วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๑๕


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



 

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


คุณนายพวงทองสามารถออกจากโรงเจไปวัดได้แล้ว เห็นศพลูกสาวอยู่ในโลง รอเวลาฌาปนกิจตอนบ่าย ผู้คนมาเตรียมงานมากมาย สับสน คุณนายพวงทองกลับโดดเดี่ยว เศร้าลึก สายใยผูกพันที่มีฉุดใจหม่นเศร้า

สีดา ลูกสาวคนแรก...ลูกสาวที่ได้อย่างใจ เกือบ ทุกอย่าง

สมัยก่อนคุณนายพวงทองชอบดูหนังอินเดีย เคยดูโขนเรื่องรามเกียรติ์ เกิดชอบ ประทับใจตัวนางเอก สีดา มากที่สุด ตั้งใจไว้หากมีลูกสาว จะให้ชื่อสีดา แต่กลับมีลูกชายก่อน จึงตั้งชื่อ ราม คนที่สองยังเป็นผู้ชายอีก ได้ชื่อ ลักษณ์ กระทั่งคนที่สาม ลูกสาวสมใจ ใช้ชื่อ สีดา อย่างที่ต้องการมานาน

สีดา ลูกสาวคนแรก ทำงานเก่งไม่แพ้ผู้ชาย ขยันขันแข็งตามสายเลือดคนจีนจากพ่อ มีความอ่อนหวาน นอบน้อม กตัญญูกับแม่แบบลูกคนไทย

คุณนายพวงทองรักลูกสาวคนนี้มาก...มากจนคิดว่าไม่มีผู้ชายคนไหนคู่ควรกับเธอ

ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา คุณนายพวงทองพบแต่ผู้ชายมักมาก เห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้หญิง เธอไม่ต้องการให้ลูกสาวเศร้าโศก เจ็บช้ำจากผู้ชายเหล่านี้ จึงกางปีกปกป้องสีดามาตลอด ไม่ยอมปล่อยให้คบผู้ชายง่ายๆ

ถึงอย่างนั้นคุณนายพวงทองยังพลาด สีดาทุ่มเทหัวใจรักให้ผู้ชายคนหนึ่งไปแล้ว คุณนายดูออกว่าผู้ชายคนนั้นหวังสมบัติลูกสาว ไม่มีหัวใจรักจริง จึงกีดกัน ขัดขวางทุกวิถีทางหลายปี ทั้งคู่ยังอดทนรอกันได้ และทำในสิ่งที่คุณนายพวงทองใจสลาย

พวกเขาแต่งงานกันโดยไม่สนใจคำคัดค้านของเธอ

คุณนายพวงทองทำอะไรไม่ได้นอกจากตัดสีดาออกจากหัวใจ ถึงทำงานร่วมกันแต่ก็หมางเมินไม่ใส่ใจ จะไล่สีดาก็ไม่ได้ กิจการครอบครัวจำเป็นต้องใช้ลูกหลานที่ไว้ใจได้ มาดูแลบริหาร

ความเจ็บปวดจากลูกสาวคนนี้ทำให้คุณนายพวงทองอ่อนแอลง สารพัดโรคร้ายรุมเร้า ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้ง

...ใครจะคาดคิด คุณนายตายก่อนลูกสาวไม่นานเลย...

สีดาตายทั้งที่ไม่สมควรตาย...ตายอย่างน่าแค้นใจ

มันเป็นฆาตกรรม...คุณนายพวงทองรู้และส่งข่าวผ่านเชน รุ่งรตี เสียดายมันช้าเกินไป

...ฆาตกรยังลอยนวล...คุณนายพวงทองรู้จักมัน กระแสความยินดีลำพองใจของมันแน่นล้นจนกระทั่งรู้สึกชัด

มัน มางานศพนี้ เดินไปเดินมาไม่รู้สึกรู้สาต่อบาปที่กระทำ สามารถยืนต่อหน้าศพคนที่ตนฆ่าโดยไม่ละอาย

คุณนายพวงทองแค้นมันนัก แค้นจนอยากฆ่ามันกับมือ แต่ทำไม่ได้ ทุกคราที่จิตใจบังเกิดไฟแค้น เพลิงโทสะ กองไฟนั้นจะแผดเผาตนเองจนร้อนเร่าสุดทรมาน...ทรมานมากกว่าเคยทรมาน

คุณนายพวงทองทำอะไรมันไม่ได้นอกจากคอยตามมันเรื่อยๆ ตามด้วยความแค้นแน่นอก ยิ่งแค้น ยิ่งทุกข์...ทุกข์โดยไม่ยอมหาทางสลัดปัดมันออกจากใจ


พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลมาถึงงานศพแล้ว พวกเขาไม่ได้เป็นประธานงานฌาปนกิจศพสีดา ทางฝ่ายสามีผู้ตายเชิญผู้ว่าฯ มาเป็นประธาน ซึ่งก็ดูสมเกียรติสมศักดิ์ศรีไม่น้อยหน้าใคร แต่ทว่าการมาของกลุ่มพี่น้องผู้ตายกลับเป็นจุดเด่น ทุกคนในงานต่างมองอย่างสนใจ

รถยนต์ยุโรปคันใหญ่ยี่ห้อดัง รุ่นที่เมืองไทยมีไม่เกินสิบคัน แล่นมาจอดเทียบหน้าศาลาสวดศพเชื่องช้า นุ่มนวล คนขับวิ่งเปิดประตูรถนอบน้อม ผู้โดยสารคือรามและศรีนวล...ภรรยา

คันต่อมาเป็นรถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นใกล้เคียง ผู้โดยสารคนเดียวคือลักษณ์

รถยนต์คันที่สามแบบสเตชั่นแวกอน เจ็ดที่นั่ง ผู้โดยสารคือสมุทร เกตุ พร้อมด้วยลูกชายหญิงวัยรุ่น

คันสุดท้ายเป็นรถญี่ปุ่นระดับลักซูรี่ ผู้โดยสารคือสุขศจี รุ่งรตี

รถทั้งสี่คันจอดเทียบส่งผู้โดยสารหน้าบันได แล้วแล่นต่อไปจอดยังที่จอดระดับวีไอพี เรียงกันทั้งสี่คัน เพียงแค่รถยนต์ที่พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลนั่งมา ก็สามารถ ข่ม คนทั้งงาน ชนิดตาค้างเอาไปลือได้ข้ามปี

พิทักษ์ทักทายเหล่าพี่น้องเมียด้วยท่าทางสุภาพตามแบบเจ้าภาพที่ดีไม่ขาดตกบกพร่อง ลักษณ์เขม่นตามองออก อดีตน้องเขยเริ่มมี มาด บางอย่าง แสดงอาการ แข็งเมือง กลายๆ

ผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานในพิธีตามมาในเวลาไล่เลี่ย ไม่มีขบวนติดตามอลังการเหมือนกลุ่มรถที่มาก่อนหน้า รามพาเมียเข้าทักทายผู้ว่าฯ ต้อนรับด้วยท่าทีสนิทสนม ตัดหน้าพิทักษ์

นึกดูแคลน หมั่นไส้น้องเขยที่เป็นคนจัดการงานศพนี้ทั้งหมด ทำให้งานดูกระจอกกว่าที่ควรจะเป็น หากเขาจัดการเอง งานนี้จะดูดี มีเกียรติที่สุดในจังหวัด รองจากงานศพคุณนายพวงทอง มารดาพวกเขา

ลักษณ์ สมุทรกับครอบครัวและสุขศจี ทักทายคนรู้จัก ผู้ใหญ่แล้ว เลือกที่นั่งด้านหน้าใกล้กัน ศพถูกนำขึ้นเมรุแล้วก็จริง ด้านล่างยังมีพิธีการทางศาสนาอีกหลายขั้นตอนกว่าจะเผา

รุ่งรตีแต่งตัวเรียบร้อยผิดเคย ถ้าไม่ใช่คำขอร้องแกมบังคับจากบิดา งานนี้คนทั่วไปคงตื่นตะลึงการแต่งตัวสไตล์รุ่งรตี ต่อจากขบวนรถสุดไฮโซก็เป็นได้

หญิงสาวมองซ้ายมองขวาหาคนคุ้นเคย ตอนแรกยังไม่พบใคร จนมองเห็นเชนนั่งด้านหลังสุดศาลา ทำตัวกลมกลืนแขกคนอื่น จึงยิ้มออกเดินเข้าไปหาด้วยความมั่นใจ

มาแอบอยู่นี่เองพี่เชน รุ่งรตีทักทายก่อน

เชนยิ้มรับ ขยับตัวนั่งเก้าอี้ด้านในแทนการเชิญหญิงสาวให้นั่งด้วย

เป็นยังไงบ้าง มากับรถขบวนใหญ่อย่างนี้ ชายหนุ่มแซว

หญิงสาวหัวเราะคิก ชำเลืองค้อนทางลุงของตนที่นั่งด้านหน้าข้างประธาน

เกร็งจะแย่ ต้องเก๊กมาดไฮโซสมกับรถ ไอเดียลุงรามนี่ ทรมานผู้คนเขาจริงๆ

น้ารามแกตั้งใจทำอะไรกันน่ะ เชนถามกึ่งชวนคุย

แกตั้งใจข่มน้องเขยไง กะให้จ๋อยเลย รู้ซะบ้างใครเป็นใคร รุ่งรตีพูดแบบไม่จริงจัง

ท่าจะได้ผลนะ คนทั้งงานมองกันตาค้าง ขนาดท่านผู้ว่าฯ ตามมาทีหลัง เป็นประธานแท้ๆ คนยังไม่สนใจเท่า เชนเห็นจริง

เอ...แล้วคุณลุงคุณป้าไม่มาด้วยเหรอ รุ่งรตีมองหาคุณจิตใสกับสามี

มาแล้ว คงอยู่ในงานนี่แหละ เชนตอบ

แล้วพี่เชนว่า... รุ่งรตีพูดพลางเหลียวซ้ายแลขวา คุณย่าจะมาด้วยมั้ยเนี่ย

เชนยิ้มน้อยๆ ตอบไม่ถูก ยังไม่สามารถสัมผัสถึงคุณนายพวงทอง คิดว่าวิญญาณที่มีห่วงผูกพันเช่นนั้นน่าจะมา ผู้คนมากมายหนาแน่น คงยากที่จะจูนคลื่นจิตตรงกับแกได้ง่ายนัก

ไม่ทราบสิ เขายิ้มขัน รุ้งอยากให้แกมาด้วยเหรอ

รุ่งรตีห่อไหล่คล้ายกลัวคล้ายไม่ใส่ใจ

มาก็คงไม่เป็นไร สว่างอย่างนี้ คนก็เยอะ รุ้งไม่กลัวหรอก

พี่ก็หวังว่าแกคงทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เชนพูด

จู่ๆ รุ่งรตีขนลุกซู่ไม่มีสาเหตุ

เอ่อ...พี่เชนอย่าพูดเป็นลางอย่างนั้นสิ

พอหลุดปาก เชนก็นึกเสียวสันหลัง สังหรณ์แปลกชวนให้รู้สึก...งานฌาปนกิจศพครั้งนี้อาจไม่สะดวกราบรื่นนัก


พิธีการดำเนินราบรื่น สี่พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลนั่งประจำที่ ทำตัวเหมือนแขกวีไอพี ไม่แสดงท่าใหญ่โตข่มประธาน ทว่าด้วยลักษณะพวกเขา ใครที่เห็นคงยอมรับ พวกนี้เล็กไม่เป็น

คุณนายพวงทองมองลูกที่ยังมีชีวิตด้วยหัวใจเจ็บร้าว อยากอยู่ใกล้ อยากพูดจาบอกเล่าเรื่องราวในโลกของแกให้พวกเขาฟัง อยากตักเตือนถึงภัยที่คืบคลานเข้ามาโดยไม่รู้ตัว สายตาเหลือบเห็น มัน ความโกรธเกลียดพุ่งปะทะโดยไม่ต้องสั่ง มัน ฆ่าลูกสาวนาง และมันยังไม่ยอมหยุดแค่นั้น ก้าวต่อไปของมันเป็นสิ่งที่คุณนายพวงทองยอมไม่ได้...ไม่มีทางยอมเด็ดขาด

ต้องทำอะไรสักอย่าง...คุณนายพวงทองบอกต่อตนเอง...ต้องทำอะไรเพื่อหยุดยั้งมัน...ให้มันรู้...ยังมีสายตาที่มองเห็นการกระทำอันชั่วช้า ต้องการหยุดยั้งความลำพองใจของมันให้ได้

ทำอย่างไรดี...จะทำอย่างไรดี ความคิด ความคั่งแค้นก่อตัวเหมือนพายุหมุน...จะทำอย่างไร ให้มันได้รับโทษทัณฑ์


ปรากฏการณ์แปลกๆ ก่อตัวระหว่างทอดผ้าบังสุกุล แขกสำคัญทอดผ้าบนเมรุจนใกล้ครบ เหลือประธานพิธีกับพิทักษ์ สามีผู้ตาย

มันเริ่มจากลมหมุนเล็กๆ พัดพาใบไม้แห้งปลิวหมุนคว้าง ก่อนขยายตัวช้าๆ โดยไม่มีใครสังเกต กระทั่งกลายเป็นลมหอบใหญ่ พัดฝุ่นทรายปลิวคลุ้ง พวงหรีดพะเยิบพะยาบ ดอกไม้สดประดับงานหลุดกระจัดกระจาย แขกเหรื่อรีบหลบเข้าศาลา

พิทักษ์ถือผ้าไตรบังสุกุลยืนเก้ๆ กังๆ ตรงบันไดขึ้นเมรุ ลมหอบใหญ่พัดคลุ้ง ฝุ่นทรายหนาปะทะหน้า เซแซ่ดยืนไม่ติด เกือบพลัดหล่นจากเมรุ ถ้าไม่ทันคว้าราวบันไดไว้ทัน

ลมแรงกระโชกตามมาอีกรอบก่อนจางหาย เผยฟ้าใส แดดกระจ่างจ้าตามเดิม

ทุกคนอึ้ง นิ่ง พูดไม่ออก คำพูดวิพากษ์วิจารณ์ไม่อาจหลุดจากปาก

พิทักษ์หน้าซีด หนาวยะเยือก ขนลุกซู่ทั่วทั้งร่าง ช่วงเวลาเกิดเหตุประหลาด เขาเห็นใครบางคนเป็นเงาร่างไม่ชัดนั่งบนรถเข็นข้างบันไดเมรุ เงาร่างนั้นเบลอด้วยม่านฝุ่นกางฉากอำพราง...ทว่า...เขากลับสัมผัสสายตาคู่นั้นชัดเจน...สายตาที่จ้องลึกสู่ก้นบึ้งจิตใจ...

...สายตาคุณนายพวงทอง...

พิทักษ์นั่งแปะบนบันได เรี่ยวแรงเหือดหาย สมองกลวงว่าง ตีบตื้อ ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ด้วยซ้ำตนเองกำลังอยู่ตรงไหน กำลังทำอะไร

ลุกไหวไหม เสียงนายพลทางธรรมเรียกสติพิทักษ์

คะ...ครับ นานครั้งหรอกเขาถึงพูดติดขัดเช่นนี้

ถ้างั้นก็ขึ้นไปทอดผ้าสิ ลมหยุดแล้ว พระท่านรออยู่

น้ำเสียงผู้อาวุโสมีน้ำหนักพอปลุกสติ เขารีบลุกขึ้นมองรอบตัว เรียกความมั่นใจก่อนขึ้นบนเมรุ ทอดผ้าไตรดำเนินพิธีต่อจนจบ

นายพลทางธรรมเดินหลบข้างเมรุ เลี่ยงผู้คนไปยังข้างศาลา นัยน์ตามองงานที่ดำเนินต่อด้วยสายตาเรียบ ไม่แสดงความรู้สึก

เธอคงยังไม่ไปไหนหรอกค่ะ เสียงคุณจิตใสดังขึ้นใกล้ๆ

นายพลทางธรรมมองภรรยา แววตาส่งถึงบอกนัยรับรู้สองคน

นั่นสิ...คงเป็นความพยายามที่อยากจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเรากระมัง ท่านนายพลตอบรับ

คุณจิตใสใช้สายตาอ่อนโยนมองคลุมทั่วงาน ยามนี้ตาเนื้อไม่สามารถมองเห็นคุณนายพวงทอง แต่กระแสความเป็นเธอยังวนเวียนใกล้ๆ ไม่ไปไหน

หรือเธอจะชี้ตัวฆาตกร คุณจิตใสพูดลอยๆ

รอยยิ้มจางแตะบนใบหน้าท่านนายพล

ชี้อย่างนี้ใครเขาจะเห็น ทำอะไรได้...ต่อให้รู้ก็ไม่มีหลักฐาน...อีกอย่างเราก็รู้ว่าคุณนายแกเกลียดลูกเขยอย่างกับอะไร ความเกลียดชัง ความคับแค้นที่เห็นศพลูกสาว อาจทำให้เกิดอย่างนี้ได้เหมือนกัน

คุณจิตใสไม่ตอบคำ...ไม่ใช่ไม่มีคำตอบ...เพียงแต่ พูดไปก็เท่านั้น คำพูดไม่สำคัญเท่าการกระทำ พยานชี้ตัว น้ำหนักยังน้อยกว่าหลักฐานที่ใช้มัด เรื่องบางเรื่องได้แต่ปล่อยให้กาลเวลา การทำงานของ กรรม เป็นผู้ตัดสิน เธอกับสามีทำได้แค่คนดู อย่างมากก็ยื่นมือช่วยเหลือเล็กน้อยเช่นเมื่อครู่...เท่านั้นเอง


เหตุการณ์วิปริตทำเอาผู้คนทั่วศาลาปั่นป่วนครู่ใหญ่ แขกเหรื่อ นักข่าวท้องถิ่น รวมถึงแขกผู้ใหญ่ทั้งหลาย ซุบซิบ วิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึง...มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งไม่พูดอะไร...สายตามองตรงกลางลานหน้าเมรุตั้งแต่เกิดเรื่อง ระหว่างเกิดเรื่อง จนหลังเกิดเรื่อง...หนุ่มสาวคู่นั้น...เชน รุ่งรตี

นัยน์ตาสองคู่มองลานหน้าเมรุไม่กะพริบ ภาพที่เห็นผ่านสายตาไม่ใช่ตาเนื้อ โฟกัสลานโล่งเพื่อรวมสมาธิ ก่อความนิ่งในดวงจิต และคล้ายมีดวงตาพิเศษที่สามารถรับภาพบางภาพที่คนทั่วไปไม่อาจเห็น

ทั้งคู่เห็นคุณนายพวงทอง

คุณนายพวงทองกับรถเข็นกลางลานหน้าเมรุ ดวงตาจ้องเขม็งยังลูกเขยที่กำลังลงมาอย่างอิดโรย หน้าซีด ประกายตาผู้ชราทอแววเจิดจ้า น่ากลัวราวกับมีเปลวไฟลุกโชนโชติช่วง ยกมือชี้หน้าพิทักษ์อย่างเกลียดชัง

มัน คำพูดเดียวดังก้องจิตใจสองหนุ่มสาว

จากนั้นคุณนายพวงทองหันรถเข็นตามพิทักษ์มาทางศาลา มือชี้ตามหลังชายผู้สูญเสียภรรยาด้วยอาการโกรธเกรี้ยวกว่าเดิม

มัน!” คราวนี้เสียงสูงแหลมดุ เฉียบขาด ราวกับต้องการใช้มันห้ำหั่นสังหารผู้คน

นิ้วมือคุณนายพวงทองชี้มาทางพิทักษ์ แต่ไม่ใช่พิทักษ์ ผู้ที่มองเห็นการกระทำวิญญาณดวงนี้ต่างรับรู้ มัน อีกคน ต้องอยู่ในศาลา ค่อยๆ หันตามมือคุณนายพวงทอง

ณ จุดนั้นมีกลุ่มแขกร่วมพิธีเต็มไปหมด แยกไม่ออกใครเป็นใคร เชนกลับสะดุดตาผู้หญิงคนหนึ่ง หล่อนไม่ใช่คนสวยโดดเด่นสะดุดตา ทว่าสายตาหล่อนจับจ้องการเคลื่อนไหวของพิทักษ์ทุกฝีก้าว

...มัน...! เสียงคุณนายพวงทองดังอีกครั้ง ระลอกสุดท้าย ก่อนสองหนุ่มสาวจะรู้สึกวูบในอก ความสงบนิ่งชั่วคราวเริ่มไหวตัว ภาพซ้อนสายใยเลือนหาย กลับกลายเห็นทุกอย่างด้วยนัยน์ตาปกติ

รุ่งรตีมองเชนด้วยสายตาคำถาม

พี่เห็น... เชนพยักหน้าพูดเหมือนนั่งกลางใจหล่อน

รุ่งรตีเอื้อมมือเย็นเฉียบจับมือชายหนุ่ม...เชนบีบมือหล่อนเบาๆ กระแสความอบอุ่นถ่ายทอดเงียบๆ

รุ้งไม่อยากเชื่อ

เชนยิ้มให้ก่อนปล่อยมือ ขยับตัวนั่งตามปกติ พิธีการดำเนินสู่ขั้นตอนใกล้จบ

ดูอย่างเดียว...อย่าเพิ่งคิด...อย่าเพิ่งเชื่อ คำสั่งสอนจากพ่อแม่มักบอกให้มีสติสัมปชัญญะ รู้จักพิจารณา ไตร่ตรอง ไม่ยอมปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ

ก็เห็นกับตา ไม่ให้เชื่อได้ยังไง หญิงสาวเถียง คราวนี้รุ้งต้องขอถอนคำพูดแล้วว่าตอนกลางวันอย่างนี้ไม่กลัวอะไร ที่จริงกลัวแทบตาย

เชนอมยิ้ม สองหนุ่มสาวคุยกันกึ่งกระซิบ สัมผัสอารมณ์ร่วมกัน คนทั้งศาลาไม่อาจมองเห็นเช่นพวกเขา...ย่อมหมายถึงเชน รุ่งรตีสามารถสื่อสารกับผู้อยู่อีกโลกหนึ่ง...ความสามารถนี้ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง...หากขาดหลักฐาน พยาน

ไม่ต้องกลัวหรอก คุณยายท่านไม่ได้ต้องการให้เรากลัว เชนรับรู้เจตนาคุณนายพวงทอง

จริงสิ รุ่งรตีเข้าใจ ท่านคงต้องการบอกกับเราว่าใครเป็นฆาตกร

เชนไม่ตอบรับแต่ไม่ปฏิเสธ

อาพิทักษ์ใช่มั้ย รุ่งรตีเอ่ยถึงชื่อนี้

ถ้าใช่...หลักฐานอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มติงด้วยความรอบคอบ

รุ่งรตีอึ้ง...จริง...พูดลอยๆ แบบนี้ใครจะเชื่อ อ้างถึงคุณย่าที่เสียชีวิตไปแล้วก็ไม่ได้ ต่อให้มีคนตัวเป็นๆ มายืนยันเป็นพยานก็ต้องโดนทนายซักค้าน ผู้พิพากษาพิจารณา ต้องพิสูจน์หลักฐานแวดล้อมเสียก่อน...คิดดูขนาดคนเป็นยังไม่มีใครเชื่อง่ายๆ นับประสาอะไร ถ้าอ้างถึงคนตาย

งั้นเราควรทำยังไงดี คุณย่าอุตส่าห์บอกอย่างนี้แล้ว จะให้อยู่เฉยคงไม่ได้ รุ่งรตียึดเชนเป็นที่พึ่งที่ปรึกษาโดยปริยาย

ขึ้นไปวางดวกไม้จันทน์ก่อนดีมั้ย เขากำลังจะเผาศพแล้ว

หญิงสาวเหลียวดูรอบตัว แขกผู้ใหญ่หลายคนทยอยขึ้นวางดอกไม้จันทน์เคารพศพเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นแขกทั่วไปก็ลุกขึ้นเตรียมตัวต่อแถว มีเชนกับหล่อนยังนั่งคุยกันรั้งอันดับท้าย

รุ่งรตีลุกขึ้นอย่างว่าง่าย ผิดปกตินิสัยคุณหนูผู้ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัว น่าแปลก ยามอยู่ใกล้เชน หล่อนกลับไม่ดื้อรั้นถือดีอย่างเคย คำพูดเขาแต่ละคำมีเหตุผล น้ำเสียงอ่อนโยนชวนทำตาม ยิ่งเขากับหล่อนมีความลับร่วมกัน ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกว่าเคย ขบวนแขกเคลื่อนขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์บนเมรุและลงมาอีกทาง รามกับน้องๆ วางเสร็จเป็นชุดแรก จึงมีโอกาสลงมาพบพิทักษ์กำลังนั่งพักบนเก้าอี้ในศาลาคนเดียว ไม่มีแขกผู้ใหญ่อยู่ใกล้

รามถือโอกาสเข้าไปหา เห็นใบหน้าน้องเขยซีดเผือดกว่าเดิม

เป็นยังไง คิดถึงเมียมากนักหรือ น้ำเสียงทักถามไม่ปกปิดรอยเยาะหยัน

พิทักษ์เงยหน้า ฝืนสติส่งรอยยิ้มมารยาทให้ราม

เมียผมเพิ่งตายนะครับเฮีย ก็ต้องคิดถึงกันเป็นธรรมดา

ถ้าดามันรู้คงดีใจฉิบหาย... รามพูดต่อเสียงหนัก หรือไม่ก็ร้องไห้แทบตาย

พิทักษ์มองรามคล้ายจะแลให้ลึกถึงเจตนาแท้จริงของคำพูด

...ที่ได้ผัวอย่างเอ็ง คำปิดท้ายไม่ลงน้ำหนัก ราวพูดทีเล่นทีจริง

ผู้ฟังเกิดอาการหน้าร้อนภายใน เปลือกนอกยังแสดงท่าทางปกติ

ครับ...ผมก็ดีกับดามาตลอด พิทักษ์ตอบ อย่างน้อยคงไม่แพ้พวกพี่ๆ น้องๆ ที่ดีกับเขาเหมือนกัน

รามเกิดอาการจุกอก คนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลรู้ดีว่าสีดาทำงานหนักกว่าทุกคน โดยไม่มีนอกมีในกับเงินกงสี ผิดกับคนอื่น ถึงอย่างนั้นยังได้รับความหมางเมินจากผู้เป็นมารดาอยู่ดี จนพี่น้องไม่กล้าแสดงความรู้สึกดีๆ ออกหน้าออกตานัก

อือ...แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะ จะเอาเมียใหม่เข้าบ้านหรือยัง รามถามพร้อมประกายตาเท่าทัน

พิทักษ์เกือบหลุดปากว่า เขาไม่มีผู้หญิงอื่น ด้วยความอยากรักษาหน้าตัวเอง...แต่ฉุกใจทัน...รามกล้าพูดเช่นนี้ ย่อมรู้อะไรบ้าง เลยลองโยนหินถามทาง

เฮีย...เมียผมเพิ่งตายนะ ผมไม่ทำอะไรที่มันทำร้ายจิตใจคนที่เรารักได้ขนาดนั้นหรอก

คำพูดฟังดูดี แต่ไม่มีวาจาปฏิเสธเรื่องผู้หญิงอื่น

ไม่เป็นไร คนตายแล้วก็ตายไป...ไปรับกรรม รามจงใจทิ้งท้ายขาดห้วนเสียเฉยๆ

พิทักษ์นิ่ง มองหน้าพี่เมียเหมือนจะอ่านความนัยที่ซ่อน อยากดูให้รู้ ผู้พูดตรงหน้ารู้อะไรบ้าง...รู้จริง...หรือแกล้งหย่อนเบ็ดดูปลาเฉยๆ

คนเรามันก็ทำกรรมกันทุกคนแหละเฮียราม...

นั่นสิ...แต่บางคนทำกรรมอะไรไว้ ผู้คนไม่เห็น...ผีสางเทวดาก็ยังเห็นนะ

ประโยคนี้รามตั้งใจแหย่เล่น กลับได้ผลเกินคาด พิทักษ์สะดุ้งเฮือก ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้ว ซีดหนักอีก ดวงตาคุณนายพวงทองยังติดความทรงจำราวกับมันจะย้อนมาหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ผมต้องไปส่งแขกก่อนนะเฮีย พิทักษ์ลุกขึ้น ตั้งใจเข้ากลุ่มท่านผู้ว่าฯ อาศัยเป็นเกราะป้องกัน

ไปเถอะ...เสร็จจากงานนี้ เราคงไม่ต้องเกี่ยวข้องอะไรกันแล้วล่ะ คำพูดรามบอกทั้งความหมายตัดสัมพันธ์กินลึกถึง...จากนี้จะไม่มีการปรานีกันอีกต่อไป

ก็ไม่แน่หรอกครับ พิทักษ์ทอดเสียงทิ้งท้ายเบาๆ แต่ชัดเจน ...คุณราม...

เท่านี้เป็นการประกาศตัวไม่ยอมอ่อนข้ออย่างเปิดเผย รามมองเห็นความอหังการในดวงตาชายตรงหน้า เห็นปัญหาอนาคตลอยมารำไร ยังไม่รู้ว่าคนคนนี้จะสร้างความวุ่นวายแก่เขาและครอบครัวขนาดไหน...สายตานักเลงเช่นเขาคงดูไม่ผิด...พิทักษ์ไม่ได้มีตัวจริงสุภาพ มากมารยาทเช่นเปลือกนอกแน่





บทที่ ๑๓


หลังงานศพสีดา เรื่องราววุ่นวายเป็นไปตามคาด พิทักษ์ยื่นร้องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกภรรยา เขาทราบว่าสีดาได้รับมรดกจากตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลตามพินัยกรรมแต่ยังไม่มีการโอนมอบเรียบร้อย จึงร้องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกเพื่อให้ทางตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลสะสางเรื่องสมบัติให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

รามแค้นเลือดขึ้นหน้า เรียกประชุมน้องทุกคน คิดหาวิธีรับมืออดีตน้องเขยผู้มีความรู้ทางกฎหมาย แต่ไม่สามารถเรียกประชุมได้ครบ

สุขศจีเดินทางไปฮ่องกงหลังงานศพพี่สาว ไม่บอกจะกลับเมื่อไหร่ ทั้งยังปิดโทรศัพท์มือถือตัดการติดต่อ ไม่บอกที่อยู่ ทุกคนจำเป็นต้องรอ

รามอึดอัดใจแทบระเบิด เขาหาวิธีรับมืออดีตน้องเขยได้แล้ว จำเป็นต้องเรียกประชุมรับฟังความเห็น...หรือพูดให้ถูก...รับการยินยอมพร้อมใจจากทุกคน โดยเฉพาะสุขศจี น้องสาวคนเล็ก

เจ้าหล่อนไปเที่ยวหน้าตาเฉย ไม่สนใจตลาด ร้านอาหาร ปล่อยครัวพวงทองและตลาดให้ลูกน้องดูแล รามจึงให้ศรีนวล ภรรยาตนเข้าควบคุมรายได้ บัญชี คนงาน ตลาดกับร้านอาหารแทน ป้องกันไม่ให้พิทักษ์เข้ามาก้าวก่าย

สายตาลักษณ์กลับมองพี่ชายกำลังคิดแผนการบางอย่าง เรียกว่าเดินหน้าควบคุมกิจการครอบครัวก็ไม่ผิด เมื่อขาดสีดา ตลาดกับร้านอาหารย่อมขาดคนสำคัญดูแล สุขศจีอาจทำหน้าที่นี้ได้ดีแต่ไม่สามารถแบกรับคนเดียวไหว การที่รามส่งภรรยาเข้ามาดูกิจการทั้งสองช่วงน้องคนเล็กไม่อยู่ น่าจะเป็นสัญญาณ...เขาเตรียมตัวแทนสีดาไว้แล้ว ตัวแทนเงาเขาเอง...ต่อไปคงยากที่จะให้ เงา นี้ถอนตัว แม้สุขศจีจะกลับมาทำหน้าที่เดิมก็ตามที

ถึงมองรูปการออก ลักษณ์ก็ไม่คิดคัดค้าน แสดงความเห็น ศึกเฉพาะหน้าควรรับมือคือพิทักษ์ อดีตน้องเขยที่แสดงท่าจะเข้ามามีส่วนในกองสมบัติตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลเต็มที่

แรกๆ ลักษณ์ยังนึกไม่ออก พี่ชายใหญ่จะใช้วิธีไหนรับมือน้องเขย เมื่อรามประกาศรอประชุมพร้อมสุขศจี ต้องการให้น้องเล็กเห็นด้วย เขาจึงเห็นทางออกรางๆ

เขาไม่อยากให้พี่ชายใช้วิธีนั้น...มันเป็นวิธีที่อาจก่อปัญหาใหญ่ตามหลัง...ถ้าไม่ใช้วิธีนี้...ก็มองไม่เห็นวิธีอื่น...พิทักษ์เป็นทนาย รู้กฎหมาย...จะสู้กับคนประเภทนี้ พี่น้องต้องรวมใจ และมีบางคนต้องเสียสละ

วิธีที่รามใช้สู้คืออะไรกันแน่?


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP