเสียง สัมผัสความขุ่นโทสะของรามชัดเจน จึงเลือกใช้คำพูดระมัดระวังขึ้น

“พี่มีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อย” ผู้เป็นพี่ลงท้ายทอดเสียงอ่อนนุ่ม มีกระแสเมตตาในน้ำเสียง

“ถ้าพี่จะพูดแทนพวกไอ้ลักษณ์ละก็...ไม่จำเป็น”

รามไม่รู้สึกถึงกระแสอันอ่อนโยนนั้น จิตใจเขาจมอยู่กับความคิดผูกโกรธตนเองไว้

“เรื่องที่พี่จะพูดไม่เกี่ยวกับลักษณ์หรอกจ้ะ” คุณจิตใสใจเย็น เมตตาที่มีมิได้เหือดหาย

คราวนี้รามค่อยเข้าใจ รีบกล่าวขอโทษ

“ขอโทษครับพี่ เมื่อวานผมทะเลาะกับพวกมันนิดหน่อย”

ผู้มาเยือนยิ้มน้อยๆ ถ้าความขุ่น โทสะเกาะติดใจมาถึงเช้าเช่นนี้ เรื่องคงไม่นิดหน่อยแน่

“คือ...อาจารย์ของพี่กับคุณทางธรรม ท่านมาจำพรรษาที่วัดใกล้ๆ เลยอยากชวนรามไปทำบุญด้วยกัน”

ได้ยินอย่างนี้ รามออกจะแปลกใจ ญาติผู้พี่และสามีเป็นคนใจบุญสุนทาน มักชวนตนกับน้องๆ ทำบุญตลอด แต่ไม่คิดว่าจะมาชวนในเวลานี้

“ไปวันไหนครับ” เขาถามด้วยมารยาทมากกว่าศรัทธา

“วันนี้ก็ดีจ้ะ...ที่จริงพี่ตั้งใจมาชวนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“วันนี้ผมไม่ว่างครับพี่ ต้องรีบไปสะสางงาน” รามไม่อยากบอกว่าต้องรีบติดต่อภาสกร

“ไม่นานหรอกจ้ะ วัดอยู่ไม่ไกล แค่ไปทำบุญ ได้กราบท่านเดี๋ยวเดียวก็ทำงานทัน” คุณจิตใสยังยิ้มอ่อนโยน

รามอึ้งชั่วขณะ ใจจริงไม่อยากไปเลย แต่เกรงใจคุณจิตใส ยิ่งเธอเป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก ยิ่งไม่อยากขัดใจถ้าไม่จำเป็น

“ครับพี่” รามตอบ “ขอผมไปอาบน้ำแต่งตัวสักเดี๋ยว”

คุณจิตใสยิ้มรับ หัวอกผ่อนคลาย สิ่งที่ควรทำได้ทำแล้ว ต่อจากนี้ก็หวังว่าบารมีท่านอาจารย์และกุศลของราม จะช่วยหักเหกระแสกรรมได้


รุ่งรตีตื่นแต่เช้าตั้งใจดักพบบิดาก่อนไปทำงาน ลักษณ์กลับออกจากบ้านเช้ากว่าปกติ ทำให้หญิงสาวขัดใจ อยากตามไปคุยกับพ่อที่ทำงาน แต่ไม่มีประโยชน์ ลักษณ์เป็นมนุษย์งานเต็มตัว ถ้าไม่มีเรื่องด่วน เรื่องสำคัญ อย่าเข้าไปคุยในเวลางานเชียว

ลงมาข้างล่างทันเห็นอาสาวรีบปิดโทรศัพท์ ท่าทางแปลก รุ่งรตีไม่สนใจรายละเอียดเหล่านี้เท่าไหร่

“วันนี้ตื่นเช้านะเรา” สุขศจีทักหลานสาว

“ค่ะ” รุ่งรตีหน้ามุ่ย กระแทกตัวกับโซฟา คิดหาวิธีพูดจาเตือนบิดาตน

“เป็นอะไร ทำหน้ามุ่ยเชียว” ผู้เป็นอาถามต่อ ทั้งที่สีหน้าแววตาไม่แสดงความสนใจเท่าใด

“พ่อรุ้งเขางานยุ่งมากเหรออาจี” หญิงสาวหันมาพูดแกมบ่นกับอาสาว

“ถ้าเทียบกับเด็กว่างงานอย่างแก ก็นับว่ามากหลายเท่าเลยนั่นแหละ”

สุขศจีตอบแกมเหน็บ หล่อนมองลูกของพี่แต่ละคนไม่เป็นโล้เป็นพายสักคน แบบเดียวกับลูกเศรษฐีที่เกิดบนกองเงินกองทอง ไม่รู้จักความลำบากเป็นอย่างไร

รุ่งรตีถอนใจขัดนิดๆ เหลือบมองอาสาว วันนี้สุขศจีแปลกพิกล ดวงตาฉายแวววาววับเหมือนแม่เสือร้าย รอยยิ้มกริ่มซ่อนนัย ชวนตะครั่นตะครอ

“รุ้งเป็นห่วงพ่อ” หญิงสาวพูดอย่างคนหาที่ระบาย

“ห่วงเรื่องอะไร” สุขศจีคุยเรื่อยเปื่อย

หญิงสาวมองหน้าผู้เป็นอาลังเลใจ หล่อนได้ยินสุขศจีคุยโทรศัพท์แปลกๆ ทำตัวน่าสงสัยครั้งสองครั้ง จึงไม่กล้าวางใจ...เล่าให้เชนฟัง เขาก็ไม่กล้าออกความเห็นแนะนำให้ดูไปก่อน จนปริศนาฆาตกรรมสีดาคลี่คลาย สุขศจียังเหมือนเดิม รุ่งรตีก็ค่อยวางใจอาสาวได้บ้าง

“รุ้งฝัน” รุ่งรตีบอก

สุขศจีเลิกคิ้วแปลกใจ เด็กสมัยนี้กลุ้มใจกับความฝันด้วยหรือ

“ฝันว่ายังไง”

รุ่งรตีมองหน้าคนถาม ชั่งใจ...บอกไปจะถูกหัวเราะเยาะหรือไม่

“ฝันว่าเห็นหลุมศพ” พูดถึงตรงนี้ก็ดูปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้าม หากสุขศจีทำหน้าเบ้หรือเตรียมหัวเราะขำขันหล่อนก็จะหยุดเล่า

“หลุมศพใคร” สุขศจีถาม นัยน์ตาวาวสนใจ

รุ่งรตีกลืนน้ำลายลงคอก่อนตอบไม่เต็มเสียงนัก

“ทุกคน” พอพูดคำแรกได้ คำต่อมาก็คล่องขึ้น “คุณย่า ลุง อาดา อาหมุด อาจี แล้วก็...พ่อ”

คำท้ายทอดเสียงเบา ไม่อยากเอ่ยเต็มคำ

สุขศจีนิ่งงัน ดวงตาทอประกายประหลาด วูบวาบ กลับไปกลับมาราวกับในใจกำลังเต้นเร่า สับสน พลิกกลับหลายรอบ หลายตลบ กระทั่งตนเองยังบอกความรู้สึกไม่ถูก

“ฝันแบบนี้เมื่อไหร่” อาสาวถามเสียงแผ่วเข้ม

“เมื่อคืนก่อน” หญิงสาวตอบ

เงียบครู่ใหญ่ ทั้งคู่จมอยู่ในความคิดส่วนตัว ที่สุดสุขศจีค่อยผ่อนคลาย ดวงตามองหลานสาวกลับเป็นดุจเดิม

“แกเป็นห่วงพ่อเรื่องฝันร้ายนี่นะ”

คำถามคล้ายเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ

“แต่มันชัดมากเลยนะอาจี” หญิงสาวยืนยัน “ที่ป้ายหลุมศพทุกคนมีวันเกิด วันตาย สลักไว้หมด”

“เหลวไหล”

“เชื่อไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่ มันมีป้ายหลุมศพของอาจีเหมือนกัน”

รุ่งรตีพยายามพูด พอหลุดคำท้ายก็ใจแป้ว กลัวเป็นการแช่งอาของตน ทำให้อีกฝ่ายโกรธขึ้นมาจริงๆ

ผิดคาด สุขศจีกลับหัวเราะขำขัน

“ฉันไม่เชื่อหรอก เรื่องไร้สาระพรรค์นี้” พูดจบก็ยิ้มเย็น “แต่เขาว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะ”

รุ่งรตีเสียวหลังพิกลเมื่อสบตาสุขศจี คำพูดอาสาวมีความขัดกันชัดเจน...ไหนบอกว่าไร้สาระ ทำไมกลับพูดเหมือนเชื่อ...ฝันร้ายจะกลายเป็นดี...

เพราะความรู้สึกแปลกประหลาด ประกอบกับอีกฝ่ายไม่เชื่อถือ รุ่งรตีจึงไม่เล่าต่อว่าเชนก็ฝันตรงกัน แถมวิญญาณคุณย่ายังตามมายืนยันอีก

รุ่งรตีไม่อยากได้รับแววตาหมิ่น เห็นหล่อนเป็นเด็กไม่มีหัวคิดจากอีกฝ่าย จึงสงบปากคำ อย่างไรเสียถือว่าเตือนอาสาวแล้ว...ไม่เชื่อก็ตามใจ คนที่หล่อนต้องการให้เชื่อและระวังตัวจริงๆ คือบิดาตน

คราวนี้ต่อให้ลักษณ์ว่าหล่อนบ้าหรือเสียสติ รุ่งรตีก็จะพยายามชักจูงให้พ่อเชื่อคำพูดตนให้ได้


ท่านอาจารย์ฉันเสร็จ ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนเข้ากราบพูดคุยเรียนถามปัญหาธรรมะ สักครู่ก็ทยอยออกมาจนเหลือนายพลทางธรรม คุณจิตใสและราม

“พาน้องชายมากราบเจ้าค่ะ” คุณจิตใสแนะนำ

รามก้มลงกราบโดยไม่ต้องบอก จิตใจบังเกิดความเคารพพระภิกษุตรงหน้าโดยไม่ต้องฝืน ความเคารพศรัทธาเช่นนี้ เป็นลักษณะเดียวกับพวกนักเลงส่วนมาก ที่นิยมเคารพพระดี พระแท้ หวังพึ่งบารมีของท่าน

“ชื่ออะไรล่ะ” ท่านถาม

“รามครับ” รามตอบ

“ทำมาหากินอะไร” คำถามปกติธรรมดา

“ดูแลกิจการทางบ้านครับ แล้วก็เป็นนายกเทศมนตรี” คำตอบท้ายอดพูดด้วยความภูมิใจไม่ได้

ท่านอาจารย์ยกน้ำชาขึ้นจิบ เวลาเช่นนี้ ลูกศิษย์อย่างคุณจิตใส ท่านนายพลต่างทราบท่านกำลัง “พิจารณา” ทั้งคู่ได้แต่หวัง กระแสกรรมของรามคงไม่หนักหน่วงรุนแรงเกินไป

“อืม...เป็นผู้ใหญ่...เป็นนายคนต้องมีความเมตตา...มีความยุติธรรม” ท่านอาจารย์มีสีหน้าละมุน “ต้องเป็นหลักเที่ยงตรง ไม่โอนเอน...ไม่เช่นนั้นคนที่มาอาศัยพึ่งบารมีก็จะเคว้งคว้าง รุ่มร้อน ไม่ร่มเย็น”

รามอึดอัด หัวใจคันยิบๆ...นี่คุณจิตใสจงใจพาเขามาฟังเทศน์หรือไร ทีแรกคิดว่ามาแล้วจะได้ทำบุญ ได้กราบรับพร หรืออาจได้ “ของดี” กลับไปป้องกันตัวบ้าง นี่ผิดคาด ชวนทรมานชัดๆ

ท่านอาจารย์พูดเพียงเท่านั้นก็ยกน้ำชาจิบอีกครั้ง หันไปพูดกับท่านนายพลผู้เป็นศิษย์

“ทางธรรม...ถ้าจะกลับตอนไหน ช่วยพาคุณแตงไปด้วยนะ...เขามาอยู่วัดหลายวันแล้วจะกลับบ้าน...เห็นบอกว่าหารถเข้าเมืองอยู่”

“ครับอาจารย์” ลูกศิษย์รับคำ

คุณจิตใสบังเกิดความคิดชั่วแวบ

“เออ...จริงสิ...รามมาถือศีลที่วัดหน่อยมั้ย สักสามสี่วันก็ได้”

“ตอนไหนครับพี่...ถ้าเป็นช่วงนี้ผมคงต้องขอไว้ก่อน งานยุ่งจริงๆ”

หากเป็นคนอื่นชวน รามคงตอบปฏิเสธเด็ดขาดไปแล้ว เผอิญเป็นคุณจิตใส จึงพูดไม่ให้เสียน้ำใจ

“สักเย็นนี้หรือพรุ่งนี้เช้าก็ดีนะ ลองอยู่วัดสักสามวัน ถือว่าได้ชาร์จแบ็ตให้ตัวเอง จิตใจจะได้สบาย”

“โอย...ไม่ได้จริงๆ พี่จิต ช่วงนี้งานผมยุ่งเอามากๆ ขอผัดเป็นโอกาสหน้าเถอะ”

คำตอบค่อนข้างเด็ดขาดของราม ทำให้คุณจิตใสนิ่ง เหลือบตาขึ้นสบท่านอาจารย์ พบใบหน้าแฝงความเมตตาของท่าน ไม่มีร่องรอยใดดังเดิม

ในความทรงจำ...คล้ายได้ยินคำพูดที่ท่านสอนเชนดังก้องมาอีกครา

กรรมเป็นสมบัติเฉพาะตัว รู้จักที่จะวางอุเบกขา รู้จักที่จะยอมรับผลของกรรมในแต่ละสัตว์ แต่ละบุคคล โดยไม่เอาใจเราไปแทรกแซง”

ลมหายใจถูกผ่อนระบายยาว สติเด่นชัด อารมณ์ปุถุชนยังคอยรบกวน แต่ความที่เป็นศิษย์มีครูจึงรู้จักที่จะตามรู้อารมณ์ตนในแต่ละขณะจิตได้

สีหน้าท่านอาจารย์ละมุน เสมือนเป็นบุคคลที่เห็นโลกเป็นโลก เห็นเหล่าสรรพสัตว์เสมอกันหมด ไม่มีใครสูงใครต่ำ และแลเห็น “กรรม” ทำงานไปตามเหตุและผลของมันเอง


ออกมาจากศาลา รามเตรียมตัวขึ้นรถแยกไปทำงาน คุณจิตใสมองหน้าสามีเหมือนขอความเห็นก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้าย

“ราม” คุณจิตใสส่งเสียงรั้งญาติผู้น้อง

“มีอะไรหรือพี่” ถึงน้ำเสียงปกติ แต่ความรำคาญใจมาเป็นริ้ว

คุณจิตใสเดินเข้าไปหาเขาที่รถ รีบพูดตรงไปตรงมาก่อนตนเองจะเปลี่ยนใจ

“ระวังตัวหน่อยนะ”

รามชะงัก...ไม่เคยได้ยินญาติผู้พี่พูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน

“มีอะไรหรือครับพี่จิต”

“ช่วงสองสามวันนี้ ระวังตัวหน่อย”

“พี่จิตอยากบอกอะไรผม” รามถามต้องการคำตอบ

“ฟังดูอาจไร้สาระสำหรับเธอนะ” คุณจิตใสรีบพูด “แต่เชนกับรุ้งเขาฝันตรงกันว่า เห็นหลุมศพของพวกเธอ ตั้งแต่อาพวงทอง ยันสุขศจี ที่สำคัญเชนเห็นป้ายหน้าหลุมศพเธอด้วย ว่าจะตายวันที่ ๑๕ มิถุนา”

รามหนาววูบ ขนต้นคอลุกชัน เหมือนโดนฟ้าผ่าไม่ยั้ง ถ้าเป็นคนอื่นพูด เขาคงโกรธเคืองเกรี้ยวกราด แต่นี่เป็นญาติผู้พี่ที่นับถือ วางตัวดีเสมอต้นเสมอปลาย...ที่สำคัญ...พออ้างชื่อเชน ทำให้นึกได้ ครั้งหนึ่งหลานชายคนนี้เคยช่วยให้เขารอดจากอุบัติเหตุ

“มิน่าล่ะ พี่ถึงอยากให้ผมอยู่วัดอีกสองสามวัน”

“ใช่...รู้อย่างนี้เธอพอจะทำได้มั้ย”

คุณจิตใสตั้งใจพูดเป็นครั้งสุดท้าย

รามถอนใจหนักหน่วง เรื่องโชคลางความเป็นตายเช่นนี้ใครก็กลัว แต่เวลานี้เขามีงานสำคัญต้องเร่งทำ จะมัวอยู่ในวัดไม่ได้

รามชั่งใจระหว่างเรื่องความฝันที่อาจผิดเพี้ยน กับความจริงที่ต้องเผชิญ แล้วตอบคุณจิตใสด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ฟังธรรมดาที่สุด

“ผมจะระวังตัวครับพี่ โดยเฉพาะวันที่ ๑๕ นี้ ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ออกจากบ้านเลย พ้นจากนี้แล้ว ผมคงปลอดภัยใช่ไหม”

คุณจิตใสไม่ตอบ...ตอนนี้พูดอย่างไรก็ไร้ผล รามเห็นญาติผู้พี่ไม่พูดอะไรอีก จึงยกมือไหว้แล้วขึ้นรถ ขับรถออกจากวัดด้วยจิตใจไม่เป็นสุข

คุณจิตใสถอนใจตามหลังท้ายรถ บอกสามีอย่างอ่อนใจ

“เข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงไม่ช่วย”

นายพลทางธรรมยิ้ม ดวงตาฉายแววเคารพอ่อนน้อม

“ใครว่าท่านไม่ช่วย”

ได้ยินอย่างนี้คุณจิตใสจึงเงยหน้าฟังอย่างสนใจ

“คำพูดที่ท่านเทศน์ให้รามฟังนั่นแหละ คือทางแก้ไขปัญหาทั้งหมดของเขา”

คุณจิตใสชะงักงัน ระลึกถึงคำพูดท่านอาจารย์อีกครั้ง

...ความเมตตา...ความยุติธรรม...เป็นหลักเที่ยงตรง...ไม่โอนเอน...ถ้ารามทำอย่างที่ท่านสอนได้ เขาจะปลอดภัย...


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP