วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๑๙


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



คำพิพากษาออกมาแล้ว...ศาลยอมรับพินัยกรรมฉบับสองให้มีผลใช้ได้ทันที ดังนั้นทั้งสีดา สุขศจี จะถูกตัดออกจากกองมรดก พิทักษ์จึงไม่มีสิทธิในสมบัติตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลอีก ยกเว้นสมบัติที่มีชื่อเป็นของสีดาระหว่างการสมรส

พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลมาฟังคำพิพากษาพร้อมเพรียง ส่วนผู้จัดการมรดกมาคนเดียวคือคุณจิตใส

งานนี้เชนกับรุ่งรตีเป็นผู้สังเกตการณ์ นอกศาลมีนักข่าวท้องถิ่นและส่วนกลางหลายคนมารอฟังคำพิพากษา ข่าวนี้เป็นที่สนใจของคนไม่น้อย

ทั้งสองฝ่ายออกจากศาลในเวลาไล่เลี่ยกัน กลุ่มนักข่าวต่างแห่กันสัมภาษณ์พี่น้องทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลและพิทักษ์ ดูราวเกิดจลาจลย่อย เจ้าหน้าที่ต้องจัดระเบียบ กันผู้คน นักข่าวไม่ให้วุ่นวายมากเกินไป

ตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลให้รามเป็นผู้ตอบนักข่าว เขาพูดด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม ยิ้มเต็มที่ถึงชัยชนะที่ตนได้รับ

ผมต้องขอบคุณท่านผู้พิพากษาครับ ที่ให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา และทำให้พินัยกรรมเป็นไปตามเจตนารมณ์ของคุณแม่พวงทอง...

ด้านพิทักษ์ สีหน้าเขายังมีรอยยิ้มเกลี่ยเรียบ ไม่แสดงท่าทีเสียใจโกรธเคืองต่อคำพิพากษา คำพูดเนิบช้า มีน้ำหนักแบบทนายความ ทำให้คนฟังเชื่อถือ คล้อยตาม

เวลานี้ผมยอมรับคำตัดสินของท่านผู้พิพากษาในระดับหนึ่งครับ แต่ผมยังเชื่อมั่น ศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมของไทย โอกาสผมยังมี...กฎหมายบอกไว้ให้ประชาชนอย่างเรามีสิทธิอุทธรณ์ได้หากคำตัดสินของศาลชั้นต้นยังไม่อาจให้ความยุติธรรมเต็มที่...ผมจะอุทธรณ์ครับ แล้วก็จะขออำนาจศาลคุ้มครองประโยชน์ในทรัพย์สินที่ภรรยาผมมีสิทธิจะได้รับต่อไป ผมหวังว่าทางศาลคงให้โอกาสนี้แก่ผมเหมือนกัน

คำพูดพิทักษ์อาจไม่ดังนัก แต่สองฝ่ายให้สัมภาษณ์ใกล้กัน ดังนั้นทุกคำพูดจึงกระทบหูราม ลักษณ์ สมุทร สุขศจี และคุณจิตใสโดยทั่วหน้ากัน

การยื่นอุทธรณ์เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ไม่พอใจคำตัดสินของศาลชั้นต้น แต่การขออำนาจศาลให้คุ้มครองประโยชน์ในทรัพย์สินต่อ มันก็เกือบคล้ายอายัดทรัพย์ ทำให้พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลยังไม่สามารถใช้เงินสะดวกมือตามสิทธิในพินัยกรรม

สีหน้ารามเปลี่ยนไปชั่ววูบก่อนปรับให้คงเดิม แววตาทอประกายจัดจ้า ใบหน้าลักษณ์เครียดขรึม สมุทรและสุขศจีอาศัยด้านหลังพี่ชายทั้งสองจึงสามารถหันไปมองส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายต่ออดีตพี่เขยได้ชั่วเวลาสั้นๆ

นั่นคือจุดสิ้นสุดคดี หรือการก่อหวอดสงคราม พิทักษ์กล้าประกาศเช่นนี้ ใช่เขามีแค่ตัวเปล่าเล่าเปลือย รอบกายมีบอดี้การ์ดแต่งกายธรรมดาฝีมือฉกาจกระจายทั่ว

เขาอาจไม่รวยเท่าคนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล แต่หลายปีที่อยู่กับสีดาก็สะสมทรัพย์สินไม่น้อย มากพอจะจ้างบอดี้การ์ด มือปืน และเป็นทุนหันหน้าสู้กับเหล่าพี่น้องภรรยาได้อย่างไม่ลำบาก

น่าแปลก...ถ้าใครสักคนมีทรัพย์สินเท่ากับพิทักษ์วันนี้ เขาคนนั้นคงร้องลั่นดีใจ มีกินใช้สบายชั่วชีวิต ไม่คิดรบราฆ่าฟันใคร ไม่คิดช่วงชิงอะไรให้ปวดหัว เหนื่อยแรง แต่เพราะอำนาจความโลภทำให้ พอ ไม่เป็น ดิ้นรน ผลักไสผู้คนให้เดินหน้ากอบโกยไม่หยุดยั้ง ยินดีกับตัวเลขในธนาคารที่เพิ่มพูนขึ้นทวีคูณ โดยไม่สนใจ ต้องแลกกับอะไรบ้าง...ไม่สามารถรู้ได้เลย...ปลายทางแห่งความโลภ กอบโกยบนถนนทุจริตนั้น...มันคือหุบเหวแห่งความสะพรึง ลึกจนไม่มีก้น ลึกมากพอกับหลุมดำความโลภในใจคน...ใช้สมบัติทั้งแผ่นดินถมทับไม่มีวันเต็ม...


แดดยามเย็นเต้นระบำบนระลอกน้ำในบึงกว้างกลางสวนสาธารณะ ฝูงปลาใหญ่น้อยอ้าปากฮุบขนมปัง อาหารปลาที่ผู้คนโปรยให้อย่างสนุกสนาน ลมอ่อนๆ โพยพัดพร้อมกระไอแดดอุ่น เสียงหัวเราะต่อกระซิกมาจากครอบครัวเล็กๆ ริมน้ำที่ปูเสื่อนั่งพักผ่อนกันเพลิดเพลิน

สวนสาธารณะมีลู่วิ่งออกกำลังกายรอบบึงกว้าง ผู้คนต่างวัยตั้งแต่เด็กยันคนแก่ที่แข็งแรงจับเป็นกลุ่ม ก๊วน วิ่งออกกำลังกายอย่างมีความสุข เสียงพูดคุยหัวเราะแว่วมาเป็นระยะ

เชนวิ่งได้สองสามรอบก็มองเห็นหญิงสาวหน้าใส แต่งตัวเสื้อผ้าฝ้ายตัวใหญ่ กางเกงขาสามส่วนเข้าชุด ตามด้วยรองเท้าแตะสาน ดูง่าย สบายเด่นผิดคนอื่น เห็นอย่างนี้เชนอดยิ้มไม่ได้

รุ่งรตีอย่างไรก็เป็นรุ่งรตี ถึงเจ้าหล่อนพยายามแต่งตัวธรรมดา ไม่แต่งหน้า ไม่แต่งตัวเวอร์เหมือนก่อน ก็ยังดูเด่นกว่าใครอยู่ดี เพราะหล่อนมักคิดอะไรสวนทางกับชาวบ้านเสมอ...นี่คงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเธอ...

ยิ้มอะไรพี่เชน หญิงสาวแกล้งทำหน้าบึ้ง เมื่อเห็นชายหนุ่มเปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดินสบายๆ ส่งยิ้มแต่ไกล

ห้ามพี่ยิ้มด้วยเหรอ เขาถามขันๆ

ยิ้มแปลกๆ อย่างนี้คิดอะไรไม่ดีหรือเปล่า หล่อนซักไซ้

ถ้าคิดอะไรไม่ดีต้องยิ้มแปลกๆ ด้วยหรือจ๊ะ เชนสนิทสนมกับหล่อนมากพอจะหยอกล้อใกล้ชิด

ไม่รู้ละ รุ้งชักไม่ไว้ใจพี่เชนแล้ว

ชายหนุ่มยังยิ้มเฉย รู้จักกันมากพอจะอ่านอารมณ์ออกว่าหญิงสาวแค่หยอกล้อสร้างสีสัน

วันนี้นึกยังไง มาหาพี่ถึงที่นี่ได้

เอาผ้ามาให้ซับเหงื่อ พูดพลางยื่นผ้าขนหนูให้จริง

เชนหัวเราะพลางรับผ้าผืนนั้นมาซับเหงื่อไม่อิดเอื้อน หรี่ตามองผู้ให้เหมือนรู้ทันเจตนาอีกฝ่าย

ใจดีอย่างนี้มีเรื่องจะใช้งานพี่อีกหรือเปล่า

เกลียดจังเลยคนที่ชอบมองเจตนาดีของคนอื่นเป็นร้ายไปหมดแบบนี้

ใบหน้าเชนยังเปื้อนยิ้มขณะเดินนำหญิงสาวไปหลบแดด นั่งบนเก้าอี้ใต้ร่มไม้ แดดอ่อนมากแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะยืนคุยกับหญิงสาวกลางทางวิ่งเป็นเป้าสายตาใคร

นอกจากเอาผ้ามาให้พี่ซับเหงื่อ แล้วยังมีอย่างอื่นอีกหรือเปล่า เขาไม่เจาะจงเอาคำตอบนัก

เอาการ์ดแต่งงานมาให้ด้วย หญิงสาวตอบแบบแกล้งกระแทกเสียง

มีคนมาขอแล้วเหรอ เขายิ้มพราย นัยน์ตาใส อบอุ่น แย่จัง พี่บอกแม่ช้าไปหน่อย

รุ่งรตีหัวเราะเสียงใสพลิ้ว ใบหน้ายามไร้เครื่องสำอางแทบไม่แตกต่างจากเด็กสาววัยรุ่น เชนมองด้วยความรู้สึกเริ่มจะหวั่นไหว

คิดว่ารุ้งพูดเล่นหรือไง...มีจริงๆ นะ พูดจบหล่อนก็ยื่นการ์ดสีฟ้าให้ เชนรับมาเปิดอ่านแล้วเหลือบตามองสาวจอมป่วน

นี่มันการ์ดเชิญพลเอกทางธรรม และภรรยา ไปงานเลี้ยงทำบุญให้คุณยายพวงทองนี่ รุ้งหยิบผิดหรือเปล่า

อ้าว จริงหรือคะ หญิงสาวทำหน้าเหลอหลา นัยน์ตาพราวระยับ ว้า...แย่จัง สงสัยทางโรงพิมพ์เขาพิมพ์ผิด...ไว้ว่างๆ รุ้งจะไปเฉ่งให้นะ

รุ้งไปที่บ้านพี่หรือยัง...รู้ได้ยังไงว่าพี่อยู่ที่นี่ เขาชวนคุย

ไปมาแล้ว...เจอแต่ลูกจ้าง ไม่เจอเจ้าของร้านสักคน ทั้งร้านขายวัสดุก่อสร้าง ร้านขายต้นไม้ ร้านขายของชำ ไม่รู้ว่าเจ้าของรวยแล้วไม่สนใจหรือไว้ใจลูกน้องจนเกินเหตุ หล่อนพูดแกมบ่น

วันนี้พ่อแม่ไปหาท่านอาจารย์น่ะ เชนหมายถึงพระภิกษุที่คุณจิตใสและท่านนายพลนับถือกราบท่านเป็นอาจารย์อบรมสั่งสอน เย็นๆ คงกลับ แล้วรู้ได้ยังไงว่าพี่อยู่ที่นี่

เด็กที่ร้านพี่เชนบอกว่าเจ้าของร้านปั่นจักรยานมาออกกำลังกายอยู่นี่ รุ้งว่าจะไปแปลงร่างเป็นชุดวอร์มมาวิ่งกับพี่เชนแล้ว แต่กลัวไม่ทัน เลยมาทั้งอย่างนี้แหละ

เย็นนี้กินข้าวด้วยกันมั้ย แม่คงกลับมาไม่ทัน พี่เป็นพ่อครัวเอง

กินได้ด้วยหรือคะนั่น หล่อนแกล้งถามทั้งที่เคยชิมฝีมือเขาหลายครั้ง

ทำเป็นดูถูก อย่างกับไม่เคยกิน

เขายิ้มขัน นัยน์ตาเหลือบมองการ์ดในมืออีกครั้ง อ้อ แล้วงานในการ์ดนี้ไอเดียน้ารามอีกหรือเปล่า นึกยังไงถึงจะมาทำบุญ จัดงานเลี้ยงด้วย

รู้ว่าไอเดียลุงรามก็อย่าสงสัยสิ...แกว่าไหนๆ ก็ชนะคดีแล้ว ทำบุญให้คุณย่าเสียหน่อยก็ดี เลี้ยงพระกลางวัน...กลางคืนก็เลี้ยงคน จัดไม่ใหญ่มากหรอก เห็นว่าเชิญเฉพาะพวกผู้ใหญ่แล้วก็คนสนิทเท่านั้น รุ่งรตีอธิบาย

นั่นก็แทบหมดเมืองแล้วล่ะ เชนพอจะมองออก

พี่เชนแปลกใจอะไรเหรอ รุ่งรตีสงสัย

บอกไม่ถูกแฮะ เขาคาใจ ศาลชั้นต้นตัดสินแล้วก็จริง แต่ทางคุณพิทักษ์เขาก็ประกาศจะอุทธรณ์ แถมขออำนาจศาลคุ้มครองประโยชน์ต่อด้วยอย่างนี้ คนอย่างน้ารามไม่น่าจะสบายใจขนาดลุกขึ้นมาจัดงานอย่างนี้ได้

พี่เชนคิดว่ามันมีเบื้องหลังยังไง รุ่งรตีคิดไว เข้าใจคล้ายกัน

เชนนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปาก

เรื่องคดีน้าสีดายังคาใจพวกเราทุกคน ตอนนี้พี่มั่นใจ ทุกคนรู้แล้วว่าใครเป็นคนทำ...แต่ทำไมถึงเงียบกันขนาดนี้ น่าจะมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง ต่อให้ไม่มีหลักฐาน พยานชี้ตัวอะไรเลยก็ตาม

พวกเขาคงถึงทางตันเหมือนเรามั้ง รุ่งรตีบอกง่ายๆ หล่อนกับเชนสืบจนถึงที่สุด ยังไม่รู้อะไรคืบหน้ากว่าเดิม

พี่เชื่อว่าทั้งน้ารามและพ่อของรุ้งน่าจะรู้อะไรมากกว่าเรา ดูเหมือนพวกเขากำลังรออะไรบางอย่าง

รุ่งรตีถอนใจ

คราวก่อนรุ้งก็เตือนพ่อให้ระวังตัวไปแล้ว และก็ฝากให้พ่อเตือนลุงด้วยว่าให้อโหสิ...พวกเขาอาจทำตามนั้นมั้ง

พี่ไม่คิดว่าพวกเขาจะเชื่อคำเตือนของเราง่ายๆ หรอก เชนไม่พูดต่อ คนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลหัวดื้อ อัตตาแรงทั้งนั้น ยากจะฟังใคร

รุ้งว่ามันไม่แน่หรอก อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องชั่งน้ำหนักผลดี ผลเสียก่อนทำอะไรลงไป

นั่นสิ เชนพูดคล้ายเห็นด้วย คำพูดตามมากลับอีกอย่าง พี่ก็อยากคิดอย่างนั้น ถ้าไม่เห็นน้ารามแกลุกมาจัดงานเลี้ยงแบบนี้

ความกังวลของเชนระบาดถึงหญิงสาว อารมณ์แจ่มใสเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไป

เราจะทำยังไงดีล่ะ

ก็ไปกินเลี้ยงด้วยสิจ๊ะ เชนมีรอยยิ้ม อย่างน้อยพี่ก็รู้ว่างานนี้ต้องใช้เชฟของโรงแรมทรัพย์ยั่งยืนแกรนด์ฯ กับกุ๊กจากร้านครัวพวงทองมารวมกันแน่...รับรองอาหารคืนนั้นต้องสุดยอดหากินไม่ได้ง่ายๆ

ชายหนุ่มเปลี่ยนบรรยากาศให้สดใสขึ้น

ห่วงแต่กินเดี๋ยวก็อ้วนเป็นหมูหรอก หญิงสาวเหน็บ

ไม่มีทาง พี่ขยันออกกำลังกายแบบนี้อ้วนยาก...ไม่เหมือนคนขี้เซา กินแล้วนอนตื่นสายหรอก

เอ๊ะ มาว่าเค้าได้ยังไง รุ้งตื่นเช้าแล้วนะ

พี่ไม่รู้ด้วยนี่... เชนยิ้มพราย นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับ ยังไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน

รุ่งรตีสบกับนัยน์ตาคู่นั้น คิดหาคำพูดมาตอบให้ทันกัน แต่นึกไม่ออก จึงปล่อยให้เสียงสายลม แดดอ่อน และสำเนียงความสุขที่กระจายอยู่โดยรอบ เป็นภาษาตอบโต้เขาแทนตนเอง


รามวางแผนรอบคอบ จัดการสั่งงานไม่มีพลาด เลือกคนที่ไว้ใจสามารถปิดปากสนิทให้ทำงานนี้ รอเพียงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น

รามยิ้มอย่างภาคภูมิใจ คนทำงานสำคัญมักรอโอกาสที่จะฉกฉวยช่วงเวลาสำคัญ สำหรับเขาสามารถสร้างโอกาสเพื่อให้ได้เวลาที่เหมาะสมนั้นด้วยตนเอง

ตึ้ด...ตึ้ด...เสียงโทรศัพท์สายตรงดังขึ้นที่โต๊ะทำงาน รามขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนรับสาย คนที่รู้เบอร์ส่วนตัวเช่นนี้มีไม่มากนัก

เฮีย...ผมเองนะลักษณ์

เออ...มีอะไรวะ โทรมาแต่เช้า

อยากคุยเรื่องงานเลี้ยงที่จะจัดที่บ้านสักหน่อย

มีปัญหาอะไรล่ะ รามออกอาการฉุนนิดๆ

ปัญหาน่ะไม่มี แต่อยากรู้ว่าอาภาสแกคอนเฟิร์มมาหรือยัง

เออ มาแน่ไม่ต้องห่วง ผู้ว่าฯท่านก็รับปากแล้ว เฮียลงทุนไปเชิญด้วยตัวเองเชียวนะ คำพูดติดจะโอ่นิดๆ

แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับแขกพิเศษของเฮียแน่นะ ลักษณ์ถามเหมือนย้ำความมั่นใจ

เฮ่ย...ก็แค่งานเลี้ยงธรรมดา เราเชิญคนที่แม่เคยเคารพนับถือมาร่วมงาน จะเป็นไรไป ถึงพี่ชายพูดอย่างนั้น ผู้ฟังก็รู้มีบางสิ่งแฝงเร้น

แกคิดว่ายังไงล่ะ รามพูดสบายๆ แฝงความลำพอง แววตาจัดจ้าคล้ายสัตว์ป่าซุ่มรอตะครุบเหยื่อ

มีเสียงถอนหายใจดังผ่านหูโทรศัพท์

เฮียก็รู้ว่าผมคิดยังไง ลักษณ์จำยอม กึ่งอ่อนใจ

ถ้าเราคิดตรงกัน เข้าใจตรงกัน แล้วแกมีปัญหาอะไรอีก เสียงรามดุดันขึ้น

เรื่องปัญหาคงไม่ต้องพูดกันแล้วละ ผมว่าเฮียคงวางแผน จัดการเรียบร้อย แต่ผมกลัวผลกระทบที่จะตามมาถึง มันคุ้มค่าหรือเปล่าถ้าเราจะทำอะไรวู่วามลงไป

ถ้าแกรู้ว่าเฮีย เคลียร์ พื้นที่เรียบร้อยแล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก คราวนี้รามชักรำคาญคำพูดน้องชายเต็มทน

ผมคิดถึงผลกระทบนะเฮีย บวก ลบ คูณ หารดีแล้วหรือยัง

แกก็รู้ เฮียไม่เก่งคำนวณ เฮียรู้แค่ว่า ถ้ามีอะไรขวางหน้าเรา หน้าที่ของเฮียคือต้องเก็บกวาด

แค่ เก็บกวาด มันง่ายนะเฮีย...ลูกจ๊อกที่ไหนก็ทำได้ แต่ระดับเรา ถ้าจะทำควรให้มันสะอาดจริง และกลิ่นไม่ติดด้วย

รามนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปาก

เฮียไม่อยากให้แกรับรู้แผนการนี้

ไม่ได้หรอกเฮีย อย่าลืมสิ เราพี่น้องกัน ถ้าเฮียมีกลิ่นติด ผมและทุกคนก็โดนเหมือนกัน

งั้นแกจะว่ายังไง

หาที่เงียบๆ ปรึกษากันก่อนดีมั้ย

ตอนนี้เฮียสั่งเดินแผนไปแล้ว

งานยังไม่เริ่มวันนี้ไม่ใช่เหรอเฮีย คุยกันก่อน อย่าเพิ่งคิดตัดสินใจอะไรคนเดียวเลย

แกรู้ได้ยังไงวะ รามแปลกใจในความฉลาด เข้าใจของน้องชาย

ผมเป็นน้องเฮียนี่ เสียงลักษณ์กลั้วหัวเราะ

งั้นก็รีบมาคุยที่นี่ด่วนเลย

ครับเฮีย ตอนนี้ผมขับรถใกล้ถึงที่ทำงานเฮียแล้วล่ะ

ดี

เสียงวางหูโทรศัพท์...รามมองความว่างเปล่าบนโต๊ะทำงาน เขานับถือความคิด มันสมองของน้องชายคนนี้ก็จริง แต่งานบางอย่าง ก็อยากกันให้น้องไม่ต้องมาเกี่ยวข้อง เขาออกหน้าในโลกมืดเสมอมาอยู่แล้ว

ส่วนลักษณ์...พอวางหูโทรศัพท์เสร็จก็ต้องถอนใจเฮือกใหญ่ ตั้งแต่รามคิดจัดงานทำบุญเลี้ยงฉลองคำพิพากษา เขารู้ทันทีมันต้องมีเบื้องหลัง อาศัยมันสมอง รู้จักตัวตนพี่ชายจึงคาดเดาได้หลายส่วนว่ารามจะทำอะไร การโทรศัพท์คุยเมื่อครู่คือการสอบถามซ่อนนัย ได้คำตอบตรงกับที่คิด

เขาไม่อยากให้รามวู่วาม ผลีผลามฆ่าคนโดยไม่รอบคอบ จึงจำต้องร่วมออกความเห็นในแผนการนี้ด้วย

...สิ่งที่คาใจคือคำพูดลูกสาว...ที่บอกว่าคุณย่ามาเข้าฝัน ให้รามอโหสิต่อพิทักษ์...ความเป็นจริงคงทำไม่ได้ แต่เขาจะพยายามหาวิธีที่ประนีประนอมอย่างลงตัวที่สุด



บทที่ ๑๖


วันนี้คุณนายพวงทองแจ่มใสกว่าวันอื่น มีสติรับรู้เรื่องราวรอบตัว ไม่เหม่อซึมในหลุมมืดมนเป็นวันๆ เช่นเคย

ทั้งหมดน่าจะมาจากเสียงสวดมนต์ที่แว่วเข้าสู่ห้วงสัมผัส กระแสเสียงแฝงกระแสบุญ ปะปนคละเคล้าอบอุ่นบุญ ทั้งหนักแน่น แผ่วเบาทยอยเป็นระลอก

กระแสเสียงกระแสบุญนั้นสามารถชักพาคุณนายพวงทองออกจากโรงเจไปถึงบ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล เห็นลูกหลานอยู่เกือบพร้อมหน้า พระสงฆ์สวดมนต์ให้ศีลให้พร ก่อกระแสอบอุ่นเป็นสุข

คุณนายพวงทองเข้าบ้าน ยังรู้สึกว่าตนเองต้องนั่งรถเข็น ไม่สามารถเดินเหิน แค่ไปไหนมาไหนสะดวกกว่าเดิม รถเข็นเลื่อนผ่านผู้คนที่กำลังนั่งเรียงรายฟังพระสวดสงบสำรวม

พบคุณจิตใสกับสามีพนมมือฟังสวดด้านหน้า เหล่าลูกหลานคุณนายนั่งด้านหลัง คนเหล่านั้นอาจไม่ดื่มด่ำเข้าใจบทสวดนัก แต่คุณนายสัมผัสถึงความตั้งใจจริงจากลูกบางคนได้

เชนกับรุ่งรตีนั่งด้านหลังผู้ใหญ่ ทั้งคู่มีจิตใจจดจ่อสนใจเสียงสวดเป็นระยะ ยามคุณนายเลื่อนรถเข็นเข้าใกล้ พวกเขาจะชะงักหันหน้ามองกัน รู้สึกร่วมถึงสิ่งแปลกปลอมใกล้ๆ

เสียงพระให้พรกังวานชัด คุณนายพวงทองยกมือพนม น้อมจิตอนุโมทนา อิ่มในอกชั่ววูบ มองคุณจิตใสกับสามี รู้ทันทีผู้ชักนำกระแสบุญสู่ใจคุณนายคือใคร

ขอบใจมากนะจิตใส

คำขอบคุณของคุณนายพวงทองคล้ายกระทบถึงเจ้าของชื่อ ใบหน้าคุณจิตใสแย้มรอยยิ้มละมุน มีเสียงกระทบกลับคืน

เสร็จจากนี่ จะถวายสังฆทานให้นะคะ...คอยอนุโมทนาด้วย

สาธุ... แค่นึกน้อม ไม่จำเป็นต้องเห็น คุณนายพวงทองก็เกิดปีติในบุญขึ้นมา เอิบอาบราวได้อาบน้ำลำธารใสเย็นเต็มร่าง


งานบุญดำเนินต่อ...ผู้คนเปลี่ยนหน้า เวียนเข้ามาหนาตาขึ้น กระแสบุญที่เกาะใจคุณนายค่อยคลี่คลาย เห็นความวุ่นวายด้วยผู้คน ความรำคาญ อาการหงุดหงิด โทสะเวียนมาเป็นระยะ นิสัยเดิมคุณนายพวงทอง ขี้หงุดหงิดเจ้าโทสะอยู่แล้ว ในอกยามนี้จึงมีไฟรุมแทนที่กระแสบุญที่เพิ่งได้รับ

น่าเสียดายที่คุณนายพวงทองเพิ่งอนุโมทนาบุญมาแท้ๆ แต่ไม่มีปัญญารักษาความอบอุ่นอิ่มเอิบได้นานกว่านี้ ปล่อยใจไหลเลื่อนไม่มีสติเกาะเกี่ยวอารมณ์ที่เป็นภัยกับตนเอง

รำคาญมากนักก็หลบขึ้นไปยังห้องนอนเก่าตน อยากรู้ว่าลูกยังรักษาสมบัติส่วนตัวของเธอไว้อย่างเดิมหรือไม่

พอขึ้นมาถึง เห็นสภาพห้องนอนอันโอ่โถง กว้างขวางแล้วบังเกิดอารมณ์หดหู่ แทนที่ความหงุดหงิด

เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างยังอยู่ครบ ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นถูกจัดเก็บเข้าตู้เป็นระเบียบ ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างห้องหนึ่ง บนเตียงมีผ้าคลุมสีขาวคลุมปิดเหมือนผ้าห่อศพ ผ้าม่านหน้าต่างทุกด้านรูดปิดเสมือนคนสั่งต้องการปิดตายห้องนี้ไว้ ไม่ให้ใครได้ใช้อีก

ความหดหู่ เศร้าสร้อย อ้อยอิ่งครู่ใหญ่ จนมีเสียงแว่วมาจากห้องที่อยู่ไม่ไกลนัก เป็นระยะห่างที่คนธรรมดาไม่ได้ยินเสียงแน่ แต่คุณนายพวงทองสัมผัสคลื่นความรู้สึกอันรุนแรงที่มาพร้อมกับกระแสเสียงนั้นได้

เอ๊ะหลิง...บอกแล้วไงว่าตอนนี้ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้น

เสียงสุขศจี หล่อนคุยโทรศัพท์ส่วนตัวอยู่ในห้อง มั่นใจไม่มีใครได้ยินเด็ดขาด...แต่ไม่อาจรู้เลย...คนไม่ได้ยินก็จริง ผี อาจเห็นก็ได้

คุณนายพวงทองอยู่ห่างลูกสาวสี่ห้าก้าว ไม่อยากเข้าใกล้กว่านี้ สุขศจีเป็นลูกที่เธอรักน้อยที่สุด เป็นลูกคนเดียวที่กล้าเถียง กล้าขึ้นเสียง กล้าต่อกรกับเธอ หลายครั้งที่คุณนายพวงทองมองเห็น เงา ของตนแฝงอยู่ในร่างลูกสาวคนนี้ มันเป็นเงาที่เธออยากถอยหนี มิใช่ทำให้นึกรักเอ็นดู

พูดให้เข้าใจกันบ้างสิ...ตอนนี้ฉันถูกตัดออกจากกองมรดกแล้ว จะใช้เงินตามสบายเหมือนก่อนไม่ได้

ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไปแอบฟังสุขศจีคุยโทรศัพท์ คงได้ยินเสียงหล่อนฝ่ายเดียว แต่คุณนายพวงทองกลับสามารถได้ยินคำโต้ตอบจากฝ่ายตรงข้ามด้วย

เงินมันก็ไม่มากอะไร ส่งมาก่อนไม่ได้หรือ ถ้าทางแก๊งไม่เดือดร้อนจริงก็ไม่ขอหรอก

น้ำเสียงฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ชาย ห้าวลึก คุณนายพวงทองจับตามกระแสเสียงนั้น ปรากฏภาพใบหน้าเจ้าของเสียงรางๆ

หลิง ลูกครึ่งไทยจีน อายุคราวเดียวกับสุขศจี ไม่ถึงสี่สิบ หน้าตาดีแบบสมวัย ชนิดทำให้เด็กสาวที่ชอบชายวัยกลางคนอาจถึงขนาดหลงใหลได้ปลื้มง่ายๆ นัยน์ตาเรียวซ่อนความเหี้ยมโหดบางอย่าง คุณนายพวงทองมั่นใจ ชายคนนี้เคยฆ่าคนมาแล้ว

จีเข้าใจ เสียงสุขศจีอ่อนลง จิตใจคล้อยตามไม่น้อย ตอนนี้ถ้าจะให้จีช่วยก็คงส่งไปให้ได้แค่ครึ่งเดียว

ฝ่ายนั้นถอนใจแรง ขัดใจ

ก็ยังดี...

หลังจากนี้จะเป็นยังไง จียังไม่รู้เลยนะ

ทำไม...มีเรื่องอะไรอีก น้ำเสียงคล้ายเป็นห่วง คล้ายรำคาญใจ

ศาลตัดสินแล้ว ให้เราชนะคดี แต่ไอ้พิทักษ์มันจะอุทธรณ์ แล้วขอให้ศาลคุ้มครองประโยชน์ต่อ การเงินเราจะฝืดไปอีกพักใหญ่

เป็นยังไง ไม่เข้าใจ

ตอนนี้จีมีเงินเก่าพอช่วยหลิงได้ แต่ถ้าสมบัติส่วนใหญ่เอาออกมาใช้ไม่ได้แบบนี้ รายได้ประจำก็ลด เราเอาเงินออกมาลำบาก ถ้าจะทำพวกเฮียก็ต้องรู้

ทำไมมันวุ่นวายอย่างนี้นะ เขาขุ่นเคือง

อย่าเพิ่งโมโหเลย เอาไว้เสร็จงานเลี้ยงคืนนี้ จีจะไปฮ่องกงแล้วกัน

ดี...แต่มาบ่อยๆ ไม่มีใครสงสัยหรือ

ไม่หรอก บอกว่าไปช้อปปิ้งพักผ่อน พวกเฮียเขามีปัญหาส่วนตัวยุ่งพออยู่แล้ว ไม่มาสนใจจีเท่าไหร่ อีกอย่างตอนนี้จีก็โดนยึดอำนาจตลาดอำนาจร้านอยู่แล้ว ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม

เอาเถอะ ถ้าทางนี้เรียบร้อยเมื่อไหร่ ฉันจะช่วยเธอเอง เสียงเรียบเย็นเช่นนี้ฟังบาดลึกยะเยียบ

สุขศจีนิ่ง คุณนายพวงทองไม่อาจเข้าใจความคิดลูกสาวตน เห็นแววตาลึกเร้นยากอธิบาย

เธอรับปากแล้วนะหลิง

สุขศจีพูดคล้ายขอคำยืนยันบอกรัก

ใช่

อีกฝ่ายตอบกลับสั้น แต่สั่นสะเทือนคุณนายพวงทอง ใจหวั่นวูบไร้สาเหตุ เสมือนจะมองเห็นทะเลทุกข์ หยาดน้ำตาและกองเลือดลอยอยู่ตรงหน้า!


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP