วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๒๓


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


คุณจิตใสใส่บาตรพระรูปสุดท้ายเสร็จก็ยอบตัวพนมมือไหว้ เชนถือถาดเปล่าอยู่ด้านหลังยกมือไหว้ตาม เช้านี้แม่มาใส่บาตรหน้าวัดแทนบิดาซึ่งปลีกตัวรักษาศีล ถือผ้าขาวกับท่านอาจารย์ที่เพิ่งมาจำพรรษา

เชนกลับไปดูร้านก่อนก็ได้นะ สักใกล้เที่ยงค่อยมารับแม่ คุณจิตใสบอกลูกชาย

ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมขึ้นไปบนศาลา กราบท่านอาจารย์กับแม่ก่อนก็ได้ เชนตอบ

ท่านอาจารย์ ที่เขาพูดถึง เป็นพระภิกษุที่พ่อแม่เคารพนับถือ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนายพลทางธรรม ยังแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่ว ไม่ค่อยจำพรรษาที่ไหนนาน ปฏิบัติตัวเป็นพระไม่ติดวัด

ก็ดีจ้ะ ได้กราบท่านเป็นมงคลแก่ตัว นานๆ ท่านจะมาจำพรรษาใกล้เราสักที

คุณจิตใสพูดยิ้มๆ เธอไม่เคยคะยั้นคะยอให้ลูกชายเข้าวัด แต่แสดงเป็นตัวอย่าง น้อมนำให้เขารู้สึกถึงกระแสความเย็นแห่งบุญกุศล จนเชนมีจิตสัมผัสกุศลง่ายๆ สามารถแยกแยะออกว่าสิ่งใด ร้อน สิ่งใด เย็น

เหมือนท่านมาโปรดพ่อแม่พอดีเหมือนกัน

เชนพูด ช่วงนี้มารดามีปัญหาจุกจิกวุ่นวายกับครอบครัวทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลไม่น้อย ความที่เป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก จึงต้องเสียเวลาลำบากทุกครั้งที่คนตระกูลนี้ขึ้นโรงขึ้นศาลเรื่องมรดก พินัยกรรม หรือกระทั่งการตายของพิทักษ์กับเมียน้อย

คุณจิตใสยิ้มละไมรับคำพูดลูกชาย ถ้าบอกว่าตนเองลำบากกับเรื่องคนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลด้วยก็นับว่าไม่ผิด แต่นั่นเป็นเรื่องที่คุณจิตใสเตรียมใจมานานแล้ว ตั้งแต่เห็นชื่อตนเป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก เพราะเตรียมใจมาแล้วนั่นเองจึงสามารถวางใจเป็นกลางได้แทบทุกครั้งที่เกิดเรื่องเดือดร้อนใจมากระทบ

เห็นรุ้งบอกว่า พอหมดเรื่องคดีของพิทักษ์ ก็ยังมีปัญหาเรื่องเงินในกลุ่มพวกน้าๆ เขาอีก

เชนได้ข่าวคราวขัดแย้งระหว่างพี่น้องทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลจากรุ่งรตี

อ้อ... คุณจิตใสพูดเชิงรับคำขณะเดินนำลูกชายเข้าวัด

รุ้งเขาว่าน้าจีโกรธใหญ่ ที่โดนยึดอำนาจตลาด ร้านอาหาร แถมยังตัดสิทธิรายได้อีก

พวกเขาต้องทำตามพินัยกรรม คุณจิตใสพูดเรียบๆ

นั่นแหละครับ มันทำเอาบ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลแทบร้อนเป็นไฟ นี่ขนาดอยู่กันแค่น้าลักษณ์กับน้าจี...ถ้าน้าหมุดกับน้ารามมาอยู่รวมด้วย...ท่าจะทะเลาะกันทุกวันจนบ้านพัง

จีเขาทะเลาะกับลักษณ์หรือจ๊ะ คุณจิตใสถาม

ไม่ถึงขั้นนั้นแต่ก็ใกล้ๆ ล่ะครับ รุ้งได้ยินพ่อเขากับน้าจีเถียงกัน... น้าจีว่าน้าลักษณ์ไม่ยอมออกหน้าช่วยพูดเรื่องเงิน...น้าลักษณ์ก็บอกว่าทำดีที่สุดแล้ว จะให้พูดอะไรอีก น้ารามกับน้าหมุดสองเสียงรวมกัน ยังไงน้าลักษณ์ก็สู้ไม่ได้ เชนส่ายหน้า ระลึกถึงความอึดอัดขุ่นเคืองที่แฝงมากับเรื่องที่เล่าได้

พูดไปพูดมาเลยเถียงกัน สุดท้ายสองพี่น้องในบ้านเดียวกันก็ไม่ยอมพูดจากันอีก คนที่อยู่ร่วมบ้านอย่างรุ้งเลยอึดอัด...ร้อนไปด้วย ต้องหาเรื่องออกจากบ้านทุกวัน

แม่เห็นรุ้งเขาไปอยู่ที่ร้านต้นไม้ของพ่อบ่อยๆ นี่จ๊ะ คุณจิตใสพูดบ้าง

ครับ...เขาว่าอยู่ที่นั่นแล้วเย็นสบายดี...ไปๆ มาๆ มีท่าจะยึดร้านของพ่อแล้ว รู้จักต้นไม้ในร้านมากกว่าเจ้าของอีก เห็นเสนอโครงการกับพ่อว่าจะขออาศัยหน้าร้านเปิดเป็นร้านดอกไม้ แต่จะขายแบบเป็นไม้ดอกกระถางมากกว่าไม้ตัดดอกแบบที่อื่น ผมเองก็ไม่ค่อยว่าง ต้องทำงานติดต่อส่งของ ไม่ค่อยได้ไปดูเท่าไหร่ แต่ถ้าว่างก็จะเข้าไปคุยกับเขาตลอด

คุณจิตใสเดินฟังลูกชายพูดด้วยความรู้สึกแจ่มใส สัมผัสสายใยบางๆ ที่เริ่มถักทอโยงใยจิตใจระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้...เธอไม่มีความเห็นใด หากหนุ่มสาวคู่นี้รักกัน เชื่อว่าลักษณ์บิดารุ่งรตีก็คงไม่คัดค้าน ปัญหาที่จะตามมาคือเมื่อไหร่เชนเข้าไปเป็นเขยบ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล ชีวิตเขายากจะเป็นสุขสงบเช่นปัจจุบัน ลักษณ์ต้องดึงเชนทำงานด้วยแน่ กิจการตระกูลนี้มีหลายอย่างจำเป็นต้องใช้คนไว้ใจได้ควบคุม เมื่อเชนสาวเท้าสู่กิจการทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล เขาย่อมหนีสมรภูมิระหว่างพี่น้องตระกูลนี้ไม่พ้น

คุณจิตใสระบายลมหายใจแผ่ว สติตามทันกลุ่มก้อนความคิดเหล่านี้ก่อนมันจะดับหายไป อนาคตเป็นสิ่งยังมาไม่ถึง...ครุ่นคิด ปรุงแต่งวาดภาพทำไมกัน...


วัดที่อยู่เบื้องหน้าร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ โบสถ์หลังกะทัดรัด ศาลาไม้สองชั้นเป็นศาลาฉันและที่พักของฆราวาส กุฏิพระแต่ละหลังแยกอยู่ต่างหากลึกเข้าไปหลังแนวต้นไม้ มีความเป็นส่วนตัว สงบ ใช้ปลีกวิเวกเฉพาะตัว

ท่านนายพลแต่งชุดขาวอยู่บนศาลา ทำตัวไม่ต่างเด็กวัดคนหนึ่ง คอยรับอาหารจากญาติโยมจัดเรียงใส่ถาดเตรียมถวายพระ...เชนให้มารดานั่งรวมกลุ่มหญิงวัยเดียวกัน แล้วเข้าไปช่วยบิดาจัดเตรียมอาหารโดยไม่ต้องรอให้ใครสั่ง

พระสงฆ์ทยอยมานั่งประจำที่ ถาดอาหารถูกลำเลียงใส่รถเลื่อนเล็กๆ เลื่อนส่งต่อไปยังพระที่นั่งเป็นแถวตามลำดับ ถึงตอนนี้พวกโยมผู้ชายต่างถอยออกมา รอให้พระจัดอาหารใส่บาตรฉันเฉพาะรูป

เสียงให้พรดังกังวาน หลังพระทุกรูปจัดอาหารพร้อมฉัน กระแสเสียงมีความเมตตารินไหลไม่ผิดสายน้ำในลำธารใสเย็น ผู้รับพรน้อมรับด้วยจิตเต็มอิ่มเบิกบาน

คนมาถวายภัตตาหารเช้ามีไม่มากนัก รู้จักกันเกือบหมด คุณจิตใสคุยกับคนวัยเดียวกันถูกคอ ส่วนนายพลทางธรรมแยกตัวกินอาหารรวมกลุ่มโยมผู้ชายที่มาถือศีล

ท่านนายพลจะอยู่วัดอีกกี่วันล่ะคุณ เพื่อนคุณจิตใสออกปากถาม

ก็แล้วแต่...คุณทางธรรมไม่ได้บอกไว้ คุณจิตใสตอบ

แหม...ท่านอาจารย์มาอย่างนี้ ลูกศิษย์คงดีใจใหญ่ รีบมากันเต็มไปหมด...นานๆ ได้ฟังธรรมจากท่าน ได้ทั้งความชุ่มเย็นใจ...ทั้งเป็นสิริมงคลแก่ตัว

คุณจิตใสยิ้มรับ

แล้วคุณจิตใสล่ะคะ จะเข้าไปขอธรรมะท่านอาจารย์มั้ย อีกฝ่ายถามต่อ

ค่ะ ก็จะพาเชนไปกราบท่านด้วย คุณจิตใสตอบยิ้มๆ

เชน...รู้มั้ย มีโอกาสได้กราบท่านอาจารย์น่ะ เป็นบุญขนาดไหน

ผู้เป็นเพื่อนคุณจิตใสหันไปพูดกับชายหนุ่มรุ่นลูก

ครับ เชนตอบถนอมปากคำ สำหรับเขา...ไม่เคยสนใจวัดขนาดปริมาณของ บุญ ไม่เคยสนใจว่าทำความดีแล้วจะได้รับผลตอบแทนมากน้อยเพียงใด...แค่รู้สึกได้ทำแล้ว...จิตใจเกิดกระแสความสุขเข้ามาหล่อเลี้ยงโดยไม่มีรอยเสี้ยนหนาม ความขุ่นข้องใดมาแผ้วพานก็พอใจแล้ว... เรื่องผลตอบแทนใด เป็นเรื่องอนาคตข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องไปคาดหมายให้จิตใจผูกยึดกับภพชาติโดยเปล่าประโยชน์

เนี่ยนะ...เป็นบุญของพวกเราเหลือเกิน ที่ท่านอาจารย์มาจำพรรษาเป็นเนื้อนาบุญให้เราที่นี่

เพื่อนคุณจิตใสยังพูดต่อด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ เบิกบาน

บุญ ก่อให้เกิดสุข...เบิกบาน...ผู้ทำบุญก็หวังสร้างบุญกับ เนื้อนา อันประเสริฐ...แต่จะมีสักกี่คนที่หวังจะทำตนให้เป็น เนื้อนาบุญ เสียเอง โดยไม่จำเป็นต้องหวังพึ่งบุญจากใครที่ไหนอีกเลย


ท่านอาจารย์ นั่งเด่นตรงหัวแถว บอกอายุพรรษาที่มากกว่าพระรูปอื่นในวัด กระทั่งเจ้าอาวาสก็ยังหนุ่มกว่าท่าน...พระฉันเสร็จทยอยนำบาตรไปล้าง นายพลทางธรรมรับบาตรท่านอาจารย์ไปล้างด้วยตนเอง แสดงความมีอัตตาน้อย และความเคารพศรัทธาเปี่ยมล้น

หลังจากพระรูปอื่นทยอยจากศาลาหมด คุณจิตใสพาเชนเข้าไปกราบท่านอาจารย์โดยมีกลุ่มลูกศิษย์ตามเป็นพรวน

เป็นยังไงสบายดีไหม

ท่านอาจารย์ยิ้มละไม วาจาพูดเหมือนครูทักทายลูกศิษย์

ค่ะท่าน คุณจิตใสตอบ

จริงหรือ... ท่านพูดหลังจากมองลูกศิษย์ชั่วแวบ ยืนอยู่กลางกระแสลม ใกล้กับกองไฟอย่างนั้น ยังบอกว่าสบายได้อีก

มันเลี่ยงไม่ได้ค่ะ ตอนนี้ร้อนก็ต้องยอมรับ

คำพูดคุณจิตใสคือปัญหาของลูกศิษย์เรียนถามอาจารย์

ทุกข์มีไว้ให้รู้...รู้ว่ามันคงอยู่ไม่คงทน ที่ปฏิบัติตัวอยู่ตอนนี้ก็พอใช้ได้แล้วละ คำแนะนำจบแค่นั้น

คนรอบข้างฟังไม่เข้าใจ กระทั่งเชนก็ไม่เข้าใจถึงคำพูดที่แม่คุยกับท่านอาจารย์เหมือนกันแต่เขาไม่ตั้งปัญหา ข้อสงสัย...รู้แต่ว่า...แม่...พ่อ และท่านอาจารย์อยู่อีกจุดหนึ่งที่เขายังก้าวไม่ถึงเท่านั้นเอง

นั่นลูกชายล่ะสิ ท่านอาจารย์หันมามองเขา

ค่ะท่าน คุณจิตใสตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เชนเงยหน้าสบดวงตาท่านอาจารย์ด้วยความเคารพ เขาสัมผัสกระแสเมตตาอันอบอุ่นที่ส่งมา พาจิตใสสงบเย็นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

โตเป็นหนุ่มขึ้นเยอะนะ ท่านพูดกับคุณจิตใส

ค่ะ...ท่านพอจะมีอะไรแนะนำเขาไหมคะ

คุณจิตใสรีบสร้างโอกาสอันเป็นมงคลนี้ให้เชนโดยไม่รอช้า

ดวงตาท่านมีรอยยิ้ม ดวงหน้าชรามีราศีผุดผ่อง ฉายกระจ่าง เมื่ออยู่ใกล้ท่านอาจารย์สัมผัสกระแสเมตตาเช่นนี้ เชนก็ไม่ต้องการสิ่งใดจากท่านอีกแล้ว

เขาเดินบนฆราวาสธรรมที่ดีอยู่แล้ว น้ำเสียงท่านอ่อนโยน ดูใจให้ดี รู้ให้ทันเมื่อมันเริ่มหวั่นไหวต่อสิ่งกระทบ...แล้วก็...

ท่านทิ้งค้างไว้นิดๆ กำลังหาคำพูดที่เหมาะสม

การมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก ร่วมวัฏสงสารน่ะเป็นสิ่งที่ดี...แต่ใช่ว่าเราจะช่วย เขา ได้ทุกเรื่อง ทุกครั้ง...ขอให้รู้ไว้...สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของของตน กรรม เป็นสมบัติเฉพาะตัว เฉพาะบุคคล...เราหวังดี เมตตา อยากช่วยเหลือเขา ก็เป็นกรรมดี เจตนาดีของเรา...แต่จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูด้วยว่า...ผลกรรมของเขาแรงแค่ไหน...รู้จักที่จะวางอุเบกขา รู้จักที่จะยอมรับใน ผล ของ กรรม ในแต่ละสัตว์ แต่ละบุคคล โดยไม่เอาใจเราไปแทรกแซง...

เชนนิ่งอึ้ง...คำพูดท่านอาจารย์ทำให้เขาระลึกถึงคุณนายพวงทอง พวกน้าตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล รวมถึงรุ่งรตี...ที่ผ่านมา เขารู้สึกเหมือนตนเองต้องมีส่วนรับผิดชอบในเหตุการณ์ร้ายต่างๆ จนบางครั้งใจเกิดทุกข์ อยากช่วยอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งร้ายให้กลับกลายเป็นดี แต่ทำไม่สำเร็จทุกครั้ง...ยิ่งสัมผัสจิตที่เป็นทุกข์ของคุณนายพวงทองมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกคล้ายร่วมทุกข์กับแกด้วย

ท่านอาจารย์บอกให้วางอุเบกขา...อาจไม่ใช่แค่เรื่องคนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล น่าเป็นการแนะนำให้เขาวางใจเป็นกลางต่อกระแสทุกข์คุณนายพวงทองที่ลอยอ้อยอิ่งรบกวนใจทุกครา ที่อาศัยเขาเป็นสื่อสะพาน

ขอบคุณครับ เชนก้มลงกราบท่าน เขาเข้าใจแล้ว เหตุใดพ่อแม่ถึงเคารพ ศรัทธาท่านอาจารย์มากขนาดนี้

หลังจากนั้น ท่านอาจารย์ก็ตอบคำถามลูกศิษย์คนอื่นต่อ โดยที่คุณจิตใสและเชนร่วมฟังอยู่ที่เดิม จนกระทั่งนายพลทางธรรมล้างบาตรเสร็จ คลานเข่าเข้ามานั่งฟัง ท่านอาจารย์หันไปบอกง่ายๆ

ทางธรรม...อยู่วัดอีกสองสามวันก็พอนะ จะได้กลับบ้านดูแลลูกเมีย

ท่านนายพลชะงัก มองคุณจิตใส ปกติท่านอาจารย์ไม่ค่อยออกปากบอกลูกศิษย์คนไหนให้กลับ นอกจากลูกศิษย์แต่ละคนจะพิจารณาถึงภาระความรับผิดชอบ แล้วค่อยขอลากลับเอง

ครั้งนี้ท่านบอกให้นายพลทางธรรมกลับ ทั้งที่คุณจิตใสและเชนก็ไม่ใช่ภาระอะไรที่ต้องดูแล คำพูดของท่านทำให้ลูกศิษย์ก้นกุฏิทั้งสองสัมผัสถึงเจตนาที่ท่านมี...เพียงแต่ไม่พูดตรงๆ

คุณจิตใสรับรู้ถึงคลื่นความสงสัยที่กระเพื่อมขึ้นจากจิตตน...ความสงสัยนี้อาจยังไม่ได้รับคำตอบขณะนี้...แต่ไม่นาน...คำตอบจะเดินทางมาถึงเอง

ลมหายใจระบายแผ่ว เรียกสติเกาะตัวเข้ามา ส่วนลึกในใจมีความหนักแน่นระดับหนึ่งที่พอจะบอกกับตนเองว่า...หากเกิดความเปลี่ยนแปลงใด ตนก็พร้อมที่จะมองมันด้วยใจเป็นกลางเฉกเช่น...ศิษย์มีครู...


ความมืด...เงียบคืออาณาเขตของคุณนายพวงทองขณะนี้...มีหลายครั้งที่แกพยายามจะเดินออกจากอาณาเขตส่วนตัว แต่เดินไปไหน เงามืดก็ติดตามตัว...มันคอยติดตามมาตั้งแต่แกใช้ความโกรธเกลียด เคียดแค้น แสดงตัวให้พิทักษ์กับเนื้อนวลเห็น

ตอนนั้นแกอยากฆ่าพวกมันให้ตายคามือ แต่เปลี่ยนใจชั่วความคิด ไม่ใช่เพราะมีเมตตา หากแต่กลัวลูกเธอจะเดือดร้อน

ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ยังตายสมใจแก...คุณนายพวงทองรู้ว่าเป็นฝีมือใคร...ความตายพวกมันทำให้คุณนายสะใจ สาสมใจไม่ผิดกับตนเองเป็นผู้ฆ่า ช่วงเวลานั้น เงาดำทะมึนก็แผ่เข้ามาครอบคลุม มันมืดไม่ผิดกับจิตใจมืดบอดของคุณนายพวงทอง

คุณนายพวงทองไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเงามืดพวกนี้ ปล่อยให้มันไหลเลื่อน รามือยอมรับชะตากรรม จิตใจเหม่อซึม ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้อยู่เพื่ออะไร จิตใจไร้จุดมุ่งหมาย ล่องลอยวันๆ กระทั่งเกิดกระแสหนึ่งเข้าปะทะ

มันเป็นกระแสความผูกพันที่โยงใยตนเองกับบุตรที่เหลือ กระแสนั้นสั่นคลอน สะเทือนรุนแรง สังหรณ์ เกิดขึ้นอีกแล้ว เป็นสังหรณ์ที่สุมไฟร้อนเร่าเผาใจคุณนายพวงทองอย่างไร้เหตุผล ไม่รู้ที่มาที่ไป คล้ายจู่ๆ มีกองไฟโผล่ขึ้นมากลางอก

ไฟกองนี้ปลุกคุณนายพวงทองขึ้นจากความซึมเหม่อ มองรอบตัวชัดเจน ถึงกระนั้นยังมีความอึดอัดรุมรัดใจ ความอึดอัดเกิดจากความไม่รู้ชัดในสังหรณ์ตน

...อะไรกำลังจะเกิดขึ้น...

มั่นใจว่าเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดี ทว่าเรื่องร้ายนั้น ร้ายอย่างไร คุณนายพวงทองรู้สึกถึงแรงสะเทือนที่บีบรัดหัวใจมากกว่าทุกครั้งที่เคยรู้สึก

ทั้งเจ็บปวด รวดร้าว ทุกข์ทนยิ่งกว่าเคยเป็น

ต้องหาคำตอบ...คุณนายพวงทองบอกแก่ตนเอง

วิธีหาคำตอบนั้นจำเป็นต้องใช้สะพานเชื่อม...สะพานเชื่อมสำหรับคุณนายพวงทองมีแล้ว อย่างน้อยสองสาย

รอช้าไม่ได้...ต้องรีบ...รีบส่งคำเตือนโดยด่วน...คุณนายพวงทองไม่ยอมให้เรื่องร้ายเกิดขึ้นกับครอบครัวตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่นอน



บทที่ ๑๙


สถานที่แห่งนี้เป็นที่ใดยากจะบอก บรรยากาศอึมครึมเสมือนยามสนธยา กวาดสายตามองรอบตัวเห็นแต่แสงสลัวราง ไม่สว่าง ไม่มืดมิด อากาศแปลก กึ่งหนาว กึ่งร้อน เย็นยะเยียบบางช่วง ร้อนรุ่ม อึดอัดไม่สบายบางครา

เชนตอบไม่ได้ว่ามาอยู่สถานที่ประหลาดแห่งนี้เมื่อไหร่ อย่างไร จู่ๆ รอบตัวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว รู้เหนือรู้ใต้ จนมายืนเคว้งท่ามกลางดินแดนไร้นาม...ไม่มีคำจำกัดความ

เขาก้าวเดิน หวังพบใครบางคน ไม่ก็หาทางออกที่จะพ้นจากบรรยากาศน่าอึดอัด สะบัดร้อนสะบัดหนาว

เดินมาชั่วระยะหนึ่ง สิ่งต่างๆ รอบตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสงสนธยายังค้างคากึ่งมืดกึ่งสว่าง เดินเรื่อยๆ รู้สึกคล้ายสัมผัสกระแสคนคุ้นเคย จิตใจควานหาสายใยบางอย่างพบ ก้าวขาตามสายใยเส้นนั้นโดยไม่ลังเล

สายตาปะทะกับหญิงสาวยืนห่างไม่กี่ก้าว หล่อนดูมึนงง แปลกที่กับสภาพรอบตัว...ราวกับมีเชือกที่มองไม่เห็นกระตุกรั้ง สายตาสองคู่พบกันใต้เงาสนธยา

พี่เชน เสียงใสคุ้นหู

รุ้ง เชนทักตอบแปลกใจ

ทั้งสองก้าวเข้าหากันรวดเร็ว

มาที่นี่ได้ยังไง สองเสียงถามพร้อมกัน

ทั้งคู่ชะงักนิดหนึ่ง ก่อนหัวเราะขัน อารมณ์เปลี่ยน บรรยากาศรอบตัวดีขึ้น

พี่เชนตอบก่อนสิ รุ่งรตีโบ้ยให้เขาเป็นฝ่ายพูด

พี่ไม่รู้ จู่ๆ ก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

เหมือนรุ้งเลย ไม่รู้มาได้ยังไง จู่ๆ ก็มาอยู่ที่นี่เลย

สองหนุ่มสาวมองตากัน...ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ...ก่อนได้คำตอบเวลาเดียวกัน

ฝัน สองเสียงพูดพร้อมกัน อดไม่ได้ต้องหลุดเสียงหัวเราะอีกครั้ง

คงเป็นความฝันจริงๆ นั่นแหละ รุ่งรตีพูดพลางมองรอบตัว ดีนะที่ในฝันนี้มีพี่เชน

เชนไม่ตอบคำ มองหญิงสาวด้วยแววตาอ่อนโยน ความอึมครึมแทบไม่มีผลต่อความรู้สึกเขาในเวลานี้

ตอนนี้เราจะทำยังไงต่อดี

หญิงสาวถาม ยอมให้เขาเป็นผู้นำ

รอเวลาตื่นดีมั้ย เขาหยอก

เมื่อไหร่จะตื่นก็ไม่รู้...รุ้งยิ่งตื่นสายอยู่ด้วย

รุ่งรตีย่นจมูก ยิ้มใส เชนเห็นหล่อนน่ารักกว่าตัวจริงที่เคยเจอเสียอีก

งั้นเดินเที่ยวกัน เขาพูด

ที่นี่เหรอ รุ่งรตีมองรอบตัว ใต้แสงสนธยา ทุกสิ่งขมุกขมัวไม่น่าอภิรมย์ ไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย

ก็เดินไปคุยไป เผื่อจะโผล่ออกที่อื่นได้ เขาแนะ

ตามใจพี่เชนสิ หญิงสาวไม่เรื่องมาก สถานที่ไม่น่าเดินเที่ยว แต่ไม่มีเรื่องอื่นน่าสนใจกว่าให้ทำ

เพียงทั้งสองก้าวขาไม่เกินสามก้าว ก็บังเกิดลมหมุนควะคว้าง ม่านฝุ่นสีน้ำตาลก่อตัวขึ้นรอบๆ จุดแล้ว จุดเล่า เสียงวู้หวิวบาดหู ลมร้อนกับลมเย็นปะทะกัน ก่อให้เกิดกระแสปั่นป่วนรุนแรง

พี่เชน รุ่งรตีกรีดร้องเสียงดัง

พี่อยู่นี่ เชนตะโกนขึ้น ยื่นมือออกไปคว้ามือหญิงสาวไว้

มือต่อมือจับกันกระชับมั่น กระแสลมรุนแรงพยายามแยกมือทั้งสองให้หลุดจากกัน ม่านฝุ่นลอยคลุ้งมองอะไรไม่เห็น โลกรอบตัวเป็นสีเทาปนน้ำตาล แรงลมฉุดกระชากพัดพายากทรงตัว

ท่ามกลางม่านฝุ่น กระแสลม ความปั่นป่วนที่ไร้เหตุผล ทั้งคู่กำลังถูกพัดพามายังอีกสถานที่หนึ่ง เป็นที่ที่เงาแห่งสนธยาทาทาบ ความขมุกขมัวเสมือนแสงสว่างเดียวในโลก

ลมอ่อนกำลังลงแล้ว ม่านฝุ่นคลายตัว มือทั้งคู่ยังจับกันแน่น ทั้งที่ยังไม่สามารถมองเห็นกันและกันชัดเจน ขณะนั้นทุกสิ่งกำลังก้าวสู่ความนิ่งงันเชื่องช้า

เชนลืมตามองหาหญิงสาว จากสัมผัสที่กระชับแน่นยืนยัน หล่อนอยู่ใกล้นี่เอง ม่านฝุ่นจางเห็นเงาร่างอีกฝ่ายห่างแค่เอื้อมมือ

รุ้ง...เป็นอะไรมั้ย

ไม่เป็นไร...แค่มองหาพี่เชนไม่เจอเท่านั้นเอง

พี่อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ เขาพูด

พูดคุยคำสองคำ ควันจางก็เลือนหาย เผยสภาพรอบตัวอีกครั้ง

อุ๊ย!”

รุ่งรตีอุทานทำให้เชนหันกลับมองดูด้านหลัง...พอเห็นต้องนิ่งอั้นตะลึงงัน พูดอะไรไม่ออก

ต่อหน้าสายตาคนทั้งคู่ มันไม่ใช่สถานที่เวิ้งว้างไร้ขอบเขตอีกแล้ว มันเป็นสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคนทั่วไปไม่กล้าเหยียบย่าง...สุสาน


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP