จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

น้ำบ่อนี้หรือน้ำบ่อหน้า


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it

079_destination1



ในคราวก่อน ผมได้เล่าเรื่องปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย
ซึ่งผมได้ค้างเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธบาทสี่รอยไว้ โดยผมจะขอเล่าให้จบในคราวนี้ครับ
ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ ผมขออธิบายความยาวนานของคำว่า กัป ก่อนนะครับ
ระยะเวลายาวนานของแต่ละ กัป นั้นไม่สามารถเทียบได้ว่าพันปี แสนปี ล้านปี
หรือเท่านั้นเท่านี้ปี แต่ในการอธิบายความยาวนานของแต่ละกัป นั้น
ในพระสูตรได้อธิบายโดยอุปมาว่า
สมมุติว่ามีภูเขาศิลาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์
(๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร) ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ
โดยเมื่อเวลาผ่านไปทุก ๆ ๑๐๐ ปี จะมีบุรุษหนึ่งนำผ้าบางจากแคว้นกาสีไปปัดถูภูเขา ๑ ครั้ง
ระยะเวลาที่ผ่านไปจนกระทั่งภูเขาศิลาใหญ่นั้นราบเรียบลงมาถึงพื้นเพราะการปัดถูนั้น
ยังจะเร็วกว่าระยะเวลาที่เรียกว่าหนึ่งกัปเสียอีก

หรือสมมุติว่ามีกำแพงรอบเมืองแห่งหนึ่ง มีความยาว ๑ โยชน์
กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ซึ่งภายในเมืองนั้นเต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด
โดยเมื่อเวลาผ่านไปทุก ๆ ๑๐๐ ปี จะมีบุรุษหนึ่งไปหยิบเมล็ดพันธุ์ผักกาดไป ๑ เมล็ด
ระยะเวลาที่ผ่านไปจนกระทั่งเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้หมดสิ้นไปจากเมืองแห่งนั้น
ยังจะเร็วกว่าระยะเวลาที่เรียกว่าหนึ่งกัป
สรุปว่าระยะเวลา
หนึ่งกัป นั้นยาวนานเท่าไรแน่ เราก็ไม่ทราบได้นะครับ
ทราบแต่เพียงว่ายาวนานกว่าระยะเวลาที่ภูเขาศิลาใหญ่ที่เล่าข้างต้นนั้น
จะราบเรียบลงมาถึงพื้น เพราะการปัดถู ๑ ครั้งในทุก ๑๐๐ ปี
และยาวนานกว่าระยะเวลาที่เมล็ดพันธุ์ผักกาดจะหมดไปจากเมืองที่เล่าข้างต้นนั้น
เพราะหยิบขึ้น ๑ เมล็ดในทุก ๑๐๐ ปี

เราสามารถแบ่งประเภทของแต่ละกัปได้ออกเป็น ๒ ประเภทนะครับได้แก่
๑. “สุญญกัป” คือ กัปที่ว่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนา
โดยอาจจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ และ
๒. “อสุญญกัป” คือ กัปที่ไม่ว่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยกตัวอย่างเช่น
๒.๑ “สารกัป” คือกัปที่เป็นแก่นสาร โดยมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๑ พระองค์
๒.๒ “มัณฑกัป” คือกัปที่ผ่องใส โดยมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๒ พระองค์
๒.๓ “วรกัป” คือกัปที่ประเสริฐ โดยมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๓ พระองค์
๒.๔ “สารมัณฑกัป” คือกัปที่เป็นแก่นสารและผ่องใส โดยมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๔ พระองค์
๒.๕ “ภัทรกัป” คือกัปที่เจริญ โดยมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์
ในระยะเวลาที่เราอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นภัทรกัป
ซึ่งได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๔ พระองค์แล้ว
ได้แก่ พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามลำดับ
ซึ่งพระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเราชาวพุทธ
และต่อไปในอนาคตภายในกัปนี้
พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะมาตรัสรู้เป็นองค์ที่ห้า

ทีนี้ ผมจะขอย้อนกลับมาเล่าเรื่องพระพุทธบาทสี่รอยนะครับ
พระพุทธบาทสี่รอยนั้นมีประวัติความเป็นมาว่า
ย้อนไปในอดีตกาลนับได้ ๙๒ กัปที่ล่วงมาแล้วก่อนหน้านี้
ในสมัยนั้นได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า
“พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก
ในครั้งนั้นได้พระภิกษุผู้หนึ่งมีฐานะเป็นพระสังฆนายกปกครองพระภิกษุจำนวนมาก
แต่พระสังฆนายกรูปนี้กลับแสวงหาปัจจัยทั้งสี่ ได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัย มากเกินสมควร โดยได้มีคำสั่งไปทั่วสังฆมณฑลในความปกครองของตนเอง
ให้พระภิกษุทั้งหลายนำเอาปัจจัยสี่ของสงฆ์ รวมทั้งแก้วแหวนเงินทองทั้งปวง
มาให้แก่วัดของตน จนกระทั่งวัดของพระสังฆนายกรูปนี้มีสิ่งของต่าง ๆ
เต็มโบสถ์ และเต็มวิหารไปหมด ต่อมาเมื่อพระสังฆนายกรูปนี้ได้มรณภาพแล้ว
ก็ได้ไปตกนรกอยู่นานแสนนาน ด้วยผลกรรมที่ได้เบียดเบียนหมู่พระภิกษุสงฆ์ดังกล่าว
เมื่อได้ชดใช้กรรมในนรกเนิ่นนานแล้ว อดีตพระสังฆนายกรูปนั้นก็ได้มาบังเกิด
เป็นเปรตหินหรือเปรตศิลา โดยมีสรีระเป็นหิน และไม่สามารถพูดจาใด ๆ ได้

เวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงกัปปัจจุบันนี้นะครับ
(ก็เป็นระยะเวลา ๙๒ กัปที่ยาวนานมาก แต่ประวัติไม่ได้เล่าว่า
อดีตพระสังฆนายกรูปนั้นได้ไปอยู่นรกภูมินานกี่กัปและได้เป็นเปรตศิลากี่กัป)
จนมาถึงสมัยของพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของกัปนี้
พระองค์ได้เสด็จมาโปรดเปรตศิลานี้
โดยตรัสสอนให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า
อัปปะกิจโจ
หมายถึงว่า นักบวชควรประพฤติตนเป็นผู้มีภาระน้อย
จากนั้น พระองค์ก็ได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้เป็นรอยแรก

ต่อมาถึงสมัยของพระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สองของกัปนี้
พระองค์ก็ได้เสด็จมาโปรดเปรตศิลานี้
โดยตรัสสอนให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า
สัลละหุกะวุตติ
หมายถึงว่า นักบวชควรประพฤติตนให้เบากายและจิต
จากนั้น พระองค์ก็ได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้เป็นรอยที่สอง
โดยมีขนาดเล็กกว่า และซ้อนไว้ในรอยพระบาทรอยแรก

ต่อมาถึงสมัยของพระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สามของกัปนี้
พระองค์ก็ได้เสด็จมาโปรดเปรตศิลานี้
โดยตรัสสอนให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า
อัปปะคัพโภ
หมายถึงว่า นักบวชควรประพฤติตนเป็นผู้ไม่คะนอง
จากนั้น พระองค์ก็ได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้เป็นรอยที่สาม
โดยมีขนาดเล็กกว่า และซ้อนไว้ในรอยพระบาทสองรอยแรก

ต่อมาถึงสมัยของพระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ของกัปนี้ และเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
พระองค์ได้เสด็จจาริกประกาศธรรมไปยังสถานที่ต่าง ๆ
จนได้เสด็จมาถึงสถานที่แห่งเปรตศิลานี้
พระองค์ได้ทรงดูรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์
แล้วได้ตรัสเล่าถึงอดีตกาลของศิลาเปรตตนนี้ให้แก่พุทธสาวกได้ทราบ
และตรัสเล่าว่าแม้ในอนาคตกาล พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็จะเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว
จากนั้น จึงได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้เป็นรอยที่สี่
โดยมีขนาดเล็กกว่า และซ้อนไว้ในรอยพระบาทสามรอยแรก
ดังนี้ จึงบังเกิดเป็นพระพุทธบาทสี่รอยขึ้นบนก้อนศิลาดังกล่าว

ลักษณะของรอยพระพุทธบาทก็จะปรากฏตามภาพที่ ๑ นะครับ
โดยรอยพระพุทธบาทของพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นรอยแรกมีขนาดยาวประมาณ ๑๒ ศอก
รอยพระพุทธบาทของพระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นรอยที่สองมีขนาดยาวประมาณ ๙ ศอก
รอยพระพุทธบาทของพระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นรอยที่สามมีขนาดยาวประมาณ ๗ ศอก
รอยพระพุทธบาทของพระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นรอยที่สี่มีขนาดยาวประมาณ ๔ ศอก

079_destination2

(ภาพที่ ๑ ตำแหน่งของรอยพระพุทธบาททั้งสี่รอย)



079_destination3

(ภาพที่ ๒ รอยพระพุทธบาทสี่รอย)



079_destination4

(ภาพที่ ๓ รอยพระพุทธบาทสี่รอย)


จริง ๆ แล้วการที่เราไปนมัสการพระพุทธบาทนั้นก็เพื่อที่จะระลึกถึงพระพุทธเจ้านั่นเอง
การที่จะระลึกถึงพระพุทธเจ้าให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
ก็พึงระลึกถึงพระคุณของท่าน และตั้งใจจะน้อมนำพระธรรมคำสอนของท่าน
มาประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นปฏิบัติบูชาในชีวิตจริงของเราอย่างตั้งใจ และสม่ำเสมอ
ไม่ใช่แค่เพียงไปกราบไหว้ด้วยดอกไม้ธูปเทียนแล้วเราก็บอกว่าเสร็จงานแล้ว
จากนั้น เราก็ไม่ได้รักษาศีล ไม่ได้สนใจศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของท่านเลย
หากเราทำเช่นนั้น ก็เปรียบเสมือนว่านักเรียนคนหนึ่งไปเรียนที่โรงเรียน
โดยนำดอกไม้ไปกราบไหว้คุณครู แต่เขาไม่เข้าเรียน ไม่สนใจฟังและไม่เชื่อที่คุณครูสอน
ไม่ทำการบ้าน ไม่อ่านหนังสือ ไม่เข้าสอบ และเรียนไม่จบด้วย
เช่นนั้น เราย่อมไม่ถือว่าเขาเป็นนักเรียนที่ดีของคุณครูแต่อย่างไรเลย

หากถามว่าพระพุทธบาทสี่รอยนี้แตกต่างจากรอยพระพุทธบาทอื่น ๆ อย่างไร
ก็ตอบว่าในด้านการระลึกถึงพระพุทธเจ้านั้น อาจจะไม่แตกต่างกัน
แต่ในแง่ของความเป็นหลักฐานของภัทรกัปนี้แตกต่างกันมาก
โดยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ถือเป็นหลักฐานเดียวในโลกมนุษย์ที่แสดงถึงภัทรกัป
(นอกเหนือจากเนื้อหาในพระไตรปิฎกแล้ว)
และมนุษย์ธรรมดาอย่างเรา ๆ จะสามารถไปกราบนมัสการได้
หากเราต้องการจะชมหลักฐานอื่น ๆ เกี่ยวกับภัทรกัปอีก
ผมก็นึกถึงสิ่งอื่น ๆ ไม่ออกนะครับ ยกเว้นนึกถึงเวลาที่พระโพธิ์สัตว์ลอยถาดอธิษฐาน
ซึ่งถาดที่พระโพธิ์สัตว์ทั้ง ๔ พระองค์ได้ลอยนั้นได้จมลงสู่เมืองบาดาล
และได้ไปวางซ้อนกันอยู่กับพญานาคตนหนึ่งที่เมืองบาดาล
แต่ตรงนี้คงเกินความสามารถของมนุษย์ธรรมดาอย่างเรา ๆ ที่จะไปนมัสการกันได้แล้ว
(เว้นแต่ท่านไหนจะฝึกปฏิบัติจนได้มีอิทธิฤทธิ์หรืออภิญญาใด ๆ ที่จะเดินทางไปได้)
แต่สมมุติว่าเราได้ไปกราบนมัสการนะครับ และได้ไปกราบทั่วทุกวัดทั่วประเทศไทยก็ตาม
แต่หากเราไม่ได้สนใจศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน และเข้าไม่ถึงธรรม
ก็ย่อมจะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าองค์จริงนะครับ เพราะพระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้ว่า
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระตถาคต
ฉะนั้นแล้ว การศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเพื่อเข้าถึงธรรมย่อมจะดีที่สุด

หลายท่านมีความเชื่อในเรื่องของภัทรกัปตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงสอน
แล้วก็ไปตั้งความปรารถนาว่าอยากจะได้ไปเกิดในสมัยพระศรีอริยเมตไตรย
อยากจะมีโอกาสได้ไปเรียนรู้ธรรมและบรรลุธรรมในในสมัยพระศรีอริยเมตไตรยนั้น
เช่นนี้ ผมเห็นว่ายังเป็นการน้อมนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาไม่ครบนะครับ
ก่อนที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านจะปรินิพพานนั้น
ท่านได้ทรงสอนให้เราพึงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
ท่านไม่ได้ทรงสอนว่า เรายังไม่ต้องปฏิบัติพ้นทุกข์นะ แต่ให้เราไปรอชาติหน้าโน่น
ท่านไม่ได้สอนอย่างนี้ ในขณะที่ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นธรรมะที่ไม่เนิ่นช้า
กล่าวคือ เมื่อนำมาประพฤติปฏิบัติแล้ว ย่อมเห็นผลได้ในเวลาไม่เนิ่นช้า
พวกเราจึงไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะไม่เพียรเพื่อพ้นทุกข์ในสมัยซึ่งพระศาสนา
ของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันยังดำรงอยู่ แล้วจะรอไปจนถึงสมัยของพระศรีอริยเมตไตรย

หากเปรียบเทียบความทุกข์ในปัจจุบันเหมือนกับไฟที่กำลังไหม้บนศีรษะเรา
พวกเราต้องทนทุกข์จากไฟร้อนนั้นเหลือประมาณ
ต่อมาพวกเราได้เดินมาพบกับบ่อน้ำเย็นระรื่นต่อหน้าต่อตาเราแล้ว
เราสามารถตักน้ำจากบ่อน้ำตรงหน้าเรานี้ มาใช้เพื่อดับไฟบนศีรษะเราได้
แต่เราไม่ยอมทำ เรากลับบอกว่า ขอเดินไปอีกหน่อย เอาไว้พบน้ำบ่อหน้าก็แล้วกัน
ซึ่งจะต้องเดินร้อนไปอีกนานเท่าไรก็ไม่ทราบ
และเราจะได้มีโอกาสพบกับน้ำบ่อหน้าหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ
เพราะเราอาจจะเดินหลงไปทิศทางอื่น ๆ จนไม่พบบ่อน้ำบ่อถัดไปนั้นก็ได้
ลองพิจารณาครับว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่เราสมควรจะทำหรือไม่
หรือว่าเราควรจะรีบไปนำน้ำจากบ่อน้ำตรงหน้าเรานี้มาดับไฟบนศีรษะเราในทันที
การที่เราจะบอกว่าเราไม่สนใจจะประพฤติปฏิบัติธรรมในสมัยปัจจุบัน
แต่จะไปพ้นทุกข์ในสมัยหน้านั้น ก็ทำนองเดียวกันครับ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่จะนำมาใช้เพื่อดับทุกข์ก็เป็นธรรมะอย่างเดียวกัน
เสมือนกับว่าเป็นน้ำอย่างเดียวกันที่จะนำมาใช้ดับไฟ ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะต้องรอน้ำบ่อหน้า
เพราะจะใช้น้ำบ่อนี้หรือน้ำบ่อหน้าก็ดับไฟบนศีรษะได้เหมือนกัน
แล้วเราจะทนให้ไฟเผาศีรษะเราต่อไปเรื่อย ๆ เพื่ออะไร รีบนำน้ำบ่อนี้มาดับไฟไม่ดีกว่าหรือ
(เว้นแต่บางท่านที่ได้สร้างบารมีและอธิษฐานจิตไว้ว่าจะขอเป็นเอตทัคคะในด้านใดด้านหนึ่ง
ซึ่งแม้จะอธิษฐานดังนั้นก็ตาม ก็ต้องปฏิบัติทาน ศีล และภาวนาเพื่อสร้างบารมีในปัจจุบันอยู่ดี)

หลายท่านอาจจะรู้สึกว่าบางท่านที่หวังน้ำบ่อหน้านั้นไม่ฉลาดเลย ไม่ยอมใช้น้ำบ่อนี้มาดับไฟ
ก็ต้องย้อนกลับมาพิจารณาตนเองเหมือนกันนะครับว่า
แล้วเรากำลังขยันหมั่นเพียรตักน้ำในบ่อมาดับไฟหรือไม่ เราตั้งใจตักน้ำมาดับไฟหรือเปล่า
หรือว่าเราก็นั่งอยู่เฉย ๆ มัวแต่ทำอย่างอื่น มัวแต่ขยันไขว่คว้าสิ่งไร้สาระอื่น ๆ
หากเป็นเช่นนี้ แม้เราจะไม่ได้หวังน้ำบ่อหน้า แต่เราก็ไม่ได้ขยันตักน้ำบ่อนี้มาดับไฟ
ไฟบนศีรษะเราก็ย่อมจะไม่ดับหรือไม่บรรเทาเช่นกัน แล้วเราจะดีกว่าเขาตรงไหน
หรือหากบางท่านมัวแต่หมกมุ่นสนใจตักน้ำแจกคนอื่นเพียงอย่างเดียว
โดยตนเองไม่ขยันนำน้ำมาดับไฟบนศีรษะตนเองบ้างเลย อย่างนี้ก็ยังไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร

การที่เราได้พบสิ่งที่มีคุณประโยชน์สูงสุดอยู่ตรงหน้า (คือพระธรรมคำสอน) แล้ว
แต่กลับไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ กลับไปสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องอื่น ๆ สนใจเรื่องไร้สาระอื่น ๆ
(อยากมีแฟน อยากจะรวย อยากจะหล่อจะสวย อยากจะดัง อยากจะได้ตำแหน่ง
อยากจะได้บ้านได้รถ อยากได้อุปกรณ์ไอทีทันสมัย ฯลฯ)
แล้วกลับผัดผ่อนเรื่องมีคุณค่าสูงสุดไปในอนาคต ย่อมเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก ๆ ครับ


หมายเหตุ

๑. ข้อมูลความหมายคำว่า “กัป” อ้างอิงจาก
เว็บไซต์
http://th.wikipedia.org

๒. ข้อมูลประวัติพระพุทธบาทสี่รอย และภาพที่ ๑ ข้างต้น
อ้างอิงจากหนังสือวัดพระพุทธบาทสี่รอย จังหวัดเชียงใหม่
จัดพิมพ์ขึ้นเผยแพร่เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศล
ในวโรกาสมหามิ่งมงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ๘๔ พรรษาของสมเด็จพระภัทรมหาราช
(ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๔๐) เรียบเรียงโดยคุณพัทธนันท์ สายสวัสดิ์

 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP