วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๕


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


มองจากหน้าต่างชั้นบนสุดโรงแรมทรัพย์ยั่งยืนแกรนด์รอยัล สามารถเห็นครอบคลุมตัวเมืองเกือบทั้งหมด ทั้งแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลพาดผ่านเสมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงผู้คนได้อาศัยทำมาหากินตั้งแต่การประมงยันการท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวของจังหวัดนี้คึกคัก มีสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดังติดอันดับประเทศหลายแห่ง กระจายตามจุดต่างๆ แต่ละอำเภอ มีอำเภอเมืองตัวจังหวัดเป็นจุดศูนย์กลาง

กิจการโรงแรมทรัพย์ยั่งยืนฯ ดำเนินมาด้วยดีตลอด มีกรุ๊ปทัวร์ลงประจำ อีกทั้งจัดประชุมสัมมนาไม่ขาด ทำรายได้เข้าบริษัทกงสีคุณนายพวงทองสม่ำเสมอ ไม่ต่างจากห้างสรรพสินค้า ตลาดและบริษัทเดินรถ

ลักษณ์ยืนมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง จิตใจครุ่นคิดฟุ้งซ่านเรื่องต่างๆ จนได้ยินเสียงประตูเปิดโดยไม่มีการเคาะเรียกล่วงหน้า

มีอะไรเหรอเฮีย ลักษณ์หันมาถาม...มีคนเดียวที่มักทำอย่างนี้ได้

เย็นนี้ว่างมั้ยรามย้อนถามเข้าประเด็น ตามนิสัยคนใจร้อน

มีเรื่องอะไรล่ะ ผู้ดูแลกิจการโรงแรมขมวดคิ้ว

อยากคุยเรื่องบริษัทกงสีของเราหน่อย

รามมักเรียกบริษัทที่จัดเก็บรายได้กิจการหลักของตระกูลว่า บริษัทกงสีเสมอ

มีอะไรอีก ทนายเขาก็จัดการเรียบร้อยดีแล้วนี่ ลักษณ์สงสัย

ก็... เสียงขาดห้วงนิดๆ ถึงรามเป็นพี่ชายคนโต แต่ก็เกรงใจน้องชายอยู่บ้าง อยากคุยกันเรื่องปลีกย่อยนิดหน่อย...อย่าง...ถ้ามีใครต้องการเบิกเงินเกินโควตาบ้าง...จะมีวิธียังไง

ทำไมต้องเบิกเงินเกิน

ลักษณ์ถามเสียงแข็ง

เงินรายเดือนจากบริษัทกงสีนี้ พี่น้องทุกคนได้รับทุกเดือน เดือนละเป็นตัวเลขเจ็ดหลัก ไม่น่ามีความจำเป็นต้องเบิกเงินมาใช้เกินจำเป็น

เฮ่ย คนเราก็มีเรื่องต้องใช้เงินพิเศษกันบ้างสิวะ

เรื่องพิเศษนี่ เกี่ยวกับการพนันหรือเปล่า ลักษณ์ดักคอ

ไม่ใช่...เอาน่า เย็นนี้ค่อยคุยกันที่ร้านของสีดา รามรีบตัดบท

น้องชายเหนื่อยใจ นึกไม่ออกพี่ชายมีความจำเป็นต้องใช้เงินอะไรมากมาย

ใจจริงแล้วเขาไม่อยากให้แม่ทำบริษัทกงสีแต่แรก กลัวมีปัญหาตามมาทีหลัง สู้แบ่งสันปันส่วนกิจการแต่ละอย่างให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ใครบริหารดี มันก็เห็นผลเจริญรุ่งเรืองเป็นความสามารถของคนนั้น...ถ้าใครล้มเหลว ก็โทษคนอื่นไม่ได้ อีกทั้งยังไม่อาจดึงกิจการอื่นให้จมน้ำตามด้วย

ถึงตอนนี้จะทำอะไรคงยากแล้ว ปัญหาเกิดเร็วกว่าที่คิด...ถ้าเป็นความต้องการของพี่ชายคนเดียวก็ยังพอคัดค้านได้ แต่หากน้องคนอื่นมีจุดประสงค์เดียวกัน เขาคงพูดไม่ออก นอกจากเห็นลางวิบัติรำไร


รุ่งรตีเพิ่งเสร็จจากการช้อปปิ้งแก้เซ็ง การถูกบังคับให้มาอยู่ในจังหวัดที่มีแสงสีน้อยกว่ากรุงเทพฯ ห่างไกลกลุ่มเพื่อนฝูงร่วมก๊วนปาร์ตี้ ทำให้อึดอัดแทบบ้า

บ้านหลังใหญ่โตติดริมแม่น้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ขนาดแกล้งนอนตื่นสายยันเที่ยง ยังรู้สึกเวลาช่างยาวนาน สุดท้ายออกมาเดินเที่ยวช้อปปิ้งห้างสรรพสินค้า รูดบัตรเป็นว่าเล่น ตัวเลขนับว่าโขอยู่แต่พ่อคงไม่จนลงหรอก ห้างฯ นี้เป็นสมบัติตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลอยู่แล้ว

ยัดข้าวของพะรุงพะรังใส่ท้ายรถ ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี ชีวิตไร้สาระเสียจนนึกรำคาญตนเองบางครั้ง

หญิงสาวจอดรถบนดาดฟ้าอาคารจอดรถ มองเห็นฟ้าใส อากาศสดชื่น ชั่วขณะเบื่อสุดๆ นึกลองสูดลมหายใจยาวลึก แล้วปล่อยออกมาจนหมด รู้สึกตัวเบาโล่ง มองเห็นรอบกายสวยงามกว่าเดิม

บนดาดฟ้าสามารถมองได้รอบเมือง ทิวทัศน์ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทางในตัวเมือง ตัดกับฉากหลังเป็นทิวเขา แม่น้ำ ธรรมชาติมองงามแปลกตา

รุ่งรตีเพิ่งยิ้มออก ยืนเกาะขอบดาดฟ้า มองสุดสายตา แลย้อนกลับมาแล้วนึกขันเมื่อเห็นบ้านหลังใหญ่ ติดริมแม่น้ำไม่ไกลจากโรงแรมทรัพย์ยั่งยืนแกรนด์รอยัลนัก...ดูไปดูมาไม่พ้นสมบัติบ้านเธอ จะว่าไป...เรียกที่นี่ว่าจังหวัดทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลคงไม่ผิดนัก

หญิงสาวเลื่อนสายตามาอีกนิด ด้านหลังโรงแรมมีสวนต้นไม้ร่มรื่น ตัวอาคารสร้างแบบเก๋งจีนคุ้นตา จำได้สมัยเด็กเคยตามคุณย่าพวงทองกับคุณจิตใสผู้ใจดีไปเที่ยวโรงเจ นึกรายละเอียดอื่นไม่ออก วันนั้นมีความสุขสนุกสนานตามประสาวัยเยาว์

นึกแล้วน่าลองแวะไปดูสักหน่อย โรงเจตอนนี้เป็นอย่างไร บางทีการได้รำลึกความหลังที่งดงาม คงพอช่วยให้ชีวิตมีเรื่องดีๆ บ้าง


ทางเข้าโรงเจค่อนข้างแคบ ไม่รู้มีที่กลับรถตรงไหน รุ่งรตีเลยจอดหน้าโรงแรม แล้วเดินลัดเลาะเข้าไป แปลกใจที่คุณย่ามาสร้างโรงเจในหลืบนี้ แทนที่จะสร้างด้านนอกให้กว้างขวาง เข้าออกสะดวกสบาย

เมื่อเดินมาถึงก็ออกจะผิดหวังที่พบกับความเงียบเหงา วังเวง ไม่มีผู้คนขวักไขว่เหมือนตอนตามคุณย่ากับป้าจิตใสมาสมัยเด็ก ตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลกินเจ มีอาหารแปลกๆ ขนมน่าอร่อยแจกกันกินสนุกสนาน

เกือบหันหลังกลับ แต่เปลี่ยนใจ มาถึงนี่ทั้งทีน่าแวะเข้าไปดูสักหน่อย มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกบ้าง

สาวเท้ายังด้านใน เห็นต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มกว่าเดิม บรรยากาศสงบเป็นธรรมชาติ พอเหลือบมองดูตัวเองแล้วอดนึกขันไม่ได้...วันนี้หล่อนจงใจแต่งตัว หลุดโลก กว่าเคย ตั้งแต่แต่งหน้าเข้มจัด ตีผมพองฟู ต่างหูรยางค์ห้อย ใส่เสื้อยีนฟิตสไตล์แฟชั่น กระโปรงยาวรุ่งริ่งแบบสาวยิปซี รองเท้าส้นตึกสามสี่นิ้ว การแต่งตัวแบบนี้ช่างขัดกับบรรยากาศเงียบสงบของโรงเจสุดกู่

โชคดีไม่มีคน หญิงสาวจึงเดินดูราวกับเป็นบ้านตัวเอง ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นรวมกับความเงียบสงัดปราศจากผู้คนก่อให้เกิดบรรยากาศบางอย่าง

แรกๆ รุ่งรตีไม่รู้สึก จนมานั่งพักขาตรงเก้าอี้ใต้ต้นไม้ค่อยสัมผัสความแปลกเปลี่ยน รอบกายคล้ายมีสายตาจับจ้องเป็นสายตาซุ่มซ่อนตามหลืบมุมต้นไม้ หลังบานประตู หน้าต่างโรงเจ สายตาเหล่านั้นทำให้รู้สึกตะครั่นตะครอ เย็นวูบสลับร้อนวาบบอกไม่ถูก

หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืน เหลียวมองซ้ายขวา ต่างหูกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง...ที่นี่ไม่มีใคร แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากหล่อน

เงียบ...มันเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจตน...เงียบผิดปกติทั้งที่อยู่กลางเมือง หลังโรงแรมระดับห้าดาว

อากาศอึมครึมราวกับมีม่านบางคลี่คลุม หางตารุ่งรตีรับภาพเงาแวบเคลื่อนผ่านด้านข้าง พอเหลียวขวับมองตามก็หายไป นิ่งอีกสักพัก เงาแวบนั้นก็เคลื่อนผ่านมาให้เห็นทางหางตาอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวหันตามทั้งตัว

ว่างเปล่า...ไม่มีใคร หรืออะไรปรากฏให้เห็น เกือบจะเชื่อว่าตนเองตาฝาด จนกระทั่งเงาแวบนั้นผ่านวูบให้เห็นอีกรอบ...ครั้งนี้ชัดเจนกว่าทุกที

รุ่งรตียืนยันกับตนเองได้...มันเป็นเงาร่างหญิงชราบนรถเข็น...

ขนลุกซู่ ความกลัวแผ่ซ่านจับจิตใจ ก้าวถอยหลังสองสามก้าวก่อนหันกลับ เร่งฝีเท้าออกจากแดนสนธยาทันที

กำลังจะถึงประตูทางออก หญิงสาวก็เห็นเงาร่างสูงๆ เดินสวนเข้ามา

ว้าย... อุทานด้วยความตกใจ

ร่างสูงนั้นหยุดชะงักนิดนึง ก่อนจะมีเสียงนุ่มๆ ดังขึ้น

ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ

ขนาดรุ่งรตีใส่ส้นตึกยังต้องเงยหน้ามองเขา พบดวงหน้าคุ้น คมสัน ผิวสีแทน นัยน์ตากลมโต ผมตัดสั้นดูสะอาดตา

พี่เชน หญิงสาวพึมพำ

เชนมองดวงหน้าที่ตกแต่งเครื่องสำอางสีจัด ทรงผมเหมือนรังนก ต่างหูระย้าย้อยด้วยนัยน์ตาสงสัยชั่วแวบก่อนได้คำตอบ จึงผลิรอยยิ้มสว่างแทนคำทักทาย

รุ้งน่ะเอง พี่นึกว่าใคร

เขากับรุ่งรตีคุ้นเคยกันสมัยเด็ก พอเจ้าหล่อนเข้าโรงเรียนประจำก็ห่างกัน ยิ่งไปเรียนต่างประเทศก็ทำให้สายสัมพันธ์ขาดหาย พบหน้าอีกครั้งก็เป็นช่วงงานศพคุณนายพวงทอง

มาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาถามกึ่งชวนคุย

ก็...มาได้วันสองวันแล้ว...พี่เชนมาทำอะไรที่นี่

รุ่งรตีตอบพลางย้อนถาม อารมณ์หวั่นเมื่อครู่ยังไม่จางดี

เอ่อ... ชายหนุ่มนิ่งไปครู่...แววตาลังเล พี่จะเข้ามาไหว้พระน่ะ เข้าไปด้วยกันมั้ย

ด้านในศาลาเก๋งจีนมีพระพุทธรูปหน้าตักขนาดย่อมเป็นองค์ประธาน มีเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือเรียงรายลดหลั่นกันเป็นอันดับ

ไม่ดีกว่า รุ่งรตีรีบตอบพลางห่อตัว

เชนสงสัยหญิงสาว ความช่างสังเกตจึงมองออกว่าหล่อนกำลังกลัว เหมือนเพิ่งพบเห็นอะไรบางอย่างเกินคาดหมาย

งั้นพี่จะเดินไปส่งที่รถ รู้ว่าหล่อนกลัว จึงเกิดน้ำใจอารีอยากช่วยเหลือ

รุ่งรตีชะงัก มองญาติหนุ่มด้วยความแปลกใจ ปกติผู้หญิงสวยฉูดฉาดเช่นหล่อนมักมีผู้ชายมาติดพัน หาโอกาสใกล้ชิดเสมอจนระอา ดูถูกบ่อยๆ แต่กิริยาที่เชนแสดงออกนี้ เป็นความจริงใจ อยากช่วยเหลือ โดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง จึงนึกสนใจ ประกอบกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์เสียวสันหลังมาจริง เลยพอใจที่มีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน

แล้วพี่เชนไม่ข้าไปไหว้พระก่อนเหรอ

ไม่เป็นไร...พี่ไม่รีบร้อน เขายิ้มอ่อนโยน

รุ่งรตีเดินคู่กับเขาออกจากโรงเจได้สองสามก้าวก็นึกเปลี่ยนใจ

รุ้งอยากเข้าไปไหว้พระกับพี่เชนแล้วละ

เชนรู้สึก หญิงสาวตรงหน้ามีอารมณ์แปรปรวน เปลี่ยนไปมาง่ายดายเหลือเกิน

จ้ะ เขาตอบรับโดยไม่ขัดข้อง

ทั้งคู่หันหลังกลับโรงเจอีกครั้ง ความหวั่นใจของรุ่งรตียังตกค้าง แต่ชั่วแวบที่เดินออกมาภายนอกก็เกิดอีกความรู้สึกหนึ่ง...นั่นคืออยากเอาชนะความกลัวของตัวเอง...


หญิงสาวเป็นคนหุนหัน อารมณ์แปรปรวน ตามใจตัวเองอยู่แล้ว จึงออกปากอยากกลับเข้าไปอีกสักครั้ง...ดูสิว่าสิ่งที่เห็นวูบผ่านจะปรากฏอีกหรือไม่...จะได้ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง ไม่ยอมให้ความกลัวติดค้างใจอีก

ด้านหน้าศาลาโรงเจมีกระถางธูปใบใหญ่ สะอาดเอี่ยม ไม่มีร่องรอยคนมาปักธูป กราบไหว้บูชา ประตูศาลาไม่ได้ล็อก ผลักเปิดง่ายดาย แสงสว่างจากช่องลมด้านบนมีมากพอส่องให้เห็นภายในชัดเจน

เชนตรงไปยังหน้าพระพุทธรูป หยิบธูปมาแบ่งให้รุ่งรตี จุดเทียนจ่อปลายธูปกับเปลวเทียน ควันธูปลอยเป็นสาย กลิ่นหอมเย็นช่วยไล่กลิ่นอับให้เบาบางลง

ชายหนุ่มยกมือพนมไหว้ ปักธูปลงบนกระถาง ก้มกราบพระพุทธรูปด้วยกิริยาสำรวม รุ่งรตีทำตามเก้งๆ ก้างๆ ขณะก้มกราบรยางค์ต่างหูกระทบพื้นดังจนเจ้าตัวรำคาญ

หลังจากนั้นในศาลาโรงเจกลับสู่ความเงียบ ปราศจากเสียงอื่น อากาศเย็นจากพื้นหินอ่อน หลังคาสูงมีช่องลมระบายอากาศ สองหนุ่มสาวนั่งเงียบอย่างไม่รู้จะเริ่มต้นพูดจาอย่างไร

รุ่งรตีเข้าโรงเจอีกครั้งเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตนเองเห็น ท้าทายความกลัวในใจ จึงสงบปากรอดูจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่...ส่วนเชนมีเหตุผลละเอียดอ่อนกว่านั้น การที่รุ่งรตีอยู่ร่วมด้วย ไม่สะดวกที่จะทำอะไรตามต้องการ

ครู่หนึ่ง ไม่นานนัก ความอดทนของรุ่งรตีใกล้หมด...พลันแว่วเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน

แกร้ก...แกร้ก...เสียงหมุนล้อรถเข็น...สุ้มเสียงตอนแรกลอยมาแต่ไกล แล้วกลับชัดเจนขึ้นจนฟังใกล้แค่เอื้อม

ใกล้ขนาดไหน...เมื่อฟังดีๆ จะรู้สึกได้...เสียงล้อรถเข็นนี้ดังอยู่รอบระเบียงศาลาโรงเจนี่เอง!

รุ่งรตีสบตากับเชนเหมือนต้องการถาม...ได้ยินเสียงนั้นหรือไม่...

แววตาเชนทอดนิ่งยังประตูด้านข้าง จับจ้อง รอคอยสิ่งบางอย่าง...บางครั้งอาจรอให้ประตูเปิด เพื่อจะได้พบกับเจ้าของเสียงรถเข็นคันนั้น

แกร้ก...แกร้ก...เสียงดังชัด มันกำลังลากเลื่อนบนระเบียงรอบศาลาช้าๆ ทิ้งจังหวะทีละช่วง กระตุ้นจิตใจผู้ฟังให้รุ่มร้อน อยากพิสูจน์ความจริง

พี่เชนได้ยินอะไรมั้ย หญิงสาวอดใจถามไม่ได้

ชายหนุ่มไม่ตอบ ขยับตัวลุกขึ้น เดินด้วยฝีเท้าเบาไปยังประตูศาลาด้านข้าง เสียงรถเข็นกำลังเคลื่อนผ่านประตูบานนั้น รุ่งรตีขนลุกซู่ไม่มีสาเหตุ รวบรวมความกล้าลุกขึ้นตามเชนติดๆ

ถอดกลอนเบามือ ประตูแง้มเปิด แสงสว่างส่องลอดทีละน้อยจนบานประตูเปิดสุด พื้นที่บริเวณระเบียงยาวรอบศาลาปรากฏแก่สายตา

รุ่งรตีนิ่งอั้นเย็นวาบ งงงัน ระเบียงนั้นว่างเปล่า แต่เสียงรถเข็นยังดังเป็นระยะดั่งจะท้าทายประสาทผู้คน

เชนผ่อนลมหายใจแผ่วเบา จิตใจหนักแน่น มั่นคง...สิ่งที่เขาเห็นผิดกับรุ่งรตี...บนระเบียงนี้ไม่ได้ว่างเปล่าเสียทีเดียว ห่างไปราวสามสี่เมตรเขาเห็นร่างรางเลือน โย้เย้ บิดเบี้ยวของรถเข็นที่มีหญิงชราคนหนึ่งกำลังเลื่อนมาหาอย่างเชื่องช้า...ยากลำบาก

อากาศรอบตัวเย็นเยียบทีละน้อย กลิ่นแปลกๆ ลอยเจือจาง เชนไม่นึกหวาดกลัว เขากำลังสัมผัสจิตใจร่างรางเลือนตรงหน้า...คุณนายพวงทองพยายามติดต่อเขาด้วยความยากลำบาก เส้นแบ่งแห่งภพภูมิทำหน้าที่ขีดคั่นโลกทั้งสองออกจากกัน แต่ผู้อยู่ด้านหนึ่งกำลังเพียรพยายามฝ่าด่านเพื่อมาส่งสาร อีกฝ่ายแค่ยืนรอ ไม่สามารถยื่นมือรับสารใดจากอีกโลก

ชั่วขณะหนึ่งเชนรู้สึกถึงมือเรียวบาง เย็นเฉียบกำลังจับต้นแขนเขา เหลียวมองพบหญิงสาวข้างกายใบหน้าซีดเผือด แววตาหวั่นกลัว มือที่จับทั้งเย็นทั้งสั่น ชายหนุ่มเอื้อมมือแตะหลังมือหล่อนเบาๆ

รุ้ง เสียงเรียกขานนุ่มนวล พอกระตุ้นสติ เป็นอะไรหรือเปล่า

รุ่งรตีเงยหน้ามองเขา หูแว่วเสียงแกร้ก แกร้กไม่หยุด...คราวนี้มันแผ่วเบา ถอยห่างเจือจางกับสายลม

พี่เชนได้ยินอะไรมั้ย รุ่งรตีใช้คำถามนี้เป็นครั้งที่สอง

รุ้งได้ยินเสียงอะไร เขาถามกลับ

เสียงเหมือนรถเข็น มันดังชัดมาก

มันดังมาจากไหน เขาถามต่อ

จากที่ระเบียงนี่แหละ หญิงสาวมั่นใจ

แล้วทำไมไม่เห็นมีอะไรเลย

คำพูดชายหนุ่มทำให้หญิงสาวนิ่งอั้น หล่อนก็เห็นว่าไม่มีอะไร ทั้งที่เสียงรถเข็นดังใกล้...มาบัดนี้มันเงียบหาย

รุ่งรตีถอนใจ มองหน้าชายหนุ่มเหมือนอยากตั้งคำถาม...ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

เย็นแล้ว รุ้งจะกลับบ้านหรือยัง เดี๋ยวพี่ไปส่ง

เอ่อ...ยัง...รุ้งยังไม่กลับบ้าน หญิงสาวรีบบอก

งั้นไปกินข้าวกับพี่มั้ย จะเลี้ยงต้อนรับ เขาพูดยิ้มๆ

ก็ได้ รุ่งรตีรับคำง่ายๆ ให้หล่อนไปไหนก็ได้ ขอเพียงยืดเวลากลับบ้านให้นานสุด

อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่หาร้านอร่อยให้

อะไรก็ได้...ร้านไหนก็ได้...ยกเว้นร้านเดียว หญิงสาวรีบพูดต่อ ร้านครัวพวงทอง

เชนพยักหน้า อมยิ้ม ดวงตาพราวขบขัน ถ้าคนนามสกุลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลต้องการหลีกเลี่ยงใช้บริการการค้าตระกูลตัวเองในเมืองนี้ นับว่าลำบากไม่ใช่เล่น

ได้...ที่พี่จะพาไปนี่อาจไม่ดังเท่าครัวพวงทอง...แต่รับรองฝีมือทำอาหารไม่แพ้กันแน่

ตะวันรอนยามเย็น เงาของโรงแรมทาทาบมายังศาลาโรงเจ ขณะเดินออกมาจากที่แห่งนั้น เชนอดเหลียวมองกลับหลังไม่ได้...เขามาที่นี่เพื่ออยากพบคุณนายพวงทอง อยากรู้ว่าวิญญาณชราดวงนี้มีความต้องการสิ่งใด จึงไปหาเขาถึงบ้าน

น่าเสียดายที่รุ่งรตีมาด้วย การติดต่อจึงมีอุปสรรค...เอาเถอะ ไว้วันหน้าค่อยมาอีกที...ไม่รู้มันจะสายเกินไปหรือไม่


สายเกินไป...มันต้องช้าเกินไปแน่...คุณนายพวงทองอึดอัดคับข้องใจเกินบรรยาย เธอเห็นหลานสาวเข้ามาเดินเล่นโรงเจ ไม่ตั้งใจปรากฏตัวทักทาย แต่รุ่งรตีกลับสัมผัสคลื่นตนได้

คนที่คุณนายพวงทองตั้งใจรอจริงๆ คือเชน...รอคอยเพื่อบอกข่าวบางอย่าง

ระยะนี้เกิดความรู้สึกหม่นหมอง ก้อนทุกข์กระทบใจเป็นระยะ มันเป็นความทุกข์ที่ผิดจากทุกข์อ้อยอิ่งภายในเสมอมาจนเป็นปกติ ภาพบางอย่างโผล่วูบวาบแล้วหายวับ เหมือนโดนล้อหลอกยื่นของให้แล้วดึงกลับ

คุณนายพวงทองอาจแวบไปมายังที่ต่างๆ ตามแต่ความลงตัวของการจูนจิตตนเองกับคนใกล้ชิด เมื่อมีโอกาสก็พยายามส่งข่าวลางสังหรณ์บอกให้ลูกระวังตัว แต่ไม่มีใครเปิดรับได้ นอกจากเชน

เชนมาถึงที่นี่คุณนายดีใจยิ่ง พยายามส่งสัญญาณเต็มที่จนได้ผล...ได้ผลเกินไป...รุ่งรตีรับได้ด้วย แต่เธอไม่มีความมั่นคงทางใจเท่าชายหนุ่ม คลื่นความหวาดกลัวรบกวนการสื่อสาร

คุณนายพวงทองอยากแผดด่าหลานสาว แต่ไม่มีประโยชน์ ยิ่งเกิดโทสะ ยิ่งขาดความชัดเจน เรื่องที่อยากบอกกับเชนยิ่งคลาดเคลื่อนความจริง


ลางสังหรณ์ คุณนายพวงทองชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนจนแน่ใจต้องเกิดเรื่องร้ายในอีกไม่นาน ยิ่งรู้สึก ยิ่งร้อนรุ่ม...ทุกข์ในใจยิ่งทบทวี หัวใจถูกไฟรุมตลอดเวลาไม่มีผ่อนพัก

เรื่องร้ายนั้นคืออะไร...ไม่อาจบอกชัดเจน...แต่มันต้องเกิดกับคนที่คุณนายพวงทองผูกพัน ลูกทั้งห้าคน ข่าวที่อยากส่งต่อเชนคือ...ขอให้ทายาทตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลระวังตัว

ระวังตัวจากอะไร...จากใคร...ยากจะตอบ...เวลานั้นใกล้มาถึงแล้ว ใกล้เข้ามาจนคุณนายพวงทองเกรงจะส่งข่าวไม่ทัน

ครุ่นคิดเท่าใด ใจร้อนรนเท่านั้น ปกติตนก็จ่อมจมกองทุกข์อยู่แล้ว นี่ยิ่งเพิ่มทุกข์อีกขั้นด้วยความไม่รู้ตัว


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP