จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

เมื่อโลกใบเล็กลง


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it


073_destination


ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งซึ่งชื่นชอบและติดตามฟุตบอลอังกฤษ
เขาได้คุยเรื่องของ
Luis Suarez และ Patrice Evra ให้ผมฟัง
ผมเชื่อว่าหลายท่านที่ไม่ได้ติดตามฟุตบอลอังกฤษ ก็คงจะไม่ทราบเรื่องนี้
ผมเองก็ไม่ได้ติดตาม และก็ไม่ทราบเหมือนกัน โดยมาทราบจากเพื่อนเล่าให้ฟังนี่แหละ
ก็ขอเล่าเรื่องให้ฟังสั้น ๆ นะครับว่า
Suarez เป็นนักฟุตบอลทีมสโมสร Liverpool
ส่วน Evra เป็นนักฟุตบอลทีมสโมสร Manchester United

ภายหลังการแข่งขันนัดหนึ่งระหว่างทั้งสองทีมดังกล่าวในช่วงปลายปี ๒๕๕๔
Suarez ได้ถูก Evra กล่าวหาว่า Suarez ได้กล่าวถ้อยคำเหยียดสีผิวต่อ Evra ในระหว่างแข่งขัน
ซึ่งการเหยียดสีผิวในอังกฤษนั้นถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง และผิดระเบียบของสมาคมฟุตบอลอังกฤษด้วย
(ในเมืองไทยเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องสีผิวเหมือนในต่างประเทศนะครับ
แต่ว่าคนไทยบางคนกลับสร้างปัญหาเรื่องสีกันขึ้นมาเอง แบ่งสีกันเอง แล้วก็ทะเลาะกันเอง)
ทางสโมสร
Liverpool ได้ออกแถลงการณ์ว่า เห็นว่า Suarez เป็นผู้บริสุทธิ์
และขอให้การสนับสนุนแก่
Suarez ในการต่อสู้กับข้อกล่าวหาดังกล่าว
ซึ่งหลังจากที่ทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษได้ทำการไต่สวนอยู่ ๗ วัน ก็ได้มีคำชี้ขาดออกมาว่า
Suarez ได้ประพฤติผิดระเบียบของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ จึงสั่งห้ามลงเล่นฟุตบอล ๘ นัด
พร้อมกับให้ปรับเป็นจำนวนเงิน ๔๐,๐๐๐ ปอนด์สเตอริง
(หากคำนวณเป็นเงินไทยด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ประมาณ ปอนด์สเตอริงละ
๔๘ บาท
ก็จะเท่ากับเงินไทยประมาณ ๑,๙๒๐,๐๐๐ บาทหรือเกือบ
๒ ล้านบาท)

หากสมมุติว่าเราโดนปรับเป็นเงินเกือบ ๒ ล้านบาทเช่นนี้ เราจะรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ
จะมีอาการวิงเวียนอยากเป็นลม หรือจะกลุ้มใจนอนไม่หลับบ้างไหม
หรือบางท่านอาจจะบอกว่าจะโดนปรับ ๒ ล้านบาทหรือเป็นพันล้านบาท ก็ไม่ต่างกันหรอก
คือไม่มีจ่ายเหมือนกัน ดังนั้น จึงไม่กลุ้มใจในเรื่องดังกล่าวเลย
หากโดนปรับในจำนวนเงินที่พอจะจ่ายไหวสิ นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่ากลุ้มใจ
สำหรับ Suarez แล้ว เงินแค่ ๔๐,๐๐๐ ปอนด์สเตอริงนี้ ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงครับ
ที่หนักกว่าก็คือ โดนห้ามลงเล่นฟุตบอล ๘ นัด
โดยค่าตัวลงเล่น ๘ นัดนี้น่าจะเยอะกว่าค่าปรับเสียอีก แถมเสียชื่อเสียงอีกด้วยที่ถูกตัดสินเช่นนี้
แต่หากจะคุยกันในเชิงธรรมะแล้ว จะเห็นได้นะครับว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นผลของกรรมที่ได้ทำไว้ ก็คือได้พูดไว้จริง จึงต้องรับกรรมตามนั้น
หากมีศีลในเรื่องของการกล่าววาจาแล้ว ก็จะไม่ต้องเสียทรัพย์และเสียชื่อเสียงเช่นนี้
และหากแม้ในกรณีที่เราจำเป็นต้องสูญเสียทรัพย์ใด ๆ ไปก็ตาม
ทรัพย์นั้นก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราเพียงยืมโลกมาใช้ชั่วคราว
ฉะนั้น หากโลกเขาทวงทรัพย์นั้นคืนกลับไป เราก็ควรเต็มใจคืนให้ไป โดยก็ทำงานหาใหม่ได้
การจะมัวนั่งทุกข์ใจ ร้องไห้ฟูมฟายเสียใจนั้น ไม่ได้แก้ไขปัญหา และไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

เรื่องของ Suarez และ Evra ยังไม่จบแค่นี้ครับ
เรื่องราวยังมีต่อว่า หลังจาก Suarez พ้นจากโทษห้ามลงเล่นฟุตบอล ๘ นัดแล้ว
ต่อมา ทีมสโมสร Liverpool และทีมสโมสร Manchester United ได้มาพบกันอีกนัดหนึ่ง
โดยแข่งที่สนาม Old Trafford ในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
ก่อนที่จะเริ่มการแข่งขัน นักฟุตบอลทั้งสองทีมได้เดินผ่าน และจับมือ (shake hand) กัน
(ซึ่งเป็นธรรมเนียมว่านักฟุตบอลทั้งสองทีมจะเดินผ่านและจับมือกันก่อนแข่งขัน)
โดยในระหว่างที่ Suarez เดินผ่านกับ Evra นั้น Suarez กลับไม่ยอมจับมือ Evra
หลังจากนั้น Evra ก็แสดงอาการฟ้องทุกคนว่าทาง Suarez ไม่ยอมจับมือกับตน
ปรากฏว่าเรื่องไม่ยอมจับมือนี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาครับ

ทั้งฝ่ายที่สนับสนุน Suarez และฝ่ายที่ไม่พอใจ Suarez ต่างก็ถกเถียงกัน
โดยกระจายถกเถียงไปตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งในเฟสบุ๊คด้วย
ซึ่งเหตุผลที่เถียงกันก็มีเยอะแยะนะครับ เช่น
ฝ่ายที่ไม่พอใจ Suarez ก็อ้างว่า ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ทำผิดแล้วไม่รับผิด
ทำให้เสียชื่อวงการฟุตบอล เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่คนอื่น ๆ และเด็ก ๆ เป็นต้น
ฝ่ายที่สนับสนุน Suarez ก็อ้างว่า Suarez บอกว่าตนเองไม่มีเจตนาเหยียดผิว
แต่ Suarez ก็โดนลงโทษไปและยอมรับโทษแล้ว โดยไม่ได้ยื่นอุทธรณ์อะไรอีก
ส่วนเรื่องว่า Suarez จะจับมือกับ Evra หรือไม่ พึงเป็นสิทธิส่วนตัวของเขา
คนอื่น ๆ จะมาบังคับให้คนหนึ่งต้องไปจับมือกับคนที่เขาไม่ชอบได้อย่างไร
เพื่อนร่วมงานผมท่านนี้ก็ตามไปถกเถียงในเว็บไซต์ต่างประเทศด้วย
เขียนความเห็นโต้เถียงกันจนกระทั่งความเห็นได้ไปลงในเว็บไซต์ข่าวของ CNN โน่นเลย
(เพื่อนท่านนี้เล่าว่า ในเว็บไซต์ข่าวของ CNN จะมีการคัดเลือกความเห็นก่อนที่จะให้ลงได้
ซึ่งจะแตกต่างกับเว็บไซต์ข่าวบางเว็บไซต์ในบ้านเราที่ให้ลงความเห็นไปก่อน
แล้วค่อยไปลบออกทีหลัง หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความเห็นที่ไม่เหมาะสม)

หลังจากที่ฟังเพื่อนเล่าเรื่องนี้ ผมก็ได้ถามคำถามว่า
สรุปแล้วคนดูไม่สนใจผลการแข่งขันฟุตบอลระหว่างสองทีมในวันนั้นแล้วใช่ไหม
ส่วนใหญ่ก็มัวแต่สนใจว่า
Suarez ควรจะจับมือกับ Evra หรือไม่
เพื่อนผมตอบว่า ใช่แล้ว ไม่มีใครสนใจแล้ว
เล่าต่อไปว่า ผลการแข่งขันวันนั้นปรากฏว่าทีมแมนยูชนะด้วยคะแนน ๒
แต่ผลการแข่งขันนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ และไม่มีใครสนใจแล้ว
ทั้งสื่อมวลชน และแฟนบอลต่างก็มาสนใจเรื่องว่า Suarez ไม่จับมือกับ Evra นี่แหละ

ผมก็แสดงความเห็นต่อไปว่า พูดจริง ๆ นะ ผมเห็นว่าบรรดาพวกที่ติดตามเรื่องนี้นะ
ว่างมากเลยหรือ ไม่รู้ว่าจะนำเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นหรืออย่างไร
จึงมามัวสนใจว่า นักฟุตบอลคนหนึ่งควรจะจับมือกับนักฟุตบอลอีกคนหนึ่งหรือเปล่า”
เพื่อนผมตอบว่า “เรื่องนี้สำคัญนะ เพราะนี่อาจจะเป็นแผนการที่แมนยูสร้างขึ้นเพื่อจะกดดัน
ให้ไล่ Suarez ออกจากทีมสโมสร Liverpool ได้เลยนะคุณ คุณรู้ไหมว่า Suarez นี่เล่นดีขนาดไหน?
ผมตอบไปว่า “ผมไม่รู้นะ แต่ผมเห็นว่าการติดตามเรื่องนี้ ก็ไม่ต่างจากที่บ้านเราติดตามข่าวว่า
ดารานักร้องคนหนึ่งเป็นพ่อของลูกของนักแสดงสาวคนหนึ่งไหม บางคนติดตามกันไปเป็นสัปดาห์ ๆ
ปล่อยอารมณ์ไหลตามข่าว ตามเสียงวิจารณ์ไปเรื่อย ๆ
พอท้ายสุดแล้ว พวกเขาก็ดีกันได้เอง แล้วก็ไม่มีข้อสรุปอะไร ไม่มีความจริงเปิดเผยให้ทราบ
ส่วนพวกที่ติดตามข่าวนั้น ก็เสียเวลาชีวิตไปตามเรื่องเหล่านั้นโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ตนเอง”

ผมคุยกับเพื่อนมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง
แต่ผมก็จะขอยกเรื่องนี้มาคุยต่อในบทความนี้ครับ
โดยทุกท่านอาจจะเคยรู้สึกนะครับว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้โลกใบนี้ดูเล็กลง
แม้ว่าเราจะอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง เราสามารถเห็นเหตุการณ์ในอีกซีกโลกหนึ่งในเวลาปัจจุบันได้
สามารถติดตามข่าวสารในเรื่องราวนั้นในเวลาปัจจุบันนั้น
แถมยังสามารถไปสนทนาหรือโต้เถียงกับคนอื่น ๆ ในอีกซีกโลกหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ในอดีตนั้น ปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลนั้น มักจะเป็นว่าเราหาข้อมูลได้ยาก ไม่มีข้อมูล
แต่ในปัจจุบันนั้น ปัญหาเรื่องข้อมูลกลับกลายเป็นว่า เรามีข้อมูลมากเกินไป
และทำให้ไม่สามารถหาข้อมูลที่ตรงตามความต้องการได้สะดวก

บรรดาข่าวสารหรือข้อมูลที่โหมกระหน่ำเข้ามาหาเราในแต่ละวันนั้น
ในหลาย ๆ ครั้งก็สามารถลากให้เราไหลไปตามกระแสข่าวสารได้เหมือนกัน
บางทีก็ลากเราไปทีก็หลายชั่วโมง หลายวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน เป็นปีก็มี
บางทีเราไม่ได้ติดตามข่าวใดข่าวหนึ่งโดยเฉพาะ
แต่ว่าได้ติดตามข่าวย่อย ๆ จำนวนมากในแต่วัน ซึ่งเมื่อรวม ๆ แล้วก็ใช้เวลาเยอะเช่นกัน
ในสิ่งเหล่านี้ เราก็พึงจะต้องถามตัวเราเองว่า สิ่งเหล่านี้สำคัญกับชีวิตเราไหม
เป็นการใช้เวลาชีวิตของเราอย่างเป็นประโยชน์และคุ้มค่าหรือเปล่า

ยกตัวอย่างกรณีของเพื่อนที่ทำงานของผมท่านนี้ เขาบอกว่า “เรื่องนี้สำคัญนะ”
แต่พวกเราจบบทสนทนาก่อนที่จะมาพิจารณาลงในรายละเอียดว่า “สำคัญกับอะไร?
สำคัญกับชีวิตเรา? สำคัญกับครอบครัวเรา? สำคัญกับหน้าที่การงานของเรา?
สำคัญกับอนาคตของเรา? หรือสำคัญกับทีมสโมสร Liverpool? หรือสำคัญกับสื่อมวลชน?
หรืออย่างกรณีข่าวดารานักร้องเป็นพ่อเด็กของดารานักแสดงท่านหนึ่งหรือไม่
และข่าวอื่น ๆ อีกมากมายที่เราใช้เวลาไปติดตามในแต่ละวัน
มันสำคัญกับเราหรือเปล่า สำคัญกับอนาคตเราไหม สำคัญกับครอบครัวเราไหม
สำคัญกับหน้าที่การงานเราหรือเปล่า แล้วเราใช้เวลาเท่าไรในการไปติดตามข่าวเหล่านั้น

มองย้อนกลับมาที่เวลาชีวิตเราสิว่า เวลาที่ผ่านไป ๆ ในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีนั้น
มันผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงไร ลองพิจารณาอายุของเราเองก็ได้ว่าอายุกี่ปีแล้ว
แล้วเวลาที่ได้ผ่านไปแล้วนั้น มันผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงไร
หากท่านเห็นว่าเวลาที่ผ่านมานั้น ผ่านไปอย่างรวดเร็วนะครับ
เวลาที่เหลือก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ฉะนั้นแล้ว เราพึงพิจารณาว่าควรจัดสรรเวลาชีวิตอย่างไร จึงจะเป็นประโยชน์ที่สุด
เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ที่สุด (สำหรับเวลาในสังสารวัฏนี้)
ไม่ควรปล่อยให้กระแสเทคโนโลยีหลอกลากเราไปเรื่อย ๆ
สิ่งที่เกิดอีกมุมโลกหนึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตเราเลย
แต่เรากลับเสียเวลาไปติดตามเรื่องราวเหล่านั้นเสียมากมาย
ลองพิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์และคุ้มค่าแก่การใช้เวลาชีวิตของเราหรือไม่

ผมไม่ได้บอกว่าให้ปิดตัวเอง ไม่ต้องรับข่าวสารใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ
แต่ผมกำลังจะบอกว่าเราควรจะคัดกรองข่าวสารและเรื่องราวที่จะติดตามด้วย
เพราะว่าเราทุกคนมีทรัพยากรที่สำคัญอันจำกัด ซึ่งก็คือ “เวลาในชีวิต” นี้
การที่จะใช้เวลาชีวิตของเราไปเพื่อติดตามเรื่องใด ๆ จึงควรพิจารณาให้ดีเสียก่อน
ว่าเป็นประโยชน์ไหม เกี่ยวข้องกับเราไหม คุ้มค่าแก่เวลาของเราที่จะใช้เพื่อสิ่งนั้นไหม
หากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ ไม่เกี่ยวกับเรา หรือไม่คุ้มค่าแล้ว
ก็ไม่ควรจะต้องไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านั้น หรือเรื่องราวเหล่านั้นครับ
สู้เอาเวลาไปใช้เพื่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ เกี่ยวข้องกับเรา และคุ้มค่าแก่เวลาชีวิตจะดีกว่า



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP