จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

อยู่ใกล้พระราชา


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it


085_destination


ถึงวันนี้ก็ผ่านวันแม่ไปได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว
เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงได้พาคุณแม่ไปทำบุญกุศลในโอกาสวันแม่
การที่เราได้พาพ่อแม่ไปทำบุญกุศลนั้น จริง ๆ แล้วก็สามารถทำได้เสมอ ๆ
โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันพ่อหรือวันแม่เสียก่อน

ในช่วงก่อนวันแม่ มีญาติธรรมท่านหนึ่งสอบถามผมว่า ควรจะพาคุณแม่ทำบุญไปที่ไหนดี
ที่เธอสอบถามผม ไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่เคยพาคุณแม่ไปไหนเลย จึงไม่ทราบนะครับ
แต่เป็นเพราะว่าญาติธรรมท่านนี้ได้พาคุณแม่ไปทำกุศลเป็นประจำอยู่เสมออยู่แล้ว
ร้านอาหารที่รู้จักก็เคยพาคุณแม่ไปมาหมดแล้ว เธอจึงไม่รู้ว่าจะพาคุณแม่ไปไหนในวันแม่
ผมจึงแนะนำเธอไปว่า อย่าไปกดดันตนเองว่า วันนั้นเป็นวันแม่หรือวันพิเศษอะไร
แต่ให้ถือว่าเป็นหยุดธรรมดาวันหนึ่งที่เธอจะพาคุณแม่ไปทำบุญกุศลเหมือนทุกคราวนั่นแหละ
เพียงแต่ว่าหากเธอจะไปสถานที่ที่คนเยอะ ๆ ก็ต้องวางแผนล่วงหน้าเสียก่อน หรือ
หากจะไปร้านอาหารที่คนเยอะ ๆ ก็ควรจะไปเร็วกว่าเวลา หรือจองไว้ก่อนล่วงหน้า
เมื่อไม่กดดันตนเองแล้ว เธอก็ตัดสินใจได้เองอย่างไม่ยากครับว่าเธอจะพาคุณแม่ไปที่ไหน

การที่เราได้อยู่ใกล้ ได้ดูแล หรือได้ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ของเรานี้
ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราได้สร้างบุญกุศลอย่างยิ่งแก่ตนเอง
แต่ในทางกลับกัน หากเราไม่รู้จักใช้โอกาสดังกล่าวให้เป็นประโยชน์
เราไม่ได้รู้คุณค่าของพ่อแม่ว่าเป็นเนื้อนาบุญของเราอย่างไร
เราเองก็อาจจะสร้างหรือทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตัวเราเองก็ได้
โดยเวลาที่ผมสนทนากับญาติธรรมท่านอื่น ๆ
ผมมักจะเปรียบเทียบว่า การที่เราได้อยู่ใกล้กับพ่อแม่นั้น คล้ายกับได้อยู่ใกล้พระราชา
โดยหากเราทำดี สร้างคุณประโยชน์ เราอาจได้รับพระราชทานรางวัลมากมาย
แต่หากเราทำผิด ก่อความเสียหาย เราอาจโดนลงโทษหนักถึงประหารชีวิต
ในทำนองเดียวกัน หากเราทำดีกับพ่อแม่ เราก็ได้บุญกุศลอย่างมาก
หากเราทำไม่ดีกับพ่อแม่ เราก็ได้บาปอกุศลหนักอย่างมาก

ฉะนั้น การที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้เนื้อนาบุญไม่ได้แปลว่าจะเป็นคุณประโยชน์เสมอไป
หากเราได้เคยอ่านพุทธประวัติแล้ว ก็จะพบว่าตามเรื่องราวในพุทธประวัตินั้น
ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้พบกับพระพุทธเจ้าแล้วจะได้บุญกุศลเสมอไป
โดยก็มีบางท่านที่ได้มีโอกาสพบกับพระพุทธเจ้าแล้ว
กลับไปลบหลู่ ทำไม่ดี หรือทำร้ายต่อพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบาปกรรมหนัก
(จนกระทั่งบางท่านโดนแผ่นดินสูบ ก็ยังมี)
หลายท่านที่ได้มีโอกาสพบกับพระอรหันต์ ก็ไม่ใช่ว่าจะได้บุญกุศลเสมอไป
โดยก็มีบางท่านที่ลบหลู่ ทำไม่ดี หรือทำร้ายต่อพระอรหันต์นั้นก็มี ซึ่งเป็นบาปกรรมหนัก
(มีกรณีที่ไปข่มขืนพระอรหันต์จนกระทั่งโดนแผ่นดินสูบ ก็ยังมี)

ยกตัวอย่างในสมัยพุทธกาล กรณีของนางขุชชุตตรา ซึ่งเป็นหญิงค่อม
โดยนางขุชชุตตรา เป็นอุบาสิกาที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดา
ว่าเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย (เอตทัคคะ) ในฝ่ายผู้แสดงธรรม
ในสมัยนั้น ภิกษุได้กราบทูลถามพระบรมศาสดาว่า
เพราะกรรมอะไร นางขุชชุตตรา (ซึ่งเป็นพระโสดาบัน) จึงเป็นหญิงหลังค่อม?
พระบรมศาสดาได้ทรงตอบว่า ในอดีตชาติ มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
เป็นผู้มีสภาพร่างกายเป็นคนค่อมนิดหน่อย ได้มาฉันภัตตาหารในราชสำนักเป็นประจำ
นางกุมาริกานางหนึ่งได้แสดงอาการเป็นคนค่อมล้อเลียนพระปัจเจกพุทธเจ้า
ด้วยความคึกคะนองต่อหน้าเพื่อนกุมาริกาทั้งหลาย
เพราะกรรมนั้น จึงส่งผลให้นางขุชชุตตราเป็นคนค่อมในอัตภาพนี้

ภิกษุได้กราบทูลถามต่อไปว่า เพราะกรรมอะไร นางขุชชุตตรา จึงเป็นทาสีของบุคคลอื่น?
พระบรมศาสดาได้ทรงตอบว่า ในอดีตครั้งที่พระพุทธเจ้านามว่ากัสสปะ
นางได้เกิดในตระกูลเศรษฐีในเมืองพาราณสี มีภิกษุณีผู้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง
ซึ่งมีความคุ้นเคยกับตระกูลของนางมาเยี่ยมเยือนที่บ้าน
ขณะนั้นนางกำลังแต่งตัวอยู่ ได้ออกปากขอให้พระเถรีช่วยหยิบกระเช้าเครื่องประดับส่งให้นาง
พระเถรีนั้นคิดว่า ถ้าไม่หยิบส่งให้ นางก็จักโกรธอาฆาตเรา เพราะกรรมนี้เมื่อนางตายไปแล้ว
ก็จะไปเกิดในนรก แต่ถ้าหยิบส่งให้ นางก็จักเกิดเป็นหญิงรับใช้คนอื่น เพราะกรรมที่ใช้พระอรหันต์”
พระเถรีจึงเลือกกรรมสถานเบาเพื่อเป็นการอนุเคราะห์ต่อนาง ท่านจึงได้หยิบกระเช้าส่งให้นาง
เพราะกรรมนี้นางจึงเกิดเป็นหญิงรับใช้บุคคลอื่น

ฉะนั้นแล้ว เราไม่ควรประมาทว่าได้มีโอกาสอยู่ใกล้พ่อแม่ ได้มีโอกาสอยู่ใกล้พระอริยสงฆ์
ได้มีโอกาสอยู่ภายใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้อยู่ใกล้พระธรรมคำสอน ได้ไปร่วมงานบุญกุศล ฯลฯ
เพราะว่าอาจจะไม่ได้เป็นโอกาสที่ช่วยให้เราสร้างบุญกุศลอย่างยิ่งเสมอไป
แต่อาจจะเป็นวิกฤตสำหรับเราที่หลงไปสร้างบาปอกุศลกรรมหนักก็ได้
ดังนั้น เราก็พึงมีสติที่จะคอยระมัดระวัง ไม่ไปสร้างบาปกรรมต่อพ่อแม่นะครับ
(รวมทั้งพระรัตนตรัย พระศาสนา และพระภิกษุสงฆ์ด้วย)

ในบางที หลาย ๆ ท่านก็เน้นให้ความสำคัญกับวาระโอกาสพิเศษเสียมาก
แต่ลืมความสำคัญของเวลาปกติธรรมดาไป
ทั้งที่เวลาปกติธรรมดานี้แหละ สำคัญมากเลย
อย่างบางท่านไปเน้นว่า จะต้องทำดีกับแม่ในวันแม่ จะต้องทำดีกับพ่อในวันพ่อ
แต่หลงลืมไปว่าในแต่ละวันธรรมดานี้แหละ เราได้ทำดีกับท่านตามสมควรหรือเปล่า
เราได้ตอบแทนบุญคุณท่านบ้างไหม เราได้ดูแลท่านบ้างไหม

การทำดีกับพ่อแม่นั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องพาท่านไปทำบุญที่วัดเสมอไป
เวลาเราอยู่ในบ้านในยามปกติทุกวันนี้ เราก็สามารถทำได้
เพียงแค่พูดจาดี ๆ กับท่าน ประพฤติตนอ่อนน้อมกับท่าน
ชักชวนให้ท่านลดละเลิกสิ่งอบายมุข
ชักชวนให้ท่านสนใจศึกษาและปฏิบัติทาน ศีล และภาวนา หรือสวดมนต์
หาหนังสือธรรมะมาให้ท่านอ่าน หาซีดีธรรมะมาให้ท่านฟัง สนทนาธรรมะกันตามกาล
ก็ถือว่าเป็นการที่เราทำดีกับพ่อแม่ โดยที่ไม่ได้จำเป็นจะต้องออกไปนอกบ้านเลย
และก็สามารถทำได้เสมอ ๆ ด้วย

บางท่านมองว่าตนเองดูแลพ่อแม่แล้ว โดยการให้เงินท่านไปใช้จ่ายทุกเดือน
แต่ไม่ได้คอยดูแลในเรื่องของด้านจิตใจว่า ท่านจะมีความสุขดีหรือไม่อย่างไร
ไม่ได้พิจารณาว่าพ่อแม่นำเงินไปใช้จ่ายอย่างไร ท่านได้พัฒนาคุณธรรมในใจบ้างหรือไม่
ตัวเราอยู่ใกล้พ่อแม่ แต่กลับปล่อยพ่อแม่ให้อยู่ไปตามยถากรรมเรื่อยไป
เช่นนั้น ก็ถือว่าไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เท่าที่ควร
แต่ถือว่าเสียโอกาสที่ได้อยู่ใกล้ และไม่ได้ดูแลพ่อแม่ของตนเองตามที่เหมาะสม
ซึ่งหากได้ดูแลอย่างเหมาะสมแล้ว ย่อมอำนวยสร้างบุญกุศลอย่างสูงแก่ตัวเราเอง

ในส่วนของการที่เราได้อยู่ใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาและได้อยู่ใกล้พระธรรมคำสอนนี้
ก็ทำนองเดียวกันนะครับว่า เราไม่ควรประมาท แต่ควรมุ่งสนใจทำให้สมกับโอกาสที่ได้รับ
ในเมื่อเราได้มีโอกาสเป็นลูกของพ่อแม่แล้ว ก็พึงปฏิบัติต่อพ่อแม่ให้สมควรกับที่เราเป็นบุตร
ในเมื่อเราได้มีโอกาสเป็นพุทธสาวกแล้ว ก็ควรที่จะสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP