สารส่องใจ Enlightenment

หลักการปฏิบัติธรรม



พระธรรมเทศนา โดย พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)
แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๖

การมาอยู่จำพรรษาที่วัดนี้ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร อุบาสกและอุบาสิกา
ที่มาจากที่อื่น หรืออยู่ในที่นี้ก็เหมือนกัน
ได้อยู่จำพรรษาสิ้นไตรมาส (๓ เดือน) แล้ว
วันนี้เป็นปวารณาออกพรรษา
หลังจากนี้ต่างคนก็จะแยกย้ายกันไปทำมาหากินตามหน้าที่ธุระของตนๆ
แต่ละคนก็มีภาระต่างๆ กัน

คำว่า พรรษาในที่นี้หมายเอาฤดูฝน ๔ เดือน
แต่แท้จริงนั้น วัสสา แปลว่า ฝน เฉย ๆ นี่แหละ
ต่อมาก็เลยกลายเป็นวันสำคัญ พระเจ้าพระสงฆ์ได้บวช ๓ เดือน
อุบาสกอุบาสิกาได้มาจำพรรษาเพื่อมาปฏิบัติธรรม
ถือเป็นของขลังศักดิ์สิทธิ์ในฤดูฝน ๔ เดือน นั่นเลยเข้าใจว่าเป็นหนึ่งพรรษา
ความเป็นจริงพรรษาหนึ่งๆ คือการนับอายุนั่นเอง
พอถึง ๑๒ เดือนจึงนับเป็น ๑ พรรษา
ต่อมามันย่อลงเอาแต่สั้นๆ เพียง ๓ เดือน
คือนับจากเดือน ๘ เพ็ญถึงเดือน ๑๑ เพ็ญเป็นเวลาหนึ่งพรรษา
ผู้ใดบวชเข้ามาถึง ๓ เดือนก็เลยเรียกว่าได้ ๑ พรรษา

อันเรื่องการนับพรรษาหนึ่ง หรือปีหนึ่งนี้ก็ไม่เป็นของสำคัญอะไร พูดให้ฟังเท่านั้น
จะนับหรือไม่นับก็ตามใจ ไม่สำคัญอะไรนัก
ที่สำคัญที่สุดคือที่เราได้มาอยู่จำพรรษาที่นี้
ได้มาปฏิบัติธรรม ชำระกิเลสอารมณ์ของตนๆ ให้สะอาด
ในเมื่อมีโอกาสเช่นนี้
พอออกพรรษาแล้วก็จะต้องแยกย้ายกันไปทำมาหากินตามภารกิจของตนๆ
ขอให้ยึดมั่นในหลักธรรมที่เราได้ปฏิบัติมาแล้วตลอดพรรษา
เราได้ปฏิบัติมาเช่นไร ให้ยึดมั่นในใจของตนว่า อันนี้แหละเป็นอันถูกต้องแล้ว
ให้จับหลักอันนั้นไว้ให้มั่น อันนั้นเป็นของสำคัญยิ่งนัก

เรามาปฏิบัติธรรมคล้ายกับว่าเรามาตรึกตรอง
มาพินิจพิจารณาหาข้อเท็จจริงในหลักธรรมนั้นๆ นี่คือการปฏิบัติธรรม

ถ้าหากว่าเรามาปฏิบัติธรรมได้พรรษาหนึ่งหรือหลายพรรษาแล้วก็ตาม
แต่ที่ปฏิบัติมายังจับหลักไม่ได้ พินิจพิจารณาข้อธรรมไม่ได้สักอย่างเดียว
การปฏิบัติเลยโลเล ไม่มั่นคง
อันนั้นยังไม่มีหลัก ยังใช้ไม่ได้ดี
การที่จะให้ได้ดีแท้นั้น ต้องมีหลักในการปฏิบัติธรรมให้มั่นคงในใจของตน
โดยการพิจารณาหาข้อเท็จจริงในหลักธรรมนั้นๆ ให้ชัดเจนด้วยตนเอง

การปฏิบัติธรรมตามพระพุทธศาสนา คือ ทำดี
ทีนี้ที่เราทำดีกันอยู่ทุกวันนี้มีหลักอะไรบ้าง
พูดย่อๆ คือ มีการทำทาน มีการรักษาศีล มีการทำสมาธิ แล้วก็เกิดปัญญา
ทั้ง ๔ อย่างนี้แหละเรียกว่า หลักการทำดีของพระพุทธศาสนา
ความดีที่ทำทั้งหมดนั้นไม่หนีจากหลัก ๔ ประการนี้เลย
ทำที่ไหนก็ตามเถิด ถ้าทำตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว
ต้องอยู่ในหลัก ๔ ประการนี้ทั้งนั้น


หลักที่ ๑ การทำทาน
มีอะไรเป็นหลักเบื้องต้นที่เราจะต้องให้ยึดมั่น
การทำทานต้องมี ความเชื่อ เป็นหลักมั่นคงเสียก่อน
เชื่ออะไร คือ เชื่อว่าทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป
เชื่อมั่นอย่างนี้ เรียกว่า กมฺมสฺสกตา เชื่อมั่นในกรรม ในผลของกรรม
เมื่อมีความเชื่อมั่นเช่นนี้แล้วทำทานลงไปย่อมไม่ผิดพลาด ได้ความสมปรารถนาทุกอย่าง
ที่ว่าไม่ผิดพลาดในที่นี้คืออย่างไร
เมื่อมีความเชื่อมั่นแน่นแฟ้นในใจของตนเสียก่อนแล้วจึงทำทานลงไป
ทานนั้นเป็นผลเลิศ ทานนั้นย่อมได้ผลแก่ตนเองไม่ผิดพลาด

ความหมายของ ทาน ท่านเทศนาไว้ว่า ทานวัตถุมี ๑๐ ประการ
ดังนั้นทานจึงต้องมีวัตถุทาน คือ สิ่งของที่จะต้องให้
และต้องมีผู้รับทาน เรียกว่า ปฏิคาหก

จะเป็นใครก็ได้ พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ได้
ต้องมีครบทั้งวัตถุทานและผู้รับทาน จึงจะเรียกว่าทำทาน
ทานวัตถุ ๑๐ ประการมี ๑. อนฺนํ ให้ทานข้าว ๒. ปานํ ให้ทานน้ำ ๓. วตฺถํ ให้ทานผ้า
๔. ยานํ ให้ทานยวดยานพาหนะ ๕. มาลา ให้ทานดอกไม้ธูปเทียน
๖. คนฺธํ ให้ทานของหอมกระแจะจันทน์ต่าง ๆ ๗. วิเลปนํ ให้ทานเครื่องลูบทาตัวทาตน
๘. เสยฺยํ ให้ทานที่นอนเครื่องลาดปู ๙. อาวาสถํ ให้ที่อยู่อาศัยเสนาสนะ
๑๐. ปทีเปยฺยํ ให้ทานประทีปแสงสว่าง ทานวัตถุมี ๑๐ ประการนี้

ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า จาคะ ต่างจากทานวัตถุ ๑๐ ประการที่ว่ามานั้น
จาคะ ได้แก่ การสละด้วยน้ำใจ ทั้งที่มีวัตถุและไม่มีวัตถุก็ได้
หรือจะเรียกว่ามีจาคะเสียก่อนแล้วจึงมีทานวัตถุก็ได้
จาคะนี้เป็นของสำคัญมาก ต้องเข้าถึงจิตถึงใจจริงๆ
จะมีผู้รับหรือไม่มี จาคะได้ทั้งนั้น
เช่น จาคะสละ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกจากใจของตน
ซึ่งไม่มีใครมารับก็สละได้
ใครจะมารับ ทุกๆ คนก็แบกเต็มบ่าอยู่แล้ว
ความขุ่นมัวเกี่ยวข้องกังวลและทุกข์โศกทั้งปวง ใครๆ ก็เป็นทุกข์อยู่แล้ว
เราสละออกไปให้ห่างไกลจากตัวของเรา ใครจะเอาเล่า

ความโลภ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าไม่ดี ทรงจาคะสละหมด
ความโลภเมื่อตกแก่พวกเราผู้มีปัญญาทราม อยากได้โน่นอยากได้นี่
ชิงลาภชิงยศ ชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน เรียกว่าแย่งกัน
เมื่อแย่งกันก็เป็นเหตุให้ทะเลาะวิวาท ทุ่มเถียง ฆ่าซึ่งกันและกัน
ความโกรธ ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายท่านสละทิ้งหมด
แต่คนเรานี่เรื่องโกรธละชอบนัก ใครว่าอะไรผิดหูไม่ได้หรอก
ชอบไปรับเอาเข้ามาใส่หูแล้วโกรธเอาๆ
บางทีผู้ที่เราโกรธ นั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำไป
เราไปรับเอาความโกรธนั่นมากลุ้มใจอยู่คนเดียว
ความหลง มัวเมาในสิ่งต่างๆ เรื่องต่างๆ ก็เหมือนกันเป็นแบบเดียวกัน

จาคะเป็นของดีอย่างนี้ ทำได้เสมอทุกเวลา
วัตถุที่จะจาคะก็ไม่ต้องมี บุคคลที่จะรับก็ไม่ต้องมี
แต่หากไม่อด คนที่มารับเอาจาคะ แม้แต่ตัวของเราก็อาจจะเป็นคนขอทาน
รับของทานที่สละแล้วซ้ำไป

ศรัทธา ก็เป็นของดีเหมือนกัน เป็นของสำคัญ
พระพุทธองค์ตรัสเทศนาไว้ว่า สทฺธายตรติโอฆํ ศรัทธาเป็นเครื่องนำให้ข้ามโอฆะได้
คือ หมายความว่ามีศรัทธาเชื่อมั่นแน่วแน่แล้วนั่นแหละ
เป็นเครื่องให้ข้ามโอฆะ (โอฆะเปรียบเทียบห้วงน้ำ)
ราคะ โทสะ โมหะ เป็นโอฆะแต่ละอย่างๆ
คนที่จะข้ามโอฆะได้ต้องมีศรัทธาเสียก่อน
ถ้าไม่มีศรัทธาเสียอย่างเดียวก็หมดทางที่จะข้ามโอฆะได้
ศรัทธาจึงเป็นของสำคัญที่สุด
เช่น เชื่อมั่นในกรรม เชื่อผลของกรรม ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว

แต่ว่าศรัทธาอันนั้นเป็นเบื้องต้นที่จะทำทาน
ถ้ามีศรัทธาแล้วไม่อดเรื่องการทำทาน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ทำมากก็ได้ ทำน้อยก็ได้
ไม่ต้องเลือกวัตถุในการทำทาน จะเป็นข้าว น้ำ อาหาร หมากพลู บุหรี่ ฯลฯ
สารพัดสิ่งเป็นทานได้ทั้งหมด แม้แต่ใบไม้ ใบตอง ใบหญ้า ก็เป็นทานได้
เราทำด้วยความเชื่อมั่นว่า สิ่งนี้ทำไปแล้วจะเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้นๆ
ก็อิ่มอกอิ่มใจขึ้นมาก็เป็นบุญ

นั่นแหละศรัทธามันทำให้อิ่มอก อิ่มใจ ทำให้เกิดบุญซาบซึ้งถึงใจทุกอย่างไม่ลืมเลย
อันนั้นจึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ข้ามโอฆะ


หลักที่ ๒ การรักษาศีล
ศีล คือ เจตนางดเว้นจากโทษนั้นๆ
เมื่องดเว้นจากโทษ ๕ ประการ เรียกว่า ศีล ๕ เกิดขึ้นแล้วในตัวของเรา
เจตนางดเว้นจากโทษ ๘ ประการ เรียกว่า ศีล ๘ เกิดขึ้นแล้วในตัวของเรา
งดเว้นจากโทษ ๑๐ ประการ เรียกว่าศีล ๑๐ เกิดขึ้นแล้วในตัวของเรา
งดเว้นจากโทษ ๒๒๗ ประการ เรียกว่า ศีล ๒๒๗ เกิดขึ้นในตัวของเรา
ศีลมีเจตนาเป็นพื้นฐาน
ถ้าไม่มีเจตนาจะงดเว้นแล้ว ศีลทั้งหมดก็จะไม่มีในบุคคลผู้นั้นเลย
เจตนาจะมีก็เพราะผู้นั้นเห็นโทษในข้อนั้นๆ เสียก่อนจึงงดเว้น
พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาว่าเจตนา ตัวเดียวเป็นศีล

ศีลเป็นของรักษาง่ายนิดเดียว
ถ้าผู้มีศรัทธาเชื่อมั่นว่าเราทำดีย่อมได้ดี มีผลให้เกิดความสุข
ทำชั่วย่อมได้รับความชั่ว มีผลให้เกิดความทุกข์
คนเราเกิดมาย่อมปรารถนาความสุขด้วยกันมิใช่หรือ
เมื่อปรารถนาความสุขก็ต้องรักษาศีล

และรักษาศีลก็ไม่ต้องป่าวร้องคนอื่น คนเดียวหรืออยู่ที่ไหนก็ รักษาได้
และไม่ต้องมีวัตถุสิ่งของเหมือนกับทำทาน
พอเจตนางดเว้นจากข้อนั้นๆ เราก็เป็นผู้มีศีลขึ้นมาทันที
และศีลไม่จำเป็นจะต้องมีถึงห้าข้อ แปดข้อเรื่อยไป เอาข้อเดียวก็ได้
เราผิดข้อไหนเรางดเว้นข้อนั้น
และงดเว้นให้จริงๆ อย่าให้ขาดตกบกพร่องได้

ถ้ายังขาดตกบกพร่องอยู่ให้ตั้งใจรักษาใหม่ ๓ เดือน ๖ เดือน ๑ ปี ๒ ปี
จนกว่าศีล (ข้อนั้น) จะสมบูรณ์บริบูรณ์
ดีกว่าผู้ไปสมาทานศีลทุกวันพระแล้ว รักษาไม่ได้สักตัวเดียว
สมาทานศีลมาไม่ทราบกี่ปีแล้ว ศีล ๕ ข้อก็รักษาไม่ได้
รักษาศีลแบบรักษาตัวเดียวนี้ สมมติว่าข้อหนึ่ง รักษาปีหนึ่งจึงรักษาได้บริบูรณ์
ปีต่อไปรักษาข้อ ๒ ปีต่อไปรักษาข้อ ๓
๕ ปีก็รักษาได้ ๕ ข้อสมบูรณ์ ศีลนั้นได้ชื่อว่าเป็นของตัวแล้ว

คราวนี้เราไม่ต้องรักษาศีลแล้ว ศีลกลับมารักษาตัวเรา
เราจะล่วงละเมิดศีลไม่ได้เด็ดขาด
หากจะล่วงละเมิด ศีลต้องรักษาตัวเราไม่ให้ทำ

เช่น เห็นสัตว์ควรที่จะฆ่า แล้วก็เกิดเมตตาสงสารเอ็นดู
เหมือนกับเห็นลูกหลานของตนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก
เห็นสิ่งของของคนอื่น เหมือนกับเห็นของของเรา
เห็นบุตรภรรยาของคนอื่น ก็เหมือนเห็นพ่อแม่พี่น้อง ลุงป้าน้าอาของตน
แล้วที่ไหนจะล่วงละเมิดได้
คำพูดที่ควรจะโกหกหลอกลวงเขา
ก็เห็นเหมือนกับเรากำลังจะอ้าปากคาบเอาของเลวทรามเอามาไว้ในตน
สุราเมรัย เครื่องดองของเมาต่างๆ ตลอดถึงยาเสพติดที่เราจะดื่มให้ล่วงละเมิดลำคอ
ก็เหมือนกับเรากำลังจะกลืนยาพิษลงไปในลำคอ


หลักที่ ๓ การทำสมาธิ
ผู้ฝึกหัดสมาธิมีอะไรเป็นหลัก ให้พิจารณาข้อเท็จจริงของการทำสมาธิ
จะเห็นว่าการทำสมาธินี้มันเกี่ยวข้องถึงเรื่องตัวของเราเองทั้งนั้น
เช่น พิจารณาว่าเราทำสมาธิทุกวันนี้เพื่ออะไร ก็เพื่อหัดสละปล่อยวาง
สละอะไร ก็สละสิ่งที่มาติดข้องมัวหมองอยู่ในจิตในใจของตนละซี
เราจะต้องสละสิ่งเหล่านี้แหละ ต้องสละเปลื้องหมดทุกสิ่งทุกอย่าง หรือเรียกว่าจาคะ
นี่คือหลักของ สมาธิ

เมื่อสละสิ่งมาข้องอยู่กับจิตกับใจแล้ว ลงปัจจุบันจึงจะเป็นสมาธิ
อย่างที่ท่านอธิบายไว้ว่า ละ วิตก ละวิจาร ละปีติ ละสุข
เป็นเอกัคคตา ที่เรียกว่า ฌานมีองค์ ๕
ละก็คือสละนั่นเอง สละกับจาคะ ก็อันเดียวกัน
เมื่อจาคะอารมณ์ที่มาติดข้องอยู่ในใจไปแล้ว
จิตใจย่อมปลอดโปร่งผ่องใสสะอาดเป็น สมาธิ
อันนี้ทุกคนทำได้แล้วต้องเห็นด้วยใจตนเอง
ใครจะสละอะไรก็เห็นด้วยใจตนเองทั้งนั้น

ความโกรธ ความโลภ ความหลง ล้วนเป็นของเศร้าหมอง
ทำใจให้มืดมิด ทำจิตใจให้ติดข้องอยู่ในเรื่องนั้นไม่หายสักที
คนที่ติดภพติดชาติอยู่นานๆ ก็ติดอยู่ด้วยของเหล่านี้เอง
การที่ติดภพติดชาติอยู่นานๆ มันเลยเป็นนิสัยให้ผูกพันกับของเหล่านี้แหละ
ฉะนั้นในชาตินี้ ปัจจุบันนี้ เมื่อเรารู้สึกตัวแล้ว
จึงควรหัดละ หัดทิ้ง หัดถอน หัดปล่อยทอดธุระในสิ่งที่ไม่ดีเสีย
ให้มันค่อยเบาบางลงไปบ้าง
อย่างนี้จึงจะชื่อว่า หัดสมาธิ คือ หัดเพื่อละ
สมาธิมีการละ การปล่อยวาง เป็นหลัก


หลักที่ ๔ ปัญญา
การที่พิจารณารอบรู้ในสิ่งต่างๆ จะรู้อะไรก็ตาม
แม้จะรู้เล็กๆ น้อยๆ ก็อยู่ ในขอบเขตของปัญญา
ที่รู้สิ่งดีสิ่งชั่ว สิ่งหยาบละเอียด ก็อยู่ในขอบเขตของปัญญา
เป็นปัญญาธรรมดาสามัญนี้เสียก่อน อย่าเพิ่งพูดถึงปัญญาขั้นสูงเลย

ปัญญาที่เป็นฝ่ายโลกิยะ คือปัญญารู้จักทำมาหากินโดยชอบ
ประกอบกิจโดยสุจริต ไม่อิจฉาริษยาคนอื่น เป็นต้น

ปัญญาที่เป็นฝ่ายธรรมะ นั่นคือ เมื่อพิจารณาอะไรก็เป็นธรรมทั้งหมด
เช่น ความโลภ หากพิจารณาให้เป็นธรรมแล้ว
ความโลภมันก็ดีเหมือนกัน พิจารณาให้เห็นความโลภนี้แหละเป็นของดีมีประโยชน์
คือถ้ามันไม่โลภ เราก็ไม่มีโอกาสจะสละความโลภ
ความโกรธก็เหมือนกัน เพราะมีโกรธเราจึงมาหัดละความโกรธ
ถ้าไม่มีโกรธเสียแล้ว จะเอาอะไรมาละ
ความหลงก็เป็นของดีเช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีหลงก็ไม่ได้ละความหลง
นี่แหละมันเป็นธรรมอย่างนี้

ส่วนคนที่ไม่เห็นเป็นธรรม เวลามีโลภก็กลุ้มอกกลุ้มใจอยากจะได้ถ่ายเดียว
ไม่มีทางปลดเปลื้องแก้ไขตนเองได้
เวลาโกรธก็เหมือนกัน ได้แต่กลุ้มอกกลุ้มใจด้วยความโกรธนั่นแหละ
มันมืดมิดปิดหนทางไม่มีทางออก
พิจารณาไปทางไหนปกปิดไปด้วยความโกรธทั้งนั้น
ความหลงก็แบบเดียวกัน
คนเราไม่เข้าใจว่านั่นเป็นธรรม
เลยมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลงครอบงำอย่างเดียว
อันนั้นเป็นโลกไม่เป็นธรรม
ครั้นถ้าพิจารณาจนเห็นโทษเห็นทุกข์ของมันแล้ว
นั่นแหละจึงค่อยเป็นธรรม เมื่อละมันได้แล้ว จะเห็นคุณค่าของเรื่องเหล่านั้น
อันนี้เรียกว่าปัญญา เป็นปัญญาสามัญในทางธรรม

ถ้าปัญญาสูงวิเศษขึ้นไปกว่านั้นก็เป็น ปัญญาวิปัสสนา
ปัญญาชนิดนั้นมันเกิดเองเป็นเองหรอก ใครจะสอนให้ ใครจะแนะนำให้ก็ไม่ได้
สอนให้แต่ปัญญาขั้นต้นนี้แหละ เวลามันจะเกิด มันเกิดขึ้นมาเอง
เวลาจิตใจปล่อยวางหมดทุกสิ่งทุกประการ
แม้แต่ความคิดนึกในจิตใจที่อยากให้เป็นเช่นนั้น ก็ปล่อยวางหมด
มันเกิดขึ้นมาในขณะนั้น เป็นความรู้ชัดขึ้นมา
เห็นสิ่งทั้งปวงหมดในโลกเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาพเดียวกันไปหมด
อันนี้แหละเป็นที่สุดของโลก พระพุทธศาสนาสอนหมดแค่นั้น

ใครจะภาวนาเห็นอะไรก็เห็นไปเถิด
หากพอลง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว มันก็หมดเรื่องเท่านั้นเอง

วันนี้อธิบายให้ฟังถึงเรื่อง หลักการทำความดี สรุปได้ว่า
ทำทาน ต้องมีหลักคือ ศรัทธา เสียก่อน
รักษาศีล ก็มีหลักคือ วิรัติ เครื่องงดเว้น
และ หิริโอตตัปปะ ความละอายบาป เกรงกลัวบาป เป็นเครื่องอยู่
ทำสมาธิ มีหลักคือ จาคะ สละของที่มีในตัวคือ โลภ โกรธ หลง
ปัญญา ก็มีหลักคือ ความรู้ความเข้าใจในการเห็นสิ่งทั้งปวงหมดเป็นธรรม
รู้ผิดรู้ถูก รู้ดีรู้ชั่ว รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร
แม้แต่ผู้จะทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ ก็ต้องมีปัญญาเสียก่อนจึงทำได้

ปัญญาทางธรรม มี ๒ อย่าง
อย่างแรกเป็น ปัญญาสามัญในทางธรรม เห็นโลกเป็นธรรม
อย่างที่อธิบายมาแล้วว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง
ซึ่งเป็นของที่ให้โทษให้ทุกข์แก่จิตใจ ก็เป็นของดีเหมือนกัน
ถ้าไม่มีโลภ โกรธ หลง ก็ไม่ได้ละโลภ โกรธ หลง
ปัญญาอีกอย่างหนึ่ง เป็นปัญญาที่สูงดีเด่นขึ้นไปกว่านั้นอีก
เรียกว่า ปัญญาวิปัสสนา คือ เห็นสิ่งทั้งปวงหมดเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สิ่งเหล่านั้นเป็นของไร้สาระ เป็นโทษเป็นทุกข์เป็นภัย อันตรายแก่จิตใจ
จึงปล่อยวางทอดธุระในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
อันนี้เป็นปัญญาอันวิเศษสูงสุด
เพราะคนจะพ้นจากโลกได้ก็เพราะเห็นที่สุดของโลก
คือ ได้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง

ไม่ใช่เห็นโดยคิดคาดคะเนเอานะ
ต้องเห็นแจ้งชัดด้วยใจของตนเอง สัมผัสด้วยใจของตนเองจริงๆ
ถ้าคิดนึกเอามันไม่ใช่วิปัสสนา มันเป็นวิปัสสนึก
หมดความคิดนึกอันนั้นแล้วมันก็วกกลับคืนมาเล่นงานเราอีก
ถ้าเห็นแจ้งชัดด้วยใจของตนเองจริงๆ
ลงได้ถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว ละได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
พระพุทธศาสนารวมยอดเข้ามาแค่นี้แหละ


เมื่อออกพรรษาแล้วต่างพากันแยกย้ายไปทำมาหากินตามหน้าที่ของตนทุกๆ คน
ให้พากันจับหลักในการปฏิบัติธรรมให้ได้
อย่าให้เสียทีที่เรามาฝึกหัดปฏิบัติอบรมกัมมัฏฐาน
ประเดี๋ยวเอาของไม่ดีไปเผยแพร่ก็ขายขี้หน้าตัวเอง
คนทั้งหลายทั้งปวงต่างก็อยากได้ของดี พากันมาหาของดีอย่างที่อธิบายมานี้
พอออกพรรษาแล้วกลับไปบ้าน เอาของดีนี้ไปฝากพี่ฝากน้อง ฝากเพื่อนฝูงญาติมิตร
หมู่เพื่อนเห็นเข้าก็น่านิยมนับถือ อันนั้นเป็นการดีมาก
ได้ชื่อว่าพวกเรารับเอาของดีไป นำของดีๆ ไป ฝากเขา
หมู่เพื่อนก็เลยพลอยดีไปตามด้วย

ทีนี้ถ้าหากเก็บเอาของไม่ดีไป ของไม่ดีก็คือของที่เขาสละละทิ้งแล้ว
เรามาเก็บเอาใส่ถุงใส่ห่อเต็มแล้วก็กลับบ้าน
พอไปเปิดดูที่บ้านก็ไม่มีของดีอะไรเลย มีแต่ขยะที่เขาทิ้งแล้วทั้งนั้น
ของขี้ขยะนั้น เปรียบได้กับเศษกระดาษและของเขาทิ้งแล้ว
เปลือกผลไม้ต่างๆ เศษต่างๆ ใช้อะไรไม่ได้ทั้งนั้น
เราเลยเก็บเอาใส่พกใส่ห่อไป
อุปมาได้กับการปฏิบัติที่ไม่มีอะไรเป็นหลัก เป็นเครื่องยึดถือที่ถูกต้อง
มาปฏิบัติก็เสียเวลาเปล่า ๆ

ฉะนั้น อย่าให้มันเสียประโยชน์ในการที่ได้เกิดมามีชีวิต
มีโอกาสฝึกฝนอบรมปฏิบัติธรรม
จงทำตนของตนให้มีประโยชน์มีคุณค่า
จงสอนจงอบรมตนให้เข้าใจถึงเรื่องตัวของเรา
ที่เรามาอยู่จะต้องเอาอะไรไปบ้าง

เลือกเอาสิ่งที่ดีมีคุณค่าที่ควรจะติดไม้ติดมือไป
อย่าไปเอาของเศษๆ ของเลอะเทอะพวกนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
หมู่เพื่อนเขามาละความโกรธ ความโลภ ความหลง
สิ่งที่เขาทิ้งแล้ว เอาไปเป็นสมบัติของตน ไม่ดีเลย
เอวํ

sathu2 sathu2 sathu2



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP