วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๗


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


พอเชนออกจากห้องครัว รุ่งรตีก็กลับไปแล้ว พ่อแม่นั่งดูข่าวทีวีเหมือนรอคุยกับเขา

รุ้งกลับไปแล้วหรือครับแม่ เชนถาม

จ้ะ คุณจิตใสตอบ

แย่จัง ที่จริงผมน่าไปส่งเขานะครับ

น้องเขาขับรถมาเองไม่ใช่หรือลูก

ครับ แต่ก็ค่ำแล้ว น่าเป็นห่วงเหมือนกัน ถึงบ้านเขาจะไม่ไกลเท่าไหร่ก็เถอะ

ท่านนายพลหันมายิ้ม

ห่วงจริง หรือรู้สึกต้องรับผิดชอบ

ก็ทั้งสองนั่นแหละครับ เชนยอมรับ

พ่อไม่ค่อยพูดมากก็จริง แต่พูดทีก็เหมือนนั่งอยู่กลางใจ

เท่าที่พ่อดูแล้ว...เขายังไม่ห่วงตัวเองเท่าไหร่เลยนะ คำพูดซ่อนนัย

ชายหนุ่มยิ้มรับ ถ้าไม่คุ้นเคยกับพ่อแม่มาตลอด คงรู้สึกเหมือนถูกอ่านใจตลอดเวลา ทั้งคู่มีความสงบเย็นคล้ายกัน ต่างกันตรงพ่อจะอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง ส่วนแม่...ใส...เย็นเหมือนชื่อ

เป็นห่วงน้องหรือเชน

คำพูดคุณจิตใสคลุมความหมายกว่าเรื่องกลับบ้านค่ำของรุ่งรตี

ก็...มีบ้างครับ...ผมรู้สึกว่ารุ้งเขาไม่ค่อยมีความสุข

เขาตอบตามความจริงที่เห็นและสัมผัส

วันนี้ไปเจอเขาที่ไหนล่ะ

คุณจิตใสถามอีกเรื่อง

ที่โรงเจครับ

ไปทำอะไรที่นั่น คราวนี้พ่อถาม

ผมหรือรุ้งครับ

ทั้งสอง

ผมไม่รู้เหมือนกันว่ารุ้งเขาไปทำอะไร เจอกันหน้าโรงเจ ท่าทางเหมือนหนีอะไรมา พอเจอผม พูดกันสองสามคำก็กลับเข้าโรงเจอีกครั้ง

เชนหยุดนิดนึง ดูว่าผู้ฟังทั้งสองมีคำถามอะไรหรือไม่...เห็นนิ่งฟังสบายจึงเล่าต่อ

ส่วนผม...ตอนแรกก็บอกรุ้งว่าจะเข้าไปไหว้พระข้างใน เขาเลยขอตามไปด้วย

แล้วที่จริงตั้งใจไปหาใคร พ่อวกถาม

เชนยิ้มจืด สีหน้ากึ่งลังเล

ตอบตรงๆ คือผมตั้งใจไปหาคุณยายพวงทอง

คำตอบเช่นนี้อาจทำให้คนฟังทั่วไปขนหัวลุก...สองสามีภรรยากลับสงบเงียบ รอฟังสนใจ

เอ่อ...ผมเคยเล่าให้แม่ฟังแล้วว่าเจอคุณยายพวงทองที่โรงเจ วันที่พวกเขาเปิดพินัยกรรม

เชนเท้าความ...ทั้งคู่จำได้...เรื่องที่คุณจิตใสรู้ สามีย่อมรู้ ทั้งคู่ไม่เคยปิดบังกัน

เมื่อคืนก่อนผมเจอคุณยายพวงทองที่บ้านเรา เชนเล่าต่อ ผู้ฟังไม่มีอาการแปลกใจ ท่าทางแกเหมือนอยากให้ช่วย...ผมเห็นแกไม่ถนัด วันนี้เลยไปโรงเจอีกครั้ง เผื่อเจอแกอีก

เข้าไปแล้วเจอเขาไหม พ่อถาม

เจอครับ เชนตอบรับ รุ้งก็เจอ แต่เจอแค่เสียง...ผมเห็นแก น่าสงสารมาก เหมือนอยากบอกอะไรบางอย่างกับผม แต่เพราะมีรุ้งอยู่ด้วย เลยติดต่อกันไม่ถนัด

สองสามีภรรยาระบายลมหายใจเบา ตั้งดวงจิตนิ่งครู่หนึ่ง

เรื่องการแบ่งมรดกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า

นายพลทางธรรมถามภรรยา

ดูตามเปลือกนอกแล้วก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...พวกเขายอมรับกันดี

แล้วข้างใน... สามีถามค้าง

เชนนั่งมองพ่อแม่สนทนากันด้วยถ้อยคำที่ผู้อื่นยากจะตามทัน สำหรับเขาเห็นมานานแล้วว่าคนทั้งสอง รู้ หลายสิ่ง ที่คนทั่วไปยากจะเข้าใจ

พวกตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล เขาจะมีปัญหากันหรือครับ เชนตั้งข้อสงสัย

คงใช่...ไม่งั้นคุณนายพวงทองคงไม่เกิดสังหรณ์ขึ้นมาได้หรอก พ่อตอบ

เพราะคุณยายรู้ว่าพวกน้าๆ จะเกิดเรื่อง เลยมาบอกให้ผมไปเตือนใช่มั้ยครับ

ชายหนุ่มเข้าใจเร็ว

ก้อนอึดอัดเบาบางปรากฏให้รู้ในใจคุณจิตใส

ถึงจะเกิดเรื่องจริง เราก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร กับใคร...ให้ไปเตือนคงลำบาก

แม่พูดอย่างรอบคอบ ส่วนเชนตื่นเต้น เป็นห่วง...อย่างไรเสียคนในครอบครัวนี้ก็มีบุญคุณกับเขาไม่น้อย ทั้งให้ความเอ็นดูในฐานะหลานคนหนึ่ง สนับสนุนเรื่องการงาน จนร้านของเขาตั้งตัวได้อย่างมั่นคง รวดเร็ว

ผมจะช่วยยังไงดีครับ

เชนถาม หวังให้ทั้งคู่มีปาฏิหาริย์คำตอบ บอกวิธีการชัดเจนกับเขา

สองสามีภรรยามองตากัน แววตาทอประกายเสียใจชั่วแวบ...การรู้จากสัมผัสนี้ ใช่ว่าจะครอบคลุม กว้างขวาง ชัดเจนแน่นอน...ถึงกระนั้นกลุ่มก้อนที่แน่นในหัวอกก็บอกให้รู้...สิ่งที่กำลังจะเกิดต่อไป เกินกำลังพวกเขาจะทำอะไรได้

กรรม กำหนด...ผลของกรรมเดินทางมาทวงใครบางคนในตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล...ใต้เงาแห่งกรรม...จะมีปุถุชนใดหลบหนีได้เล่า...


รุ่งรตีจอดรถหน้าสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่เปิดไฟหลากแสงสีกะพริบวูบวาบ เชิญชวนเหล่าภมรราตรีทั้งหลาย...ความไม่อยากกลับบ้านเดียวดาย จึงขับรถเรื่อยเปื่อย ลัดเลาะเลี้ยวตามถนนซอกซอย จนเจอที่ถูกใจ

ที่นี่อาจไม่หรูหราไฮโซเท่าที่เที่ยวยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ ผู้คนไม่ฟู่ฟ่า แต่นับว่าไม่เลวสำหรับจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่ง

หญิงสาวลงจากรถทั้งที่อยู่ในชุดเดิม ไม่สนใจใครมองแปลกๆ ชินกับการเป็นเป้าสายตาหนุ่มนักเที่ยวเสียแล้ว

กลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้ง แสงไฟสลัวมัว เสียงดนตรีบาดใจ รุ่งรตีหาเก้าอี้ที่มุมเงียบมุมหนึ่ง สั่งเครื่องดื่มอ่อนกว่าปกติ ความที่มาคนเดียว ไม่มีเพื่อนฝูงป็นโขยงต้องระวังตัวระดับหนึ่ง

แขกเที่ยวหนาตา คึกคัก เครื่องเสียงชั้นยอด นักร้อง นักดนตรีมีฝีมือ เรียกความคึกคักกระชุ่มกระชวย

จิบเครื่องดื่มไม่เท่าไหร่ก็ตกเป็นเป้าสายตาชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง พอหันไปมอง พวกเขาชูแก้วทักทาย เปิดรอยยิ้มทอดไมตรี

รุ่งรตีนิ่งอยู่เป็นครู่ ไม่แน่ใจควรเปิดประตูรับเพื่อนใหม่ หรือจะนั่งจิบเครื่องดื่มฟังเพลงคนเดียวเงียบๆ

ไม่นานผู้ชายกลุ่มนั้นก็ตัดสินใจแทน โดยส่งหนุ่มหน้าตาดีสุดในกลุ่มมาเป็นสื่อสัมพันธ์

มาคนเดียวหรือครับ

คำพูดเปิดทาง ไม่ผิดกับผู้ชายคนอื่น

รุ่งรตีพยักหน้านิดๆ ปรายตามองไว้ตัว

มาเที่ยวคนเดียวไม่เหงาบ้างเหรอ

หญิงสาวไม่ตอบ แค่ยิ้มแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาชายตรงหน้า นึกถึงชายหนุ่มอีกคน เขาอาจไม่ใช่หนุ่มหล่อสำอางเนี้ยบขนาดนี้ แต่ยามเขาพูดถึงเรื่องไปเที่ยว ดวงตามีแววบริสุทธิ์จริงใจ อบอุ่นชวนรื่นรมย์ ขณะที่ชายตรงหน้ามีแววหวานเยิ้มทอยิบยับ หมายมาดในใจ

ร่วมโต๊ะกันมั้ยครับ

เขาทอดเสียงนุ่มเชิญชวน

รุ่งรตีคลึงแก้วในมือไม่ตอบคำ ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ เพื่อนหล่อนคงช่วยกันชายแปลกหน้าไม่ยาก ยามนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จะหาวิธีใดไล่เขา...หล่อนกำลังชั่งใจ อยากสานสัมพันธ์หาเพื่อนเที่ยวกลุ่มใหม่ หรือทำตัวเป็นศิลปินเดี่ยว เที่ยวคนเดียวไม่สนใจใคร

มีแต่หนุ่มๆ ทั้งนั้น ขืนฉันร่วมวงคงกระดากแย่

รุ่งรตีออกปากปฏิเสธ อีกฝ่ายรู้ว่านี่แค่การออกตัวเท่านั้น

โธ่...รับรองครับ พวกผมมีแต่สุภาพบุรุษ

เขาพูดพลางยิ้มเก๋ มั่นใจเสน่ห์ตนเอง

รุ่งรตีกำลังหาคำพูดตอบ แต่นัยน์ตากลับชะงักค้าง...มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความตกใจ

เอ๊ะ...

หล่อนอุทาน เสียงขาดหายในลำคอ

ใบหน้าหนุ่มหล่อสำอาง กลายเป็นโครงกระดูกแห้งซีด แก้มตอบยุบเห็นกะโหลกชัดเจน เส้นผมหลุดร่วง หนังหัวลอกเป็นแผ่นเหลือเศษผมแซมหร็อมแหร็ม ไม่ผิดกับซากศพ

อาการแย้มยิ้มก็ไม่ต่างจากการแสยะฟัน อวดขากรรไกรหุ้มหนังบางๆ ดวงตาลึกกลมโบ๋ไร้ประกาย...

...นี่มันเกิดอะไรขึ้น




บทที่ ๖


มีอะไรหรือครับ เขาถามเมื่อได้ยินเสียงอุทาน

รุ่งรตีกะพริบตาถี่ ขนลุกชาเห่อทั้งตัว ใบหน้านั้นกลับเป็นดังเดิม หญิงสาวจับแก้วด้วยมือสั่น ยกขึ้นดื่ม ภาพใบหน้าอัปลักษณ์ น่ากลัวยังติดตา

คุณ คำพูดชะงักค้าง ไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร ผู้ชายหน้าตาดีหล่อเหลา มาดสุภาพบุรุษกลายเป็นโครงกระดูกผีในชั่วพริบตา

ขอฉันดื่มคนเดียวสักครู่ดีกว่า รุ่งรตีเพิ่งตั้งสติได้ ใจเย็นลง ถ้านึกสนุกยังไงจะไปขอร่วมวงด้วย

ชายผู้หวังสานสัมพันธ์มีสีหน้าแปลกใจ เคยมั่นใจเสน่ห์ตนเสมอมา จีบสาวไหนไม่พลาด ทำไมสาวเปรี้ยวคนนี้ถึงยังวางท่าไว้ตัว

...หรือว่าเป็นทอม...

งั้นผมจะรอนะครับ...คุณ... เขาทิ้งท้ายรอให้หล่อนบอกชื่อ จะได้ถือโอกาสแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

หญิงสาวยิ้มเฉย ยกเครื่องดื่มขึ้นจิบแทนการปิดสนทนา ชายแปลกหน้าจำต้องกลับโต๊ะอย่างงงงวย

รุ่งรตีวางแก้วลง นัยน์ตาฉายแววสับสน เหตุใดพอกลับบ้านถึงเจอเรื่องแปลกๆ หรือวิญญาณคุณย่าจะติดตามหล่อนมา

ตั้งแต่คืนที่มาจากกรุงเทพฯ หญิงชราบนรถเข็นที่ตัดหน้ารถ เงารางๆ ที่โรงเจ เสียงล้อรถรอบศาลา กระทั่งเมื่อครู่...ใบหน้าชายคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นปิศาจ

หญิงสาวมั่นใจตาไม่ฝาด...เหตุการณ์ทั้งหลาย ร้อยเรียงมาเพื่อบอกอะไรกัน

คิดเท่าไรไม่มีคำตอบ...เสียเวลาเปล่า สุดท้ายเช็กบิลออกจากร้าน...หมดสนุก...แสงไฟยามราตรีในแหล่งล่อแมลงช่างไร้แรงดึงดูดผิดเคย...เบื่อขึ้นมาไม่รู้สาเหตุ

นั่งเงียบๆ ในรถ มองหาสาเหตุความเบื่อหน่าย ใช่เพราะเจอเรื่องประหลาดติดกันหรือไม่...หรือด้วยสาเหตุอื่น

อาหารเย็นใต้บรรยากาศอบอุ่นของครอบครัว ลุงป้าผู้ใจดีจากเนื้อแท้ ไม่มีอาการชัดหูขัดตาการแต่งตัว กิริยามารยาทของหล่อน ญาติผู้พี่ที่เรียบง่าย จริงใจ กันเอง ไม่มีสายตาโลมเลียเช่นผู้ชายทั่วไปที่เคยมองมา

โลกอันอบอุ่นเช่นนี้ต่างจากโลกรอบตัวปกติ จนอดเปรียบเทียบไม่ได้... ทั้งสองอยู่บนแผ่นดินผืนเดียวกันหรือไม่...


พิทักษ์นั่งกึ่งเอนนอนบนเตียง มองภรรยาที่กำลังชโลมครีมบำรุงผิวหน้ากระจกด้วยสายตาครุ่นคิด

วันนี้เฮียรามเขานัดคุยเรื่องอะไรกันหรือดา เขาถามเรื่อยๆ ฟังไม่จริงจัง

เรื่องบริษัทกงสีน่ะ สีดาตอบ

มีปัญหาอะไร ให้ผมช่วยดูเรื่องกฎหมายให้มั้ย

พิทักษ์เป็นทนายความ มีสำนักงานทนายความของตนเอง แต่ไม่มีโอกาสก้าวก่ายพินัยกรรม เอกสารต่างๆ ของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลเลย

บริษัทน่ะไม่มีปัญหาหรอก ตัวเฮียนั่นแหละที่มีปัญหา สีดาถอนใจ

เรื่องมันเป็นยังไงกัน เขาแสดงความสงสัย

สีดาเล่าเรื่องที่คุยในห้องประชุมให้สามีฟังทั้งหมด ทั้งที่รามไม่อยากให้พิทักษ์รับรู้เรื่องสมบัติเงินทองเหล่านี้นัก

พิทักษ์เป็นเขยที่ทุกคนไม่ถูกใจ...คุณนายพวงทองประกาศต่อหน้าลูกสาวด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้หวังแต่เงิน...เธอไม่มีวันรับเป็นเขยเด็ดขาด พี่น้องคนอื่นไม่คัดค้าน ดูท่าเห็นด้วยกับมารดา แต่สีดาก็ดื้อ ฝืนแต่งงานกับเขาจนได้

มันเป็นการแต่งงานที่ไม่ได้รับการยอมรับจากญาติเจ้าสาวโดยพฤตินัย

หลังฟังปัญหาบริษัทกงสีจบ พิทักษ์ก็พูดสนับสนุนภรรยา

ดาทำถูกแล้วนะ ขืนปล่อยให้ใครเบิกได้ตามใจชอบ ผมว่าเฮียรามนั่นแหละ จะกวาดเอาไปหมดก่อน

แต่ดายังหวั่นใจเหมือนกัน กลัวเฮียเขาจะทำอะไรขึ้นมา ยิ่งตอนนี้มรดกหลายอย่างยังแบ่งโอนไม่เสร็จด้วย

ทำไมช้านักนะ พิทักษ์บ่น

ก็มัวแต่ยุ่งเรื่องจัดระบบบริษัทกงสีให้เข้ารูป รัดกุมกว่าเดิมก่อน อีกอย่างพวกโฉนดที่ดินมันก็เยอะมาก ต้องตรวจสอบทุกแปลง กว่าจะแบ่งกันเสร็จ กว่าจะโอนเรียบร้อยมันก็ใช้เวลานาน

แล้วดากลัวเฮียเขาจะทำอะไร เขาถามอย่างสงสัย

สีดาถอนใจ ไม่รู้จะตอบอย่างไร มันเป็นลางสังหรณ์ของผู้หญิง... สังหรณ์ที่ชวนให้ใจหวั่นบอกไม่ถูก มันอาจไม่เกี่ยวกับรามก็ได้


...คืนนี้นอนไม่หลับ...คิดถึงจังเลย เมื่อไหร่จะมาหา...

ข้อความสั้นจากโทรศัพท์มือถือทำให้พิทักษ์ใจสั่น เหลือบมองภรรยาที่นอนหลับด้วยแววตาเฉยชาปนรังเกียจ ภาพสามีที่เอาใจใส่ภรรยาเปลี่ยนไป...ผู้หญิงวัยกลางสี่สิบที่นอนข้างกายนี้เป็นใครก็ไม่รู้ที่เขาไม่นึกพิศวาสสักนิด

สีดาอาจเคยสวยมาก่อน...นั่นมันนานเหลือเกิน เขาใช้เวลาหลายปีกว่าจะชนะใจหล่อน และใช้เวลามากกว่านั้นกว่าจะมีการแต่งงาน จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย

เวลาที่เนิ่นนานขนาดนั้นทำให้ความนึกรัก ชอบพอที่เคยมีจืดจาง หลงเหลือแค่อยากเอาชนะกับหวังในสิ่งที่จะตามมาเมื่อได้เป็นเขยตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล

เขาทำสำเร็จก็จริง แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมายสมบูรณ์ คุณนายพวงทองและแก๊งพี่น้องของสีดากีดกันเขาจากสมบัติผลประโยชน์แทบทุกกระเบียด

พอคุณนายพวงทองตาย คิดว่าจะสมหวัง ก็ยังติดคาเรื่องพินัยกรรม บริษัทกงสี เงื่อนไขจุกจิก

พิทักษ์คงบ้าตายไปแล้ว ถ้าไม่มีเนื้อนวล...หญิงสาวเจ้าของข้อความทางโทรศัพท์มือถือนั้น

เนื้อนวลชดเชยทุกสิ่งที่เขาอยากได้จากผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งมันหมดจากตัวภรรยาเขาหลายปีแล้ว

พิทักษ์หลงรักเธอ...หลงความสาว ความสวย ช่างฉอเลาะ ออดอ้อนเอาใจ จนถึงขั้นสัญญาจะเลิกกับสีดาทันทีที่เขาทำงานสำเร็จ ได้เงินมากพอใช้จ่ายไปชั่วชีวิต

แผนถ่ายโอนสมบัติมรดกส่วนของสีดาวางไว้แยบยล ถูกกฎหมาย รอแค่ผู้จัดการมรดกแบ่งโอนทรัพย์สินเรียบร้อยสมบูรณ์เท่านั้น

พิทักษ์ยิ้มอย่างสมใจเมื่อนึกถึงภาพอนาคตข้างหน้า มันเป็นผลตอบแทนที่เขาจะได้รับ หลังจากต้องทนอยู่กับผู้หญิงที่ตนหมดใจมานาน


ดึกสงัด บ้านหลังใหญ่เงียบกริบราวกับป่าช้า รุ่งรตีเดินฝ่าความมืดสลัวห้องรับแขกเตรียมขึ้นบันไดไปยังห้องตนเอง

...แชะ...ไฟโคมบนโต๊ะสว่างขึ้นจับร่างชายกลางคนที่นั่งกึ่งนอนเอนตัวบนโซฟายาว

พ่อ หญิงสาวอุทาน

ลักษณ์ดูแก่กว่าที่เคยเป็น ผมหงอกขาวแซมให้เห็นตรงจอน หน้าผากย่นเป็นรอยลึก ดวงตาอ่อนโรยเหน็ดเหนื่อย

ทำไมเพิ่งกลับมาตอนนี้ เขาถามเสียงเนือยกึ่งดุ

ไม่กลับมาตอนนี้หรือจะให้กลับตอนเช้าล่ะพ่อ หญิงสาวเถียงไม่เกรง

ไปเที่ยวที่ไหนมา คำถามคาดคั้น

หลายที่ จำไม่ได้ ตอบห้วนสั้น

รู้จักอยู่บ้านเป็นบ้างมั้ย

พ่อจะให้รุ้งอยู่ทำอะไร เซ็งจะตาย

ถ้าเบื่อทำไมไม่หางานหาการทำ หรือจะเรียนต่อก็ได้ ลักษณ์อ่อนใจ

ขี้เกียจ หล่อนลอยหน้าตอบ พ่อมีเงินเยอะแยะ รุ้งจะเรียนจะทำงานให้เหนื่อยทำไม

พ่อเลี้ยงแกจนตายไม่ได้หรอกนะ

ไม่เห็นเป็นไรนี่ สมบัติคุณย่าออกมหาศาล พอกินไปทั้งชาติอยู่แล้ว

ลักษณ์ถอนใจเหน็ดเหนื่อย ลูกสาวคนเดียววกมาเอ่ยถึงเรื่องที่กำลังหนักใจ...คิดมากจนนอนไม่หลับ

เมื่อเห็นพ่อระอา คร้านต่อปากต่อคำ รุ่งรตีรีบเดินขึ้นบันไดหลบหนี จิตใจห่อเหี่ยว แต่ละขั้นบันไดสร้างความล้าใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

...หล่อนไม่น่าเถียงพ่อ ทั้งที่ตัวเองทำผิด...

ความรู้สึกผิดนี้ไม่เคยเกิดกับรุ่งรตีมาก่อน จนกระทั่งได้สัมผัสความอบอุ่นในครอบครัวเชน คุณลุงคุณป้าเป็นผู้ใหญ่น่าเคารพ กิริยาการแสดงออกที่เชนมีต่อบุพการีมันช่างตรงข้ามกับหล่อนสุดขั้ว ความตรงข้ามเช่นนี้ทำให้รุ่งรตีนึกเปรียบเทียบจนเกิดความละอายใจวูบขึ้นมาเป็นครั้งแรก

ลักษณ์มองตามหลังบุตรสาวด้วยความอ่อนใจ...ไหนจะเรื่องงาน เรื่องความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง เรื่องบริษัท สมบัติที่ยังไม่เรียบร้อย นี่ยังมาเรื่องลูกสาวอีก ทำให้ปวดหัวแทบคลั่ง อยากระบายโทสะด้วยการฆ่าคน ฆ่าพี่น้องให้สิ้นซาก เหลือตัวคนเดียวจะได้ไม่มีปัญหากับใคร เสวยสุขบนกองเงินอย่างปรีดิ์เปรม

คิดแล้วอดหัวเราะหึหึในลำคอไม่ได้...เงยหน้ามองรูปคุณนายพวงทองบนผนัง...แม่มักพูดเสมอ...พี่น้องต้องรวมใจ...ต้องรักกัน...สามัคคี อย่าแตกแยก มีอะไรต้องแบ่งปัน อย่าให้ใครว่าได้...

แม่พูดเหมือนมองเห็นปัญหาในอนาคต...วัยมากขึ้น ทรัพย์สมบัติยิ่งเพิ่มพูน ความสัมพันธ์ยิ่งห่างเหิน หากพูดตามตรงไม่เข้าข้างใคร ที่ตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลขยายอาณาเขตกว้างขวางอย่างนี้ได้ก็ด้วยสมองสองมือเขาเกือบครึ่ง

ช่วงการขยายอาณาจักร รามแค่พวกใช้แรง ออกหน้า ไม่มีมันสมองคิดสร้างสรรค์ วางแผน สีดาดูแลตลาดกับร้านอาหารให้ดำเนินราบรื่นไม่ติดขัดเท่านั้น สมุทรกับสุขศจียังเรียน แถมหวังยืดเวลาการศึกษาให้นานสุด เพื่อจะได้ไม่ต้องทำงานแต่สามารถใช้เงินมือเติบสุขสบาย...ไม่แปลกที่ทั้งคู่ใช้เวลาเรียนปริญญาโทต่างประเทศนานกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว อีกทั้งทำท่าไม่ยอมกลับเมืองไทยง่ายๆ ถ้าแม่ไม่ขู่จะตัดการส่งเงิน

ส่วนเขา...ทุ่มเททั้งชีวิต เวลา มันสมอง เพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง สยายปีกธุรกิจกว้างขวาง ผลิตเม็ดเงินจำนวนมากให้ทุกคน จนเสียครอบครัวตัวเองไป

เมียขอเลิกเพราะทนอยู่กับสามีบ้างานไม่ไหว ลูกสาวคนเดียวไม่เคยพูดจาดีๆ อ่อนหวาน สร้างสัมพันธ์อบอุ่นระหว่างพ่อลูก หนำซ้ำยังสร้างปัญหาปวดหัวไม่รู้จบ

ลักษณ์จึงคิดว่าเขามีสิทธิเต็มที่ในกองมรดกนี้...น่าเสียดาย...ที่เขาไม่ใช่พี่ชายคนโต


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP