วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๑๐


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


บทที่ ๘


คุณนายพวงทองกับรถเข็นคันเดิม ใบหน้าหมองสลด ความชัดเจนที่เห็น ให้รายละเอียดถึงรอยยับย่นบนใบหน้า แสดงรอยทุกข์ที่ทับถมทุกวี่วัน ความอึดอัดคับข้องกับภพภูมิที่อยู่ กระทั่งแรงร้อนรนในใจเผาไหม้ จนเพลิงทุกข์เผาหมองดำเช่นนี้

ช่วยยายด้วยนะเชน...ช่วยยายด้วย เสียงชัดบางช่วง ขาดหายเป็นพัก

ให้ผมช่วยอะไรครับ เขาส่งเสียงถามทางความคิด

อย่าให้รามนั่งรถตัวเอง...ช่วยที

ขณะเชนกำลังจะส่งคำถามย้ำอีกครั้ง เพื่อนร่วมโต๊ะก็ทำให้สมาธิแตกซ่าน ต่อไม่ติด

ไอ้เชนโว้ย...นั่งบื้ออยู่ได้นะมึง คิดถึงใครวะ

ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ กำลังที่อัดแน่นในอกผ่อนคลาย สายใยเชื่อมหลุดออก ยากย้อนคืนอีกรอบในเวลาสั้น

คิดถึงยายกู เขาตอบตามตรง กลับเรียกเสียงหัวเราะฮาครืน เชนเหลือบมองโต๊ะของราม เห็นฝ่ายนั้นเพิ่งสั่งอาหารเสร็จ คงยังไม่ไปไหนในเวลาใกล้ๆ แน่

ไอ้ฉิบหาย โกหกให้มันเนียนหน่อยสิวะ...บอกมาซะดีๆ คิดถึงสาวคนไหน

เชนนิ่ง ป่วยการจะปฏิเสธ คนหนุ่มอย่างพวกเขาคิดกันอยู่ไม่กี่เรื่อง...ผู้หญิง...การงาน...อนาคต...การสร้างครอบครัว...คงไม่มีใครคิดถึงเรื่องความแก่ ความเจ็บ โลกหลังความตาย หรือกระทั่งมองเลยถึงการดับสนิทของกิเลสในใจ...การไม่ต้องย้อนกลับมาเกิดอีก...เขารู้ ขืนพูดเรื่องพวกนี้คงเรียกเสียงหัวเราะกันอีกรอบ

เชนมีสองภาค...หนึ่งคือชายหนุ่มปกติ คิดทำงานสร้างตัวหวังมีครอบครัวเช่นคนหนุ่มทั่วไป และอีกภาค...เป็นภาคที่ได้รับการกล่อมเกลาจากพ่อแม่...ภาคที่มีความอ่อนโยน ระลึกถึงบุญบาป คุณค่าของการดำรงชีวิต และสุดท้าย การเรียนรู้ถึงศักยภาพมนุษย์ ที่สามารถกระทำได้ถึงความสิ้นสุดของภพชาติ...การดับสนิทชั่วนิรันดร์ของกิเลสอาสวะภายในใจ

ทั้งสองภาคไม่ขัดแย้งกัน มันดำเนินเคียงคู่อย่างราบรื่น...เขาไม่ได้หวังถึงการสิ้นกิเลส เพียงไม่คิดแค่การมีชีวิต กิน อยู่ แล้วก็ตายเช่นคนทั่วไป...พ่อแม่สร้างตัวอย่างการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ งดงาม บนเส้นทางแห่งทาน ศีล ภาวนา สร้างศรัทธายิ่งให้เขาหวังเดินรอยตาม...โดยไม่กำหนดว่า บนเส้นทางนั้นจะต้องเดินเดี่ยว หรือมีคู่บุญเสมอกันแบบพ่อกับแม่...

เขาหวังแค่จะใช้ชีวิตสมค่าความเป็นมนุษย์...ไม่ยอมให้เสียชาติเกิดเปล่า ตายเปล่า โดยไม่สร้างคุณค่าใดพัฒนายกระดับจิตใจตนเอง...ความหวังนี้ไม่เคยบอกใคร แม้แต่พ่อแม่ตน

ว่าไงวะ คิดถึงสาวคนไหน เพื่อนถามย้ำ

ไม่มี เขาตอบง่าย

เฮ่ย...มึงไม่ต้องมาโกหกกู หล่อๆ ดีๆ อย่างมึง ไม่มีสาวมาสน ใครจะเชื่อวะ

เชนยกน้ำขึ้นจิบแทนการตัดบทสนทนา...ถ้าบอกว่าคนหนุ่มอย่างเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องผู้หญิงเลยก็เรียกว่าเป็นโกหกคำโต...ผู้หญิงหลายคนเคยผ่านเข้ามาทำให้หัวใจสั่นไหว...เป็นความสั่นไหวในรูปลักษณ์ หน้าตา แรงดึงดูดทางเพศ พอมีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนม เขามักใช้ใจสัมผัสใจเพื่อดูความเข้ากันทางความคิด จิตวิญญาณ หลายครั้งที่เกิดแรงต้านในใจ หลายคนที่รู้สึกถึงความไม่เข้ากัน ไม่อยากแม้อยู่ใกล้

ชายหนุ่มวางแก้ว สติเตือนให้ระลึกถึงสิ่งที่ต้องทำ...คุณนายพวงทองส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ...สัญญาณชัด แสดงเจตจำนงมุ่งมั่นรุนแรง...เขาควรทำอย่างไร...

...อย่าให้รามนั่งรถตัวเอง...

หมายความเช่นไร...รถคันนั้นจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่...ถ้าใช่...การที่เขาช่วยน้าชายคนเดียว ปล่อยคนอื่นรับกรรมมันสมควรหรือ

คุณนายพวงทองไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ ถ้าให้ช่วย เขาอยากช่วยทุกคนที่ช่วยได้

แค่คิดก็คล้ายเห็นภูเขาลูกใหญ่กองตรงหน้า เขาจะมีปัญญาช่วยใครได้สักเท่าไหร่ แค่ไม่ให้น้ารามขึ้นรถตัวเอง ยังหาวิธีไม่ได้เลย

เชนคลึงแก้วในมือ ใช้สัมผัสเรียกสติ คิดหาวิธีการ

แกล้งวางยาให้รถรามวิ่งไม่ได้...วิธีแรกผุดขึ้น พร้อมคำตอบ...ไม่ได้แน่...รถคันนั้นจอดตรงลานโล่งอยู่ในสายตาลูกน้องราม ขืนรุ่มร่ามรับรองซวยไม่รู้เรื่อง

ถ้าอย่างนั้น คงทำได้แค่ดึงน้าชายนอกสายเลือดให้เปลี่ยนรถ

ชายหนุ่มคิดหาวิธีได้ เมื่อเห็นรามลุกจากโต๊ะไปเข้าห้องน้ำ

เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ

เชนบอกเพื่อนก่อนลุกตามราม

โชคดีห้องน้ำว่าง รามมากับบุญส่ง สมุนมือขวา...เชนอดคิดไม่ได้...ชีวิตที่ต้องมีคนตามประกบแบบนี้ ไม่เห็นต่างจากถูกกักขังตรงไหน

อ้าวเชน มาเข้าห้องน้ำเหมือนกันเหรอ รามเอ่ยทัก

ครับ น้าราม เชนตอบรับ

บอกเพื่อนให้กินเต็มที่เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจน้า

ครับ...เอ่อ...น้ารามจะกลับตอนไหน เชนถามเกรงใจ

เดี๋ยวก็กลับแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าของร้านนี้เป็นเพื่อนน้าเอง บอกให้มันลงบัญชีน้าไว้แล้ว รามตอบเกรงอีกฝ่ายเป็นห่วงเรื่องค่าอาหาร

ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ เชนกระอักกระอ่วน คือผมอยากรีบกลับเหมือนกัน เป็นห่วงพ่อแม่ ไม่ได้บอกท่านว่าจะกลับดึก แต่เพื่อนมันดึงไว้ตลอด เลยหาเหตุกลับไม่ได้

รามสนใจฟังหลานชาย เข้าใจนิสัยชายหนุ่มดี เขาเป็นลูกกตัญญูเข้าข่ายรับโล่ได้

ผมอยากให้น้ารามช่วยหน่อย เชนเข้าประเด็น

ให้ช่วยยังไงล่ะ

คือ...อยากให้น้ากลับพร้อมผมน่ะครับ พูดถึงนี่ค่อยโล่งใจหน่อย พอสานต่อไปได้ ผมจะได้อ้างกับพวกมันได้ว่าต้องรีบกลับ ไม่งั้นคงดึงตัวผมถึงเช้าแน่...กลัวพ่อแม่เป็นห่วง อีกอย่างพรุ่งนี้ก็มีงานต้องทำ

เอางั้นเหรอ รามลังเล ปกติเขาไม่เคยนั่งรถคันอื่น นอกจากรถส่วนตัวมีลูกน้องห้อมล้อม

ครับ...ผมว่ายังไงพวกมันต้องเกรงใจแน่ ถ้าน้ารามออกปากอย่างนี้ เชนพูดถูกจุด

เอาสิ อย่างนั้นก็ได้

รามรับปาก เชนค่อยหายใจทั่วท้อง

วิธีของเชนออกจะง่ายและไม่แนบเนียนเอาเสียเลย ยังโชคดีที่รามไม่ขัด ยอมพูดกับเพื่อนเชนจนได้กลับก่อนทุกคน แต่เวลาจะขึ้นรถจริงๆ รามกลับบอกอีกอย่าง

ขับรถดีๆ ล่ะ รามบอกหลานชาย ก่อนเตรียมขึ้นรถตนเอง

อ้าว...น้ารามไม่ไปกับผมหรือครับ เชนสงสัย

ไม่หรอก น้าชอบนั่งรถตัวเอง อีกอย่างพวกเพื่อนแกเขาก็ไม่ได้ตามมาดูนี่ ว่าน้าขึ้นรถแกด้วยหรือเปล่า

จริงสิ...เชนนึกได้ เขาหาข้ออ้างให้ตัวเองกลับเร็วขึ้นสำเร็จ รามไม่จำเป็นต้องขึ้นรถจริง ถึงตอนนี้ต้องรีบหาวิธีแก้ไข พลิกแพลง

โธ่...น้าราม ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว วันนี้จะไม่ให้เกียรตินั่งรถผมสักครั้งหรือครับ เชนพูดทีเล่นทีจริง ใช้น้ำเสียงให้เกียรติ ยกย่อง

รามหัวเราะ ถูกใจคำพูดหลานชาย

เอาวะ วันนี้เปลี่ยนรถนั่งสักที...ไอ้ส่ง...ไปด้วยกัน...ที่เหลือก็กลับไปก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ

ถึงอย่างนั้น รามก็ยังเรียกบุญส่งนั่งรถด้วย...เชนลอบระบายลมหายใจ ในที่สุดก็ทำสิ่งที่คุณนายพวงทองขอร้องสำเร็จ


เชนขับรถตามสบาย ระหว่างทางชวนรามคุยเรื่องทั่วไป แรกๆ ผู้เป็นน้าก็พูดจาตอบตามปกติ มีบางช่วงนิ่งเงียบเหมือนจมกับความคิดส่วนตัว...ในความเงียบที่บังเกิด เชนสัมผัสถึงคลื่นกระสับกระส่าย ความกลัวที่แผ่มาเป็นระยะ ความกลัวนี้หมุนวนเกิด ดับ คล้ายเจ้าตัวจมกับความคิดวนเวียนซ้ำซากในหัวตนเอง

ชายหนุ่มแทบนึกไม่ออก มีเรื่องใดทำให้คนอย่างรามกลัวได้...หากคิดอีกที...ณ จุดที่รามยืนเป็นจุดสามารถก่อศัตรูไม่น้อย อีกทั้งยังผ่านการสร้างศัตรูมาด้วยเช่นกัน...เป็นไปได้หรือที่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจะไม่รู้สึกหวาดกลัว

ความเงียบคลี่ม่านนานพอควร เชนต้องพยายามหาเรื่องมาคุยผ่อนคลาย เปลี่ยนอารมณ์ ไม่อย่างนั้นพานจะพาในรถอึดอัดกว่าเดิม

ไม่รู้ป่านนี้พวกเพื่อนผมมันจะเลิกกันหรือยัง เขาเลือกคุยเรื่องเบาๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ต้องจ่ายอย่างนี้ กลัวจะไม่ยอมให้เจ้าของเขาปิดร้านเอา

ช่างเถอะ...นานๆ ที รามตอบ

ผมเกรงใจน่ะครับ ถ้าพวกมันทำอะไรไม่ดีขึ้นมาจะเสียถึงน้ารามด้วย

เรื่องเล็กน้อยน่า พวกลูกน้องน้ามันเคยทำเรื่องเดือดร้อนให้น้าตามเคลียร์ตั้งไม่รู้กี่ครั้งน้ายังไม่ห่วงเลย

เชนไม่ห่วงเรื่องเพื่อนตนจะไปสร้างความเดือดร้อนอะไร ที่ยกมาคุยก็เพื่อสร้างบรรยากาศดีๆ ในรถเท่านั้น

มิน่า...พวกลูกน้องถึงรักน้ารามกันจริงๆ พูดไม่ผิดนัก รามดีกับใครดีจริง ถ้าร้ายกับใครก็ร้ายจริงเช่นกัน จึงมีคนรักมากและเกลียดแรงพอกัน

รามภูมิใจ คนอย่างเขาถือดีที่มีลูกน้องมาก ลูกน้องเหล่านั้นต่างจงรักภักดี ทำงานให้ทุกเรื่องมีประสิทธิภาพ ดันให้เขามายืนจุดนี้ได้

เชนขับรถปลอดโปร่งกว่าเดิม เส้นทางยังเหลืออีกเกือบครึ่ง ยามดึกเช่นนี้ยวดยานน้อยคันขับรถตามสบาย ไม่เร่งรีบกลับบ้าน จึงมีรถหลายคันแซงหน้าเรื่อยๆ

รามปล่อยชายหนุ่มเจ้าของรถขับตามใจ เอนกายพิงเบาะ ผ่อนคลาย ในใจเหน็ดเหนื่อยหนักอึ้งท่วมอก...เขาเพิ่งสร้างศัตรูสำคัญอีกราย...เป็นศัตรูที่ประมาทไม่ได้

การบอกปฏิเสธไม่เข้าร่วมพรรคการเมืองนายภาสกรเป็นเรื่องยากยิ่ง แต่เป็นเรื่องที่ต้องกระทำ เมื่อทำแล้วกลับหนักอกทบทวี

สีหน้านายภาสกร ชายวัยหกสิบไม่แปรเปลี่ยนสักนิด ยามฟังคำปฏิเสธจากเขา ผู้ใหญ่ในพรรคเสียอีกยังแสดงสีหน้า บ้างขุ่นเคือง บ้างกระอักกระอ่วน

ไม่เป็นไรหรอกหลานชาย ภาสกรยิ้มแย้ม ถ้ายังไม่พร้อมอาก็ไม่ว่า...เราคุ้นเคยกันมากี่สิบปีแล้ว ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ยันหัวหงอกป่านนี้ จะเอาอะไรกันนักหนา...อาไม่ฝืนใจใครหรอก

ถึงพูดอย่างนั้น สายตากลับไม่แสดงความรู้สึกตามที่พูดสักนิด รามเสียวสันหลังวาบ ปรับสีหน้า น้ำเสียงเป็นกันเอง เปลี่ยนเรื่องคุยโดยไม่ติดขัด

ออกจากบ้านนายภาสกรเหมือนหลุดจากกรงเสือ...ยังวางใจไม่ได้ ต่อจากนี้ต้องเตรียมแผนรับมือที่รัดกุม ระมัดระวัง ไม่รู้ตนเองจะได้รับการตอบโต้เช่นไร นายภาสกรเป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก หนีกันไม่พ้น

ปัง...ปัง...เอี๊ยด...โครม...เสียงดังจากข้างหน้า...เกิดอุบัติเหตุ...

แรงสะเทือนเสียงดังเข้ามาถึงรถเชน ทุกคนสะดุ้งเฮือก รามดีดตัวจากท่าเอนพิง มองฝ่าความมืดนอกรถ เห็นไฟท้ายแดงวาบของรถที่แล่นเบื้องหน้า

เกิดอะไรขึ้นวะส่ง รามถามสมุนมือขวา

น่าจะเกิดอุบัติเหตุครับ บุญส่งตอบ

ก่อนหน้านั้น มันเสียงปืนใช่มั้ย รามคุ้นกับเสียงนี้

ครับ

เชนฟังสองเจ้านายลูกน้องคุยกัน ความเคร่งเครียดกระทบถึง ข้างหน้ารถวิ่งช้า เขาชะลอตาม ระยะทางที่จะถึงจุดเกิดอุบัติเหตุร่นเข้าเรื่อยๆ

แสงไฟจากถนนพอจะมองเห็นสภาพรถที่พุ่งลงข้างทาง ไฟท้ายโผล่แดงวาบ ส่องป้ายทะเบียนยี่ห้อชัดเจน

เฮ่ย นั่นรถกูนี่หว่า

รามอุทานในใจ

เชนรีบหักรถเข้าจอดใกล้จุดเกิดอุบัติเหตุโดยไม่ต้องมีใครสั่ง ยังไม่ทันจอดรถสนิท สองเจ้านายลูกน้องก็ผลุนผลันลงไปไม่รีรอ

ริมถนนเริ่มคึกคัก รถหลายคันจอดดูอุบัติเหตุ บุญส่งบุกลงข้างทางช่วยเหลือคนขับ ผู้โดยสารอย่างเร็ว รามโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล ตำรวจ

เชนตามลงมาเผื่อมีสิ่งใดที่ตนเองพอจะช่วยได้ รามวางหูโทรศัพท์เสร็จก็ตามบุญส่ง หาทางช่วยคนเจ็บออกจากรถ

ยามคับขัน สมุนมือขวาของรามแสดงความสามารถเต็มที่ นอกจากไม่แสดงท่าลนลานตื่นตระหนกแล้ว ยังคุมสติได้ดี ร่วมแรงกับเชนช่วยคนเจ็บในรถออกมาเรียบร้อย ปลอดภัย

ในรถมีคนขับ ลูกน้องรามอีกคนสองคน แต่ละคนสะบักสะบอม บาดแผลเต็มตัว เลือดเปรอะเป็นหย่อม อาการไม่ถึงขั้นสาหัส มีสติพอพูดจารู้เรื่อง

รามถามอาการลูกน้อง รวมถึงสาเหตุที่รถเกิดอุบัติเหตุ

พวกเราโดนยิงครับนาย คำตอบจุดไฟโทสะลุกโพลง

มันยิงยาง ไม่ตั้งใจฆ่าพวกเรา จงใจให้รถเกิดอุบัติเหตุ

นัยน์ตารามวาวโรจน์ คนอยู่ใกล้เสียวสันหลัง ไอร้อนแผ่วูบถึงเชน มันเป็นไฟโทสะรุนแรง ทั้งโกรธ พยาบาท

ทำกับกูได้นะมึง เสียงเข่นเขี้ยว นึกถึงผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง

เชนไม่เอ่ยปากถาม ท่ามกลางสถานการณ์คุกรุ่น ร้อนแรงเช่นนี้ ทำได้เพียงถอยดูและแอบถอนใจโล่งอกที่ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นเสียชีวิต...อดคิดไม่ได้ ถ้ารามอยู่บนรถคันนั้นด้วย อะไรจะเกิดขึ้น

คิดถึงคุณนายพวงทอง...ดวงวิญญาณที่ไม่อาจสงบสุขด้วยความเป็นห่วงลูก...เธอจะสามารถปกป้องลูกได้ทุกครั้งหรือไม่ แต่ละคนในตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลเหมือนยืนบนปากปล่องภูเขาไฟ มันอาจเป็นจุดสูงสุดที่คนเบื้องล่างชะเง้อคอมองอย่างริษยา อยากมี อยากเป็น... ใครจะรู้ ณ บนนั้น มันร้อนแค่ไหน อันตรายเพียงใด


กว่าจะจัดการเรื่องราวคลี่คลาย เสียเวลาร่วมค่อนคืน เชนส่งรามกับลูกน้องเสร็จ กลับถึงบ้านย่ำรุ่ง นายพลทางธรรมเข้าสวน ดูแลต้นไม้แล้ว ส่วนแม่อยู่ในครัวทำกับข้าว จัดอาหาร เตรียมไปวัด

เชนเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันพระ

มีปัญหาอะไรหรือเปล่าลูก กลับซะเกือบเช้าเชียว คุณจิตใสเอ่ยถาม

เรื่องของน้ารามครับ เชนบอก

เป็นยังไงจ๊ะ น้ำเสียงคุณจิตใสไม่แสดงความรู้สึกตื่นเต้น แปลกใจ

เชนหยิบน้ำในตู้เย็นมารินดื่ม ก่อนนั่งลงเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญให้แม่ฟัง เขาคงไม่สามารถหลับลงได้ หากไม่ถ่ายทอดเรื่องเหล่านี้ให้ใครสักคนฟัง

ดีแล้วล่ะที่ไม่มีใครเจ็บตัวมาก คุณจิตใสพูดพลางตักกับข้าวจากกระทะใส่จาน เอื้อมมือปิดแก๊ส สีหน้ากิริยานุ่มนวลไม่ตกใจ หวาดกลัวแบบผู้หญิงทั่วไป

แม่ไม่ตกใจเลยหรือครับ เชนกลับแปลกใจแทน หรือว่าแม่รู้ล่วงหน้าแล้ว

คุณจิตใสหัวเราะเบาๆ

แม่จะรู้ได้ยังไงล่ะเชน แค่สังเกตจากท่าทางของลูกเท่านั้นเอง ดูแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร

เชนมองมารดาเหมือนไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่

แม่คิดว่าใครเป็นคนลอบยิงรถน้ารามครับ เขาถาม

ไม่คิดดีกว่า แม่ตอบง่าย งานนี้ขอเป็นคนดูแล้วกัน

คุณจิตใสไม่บอกต่อลูกชาย...ตนรู้เบื้องหลังรามมากแค่ไหน...กว่าธุรกิจตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลจะเป็นปึกแผ่นเช่นนี้ ทั้งคุณนายพวงทองและราม สร้างศัตรูมาไม่รู้เท่าไหร่ เมื่อถึงเวลาที่ กรรม ทวงคืน คนนอกเช่นเธอ ทำได้แค่ มอง และ แผ่เมตตา

แล้วเรื่องคุณยายล่ะครับ เชนเปลี่ยนประเด็น

ทำไมหรือจ๊ะ คุณจิตใสจัดอาหารใส่ปิ่นโตเรียบร้อย จึงนั่งลงคุยกับลูกชาย

ผมรู้สึกว่าวิญญาณแกไม่ค่อยเป็นสุขเลย คอยห่วงลูกแบบนี้เมื่อไหร่จะได้ไปเกิดในที่ดีๆ สักที

เชนห่วงคุณยายหรือห่วงพวกน้าของลูกกันล่ะ

ชายหนุ่มถอนใจ ตอบไม่ถูก...โดยพื้นนิสัยแล้ว เขาเป็นห่วง หวังดีกับทุกคนที่รู้จัก...คนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลดีกับครอบครัวเขา เชนก็อยากตอบแทน

ก็ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละครับ แต่ผมไม่รู้จะช่วยยังไง ถ้าให้คุณยายแกไปดี ก็กลัวไม่มีใครมาเตือนเวลาพวกน้าเขามีเรื่อง ถ้าให้แกอยู่แบบนี้ มันก็น่าสงสาร

คุณจิตใสสัมผัสกระแสจิตอันอ่อนโยนของลูกชายได้ รอยยิ้มแตะแต้มบนใบหน้า

การที่เรามีความเมตตา สงสารมันก็ดีแล้วลูก แต่เราต้อง รู้ ตัวเองอยู่ในจุดไหน ทำอะไรได้บ้าง ความ อยาก ให้ผู้อื่นเป็นสุข จนเราเกิดทุกข์ทางใจ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก เอาสติมาจับดูความอยากของเราให้ชัด จะเห็นมันเกิด-ดับตลอดเวลา เอาแน่อะไรกับมันไม่ได้...การแผ่เมตตาต้องมีทั้งเมตตาผู้อื่น และเมตตาตนเองด้วย

เชนซึมซับถ้อยคำมารดาด้วยความอิ่มเต็ม รอยยิ้มจางๆ ผุดบนใบหน้า กระแสความเย็นจากใจแม่แผ่ถึงใจเขา สองแม่ลูกมองตากัน...เข้าใจ


วัดที่คุณจิตใสกับสามีไปทำบุญด้วยกันอยู่ไม่ไกลบ้าน เป็นวัดสงบร่มรื่น มีผู้มาถือศีลแปดนอนค้างที่วัดหลายคน

นายพลทางธรรมจอดรถใต้ร่มไม้ ช่วยคุณจิตใสถือปิ่นโตจากหลังรถพากันไปยังศาลาฉัน ระหว่างทางทักทายผู้คนคุ้นเคยไปเรื่อย สีหน้าผู้มาถือศีลอิ่มเย็น พูดจากันเอง สายตามองตามสองสามีภรรยาสูงวัยด้วยความชื่นชม

หลังนำปิ่นโตส่งให้เณรจัดสำรับถวายพระเสร็จ นายพลทางธรรมก็ไปนั่งข้างภรรยาที่มุมศาลา เห็นสีหน้าคุณจิตใสมีริ้วรอยวิตกจางๆ จึงเอ่ยปากถาม

เช้านี้เจ้าเชนเอาเรื่องทุกข์ของใครมาฝากอีกล่ะ

คุณจิตใสยิ้มปรายตาคล้ายจะค้อนสามี

พ่อนี่ ชัก อ่าน เก่งขึ้นทุกวันแล้วนะ

เรื่องของครอบครัวนั้นอีกใช่มั้ย มีคนแค่กลุ่มเดียวที่ทำให้คุณจิตใสกังวลใจได้

เพราะเขาเคยมีบุญคุณกับเราน่ะค่ะ...พยายามใช้สติตาม รู้ ความ กังวล ให้ทันอยู่

แล้วยังไง คำถามต่อ

ลำบากหน่อย คุณจิตใสยิ้มเหมือนยอมแพ้ ดูจนดับ หายไปพักนึง มันก็เวียนกลับมาใหม่...จนยอมรับแล้ว ยังไงเราก็คงทิ้งพวกเขาไม่ได้อยู่ดี

ไม่เป็นไรหรอก สามีพูด เธอยังมีฉันอยู่อีกคน

คุณจิตใสผลิรอยยิ้มเบ่งบาน ราวอายุถอยร่นนับสิบปี จิตใจหนักแน่นมั่นคงขึ้น กระแสใจคนใกล้ตัวทำให้เธออบอุ่นลึกถึงกลางใจ ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน นอกจากสร้างความผูกพันทางใจ ทั้งคู่ต่างส่งเสริมกันและกันให้เจริญสติ สร้างสมคุณธรรมความดีชนิดยากจะมีใครทำได้

เรื่องคุณนายพวงทองและครอบครัวเสมือนบททดสอบครั้งใหญ่ ว่าบารมีธรรมที่บำเพ็ญมาจะมั่นคงเพียงใด พอใช้ลดทอนกระแสกรรมของคนเคยผูกบุญคุณได้หรือไม่

เกือบตลอดชีวิตคุณนายพวงทองสร้างกรรมดำไว้หลายชนิด ถ้าจะมีกรรมขาวเด่นชัดซึ่งเธอกระทำโดยไม่ตั้งใจ คือการรับอุปการะลูกสาวของพี่ชายคนโต...คุณจิตใสนั่นเอง


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP