วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๔


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


ถ้าหากคุณนายพวงทองมีอาณาจักรธุรกิจใหญ่โต สร้างเม็ดเงินมหาศาลจนเกิดปัญหาตามหลัง คุณจิตใสก็มีอาณาจักรของเธอเช่นกัน เป็นอาณาจักรที่ไม่สามารถเทียบได้เลย หากวัดด้วยจำนวนพื้นที่ ปริมาณการสร้างรายได้ แต่อาณาจักรคุณจิตใสมีความร่มเย็นชนิดที่คุณนายพวงทองไม่เคยมี

เชนส่งแม่ที่ร้านของชำ ก่อนนำรถไปจอดยังร้านวัสดุก่อสร้างที่อยู่ใกล้ๆ ถัดออกไปเป็นร้ายขายต้นไม้ร่มรื่น มีบ้านสองชั้นหลังกะทัดรัดซ่อนอยู่ภายใน

ทั้งหมดนี้คืออาณาจักรคุณจิตใส

ที่ดินแปลงขนาดย่อมติดถนนชานเมืองเป็นสมบัติตกทอดของนายพลทางธรรม สามีคุณจิตใส

เดิมมีแค่บ้านไม้ร่มรื่นกับเรือกสวนปลูกแบบทิ้งๆ ขว้างๆ เจ้าของเป็นนายทหารหนุ่มไม่ค่อยอยู่บ้าน ย้ายไปย้ายมาตามคำสั่งราชการ จนแต่งงานกับคุณจิตใส บ้านช่องค่อยมีระเบียบ เป็นที่เป็นทาง

ช่วงแรกของชีวิตคู่ นายพลทางธรรมต้องเดินทางว็ว โยกย้ายบ่อย คุณจิตใสยังทำงานให้คุณนายพวงทอง ทั้งคู่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน จนกระทั่งราม ลูกชายคุณนายพวงทองเรียนจบ สามารถรับภาระแทนได้ คุณจิตใสจึงค่อยถอยห่างออกมา เปิดร้านของชำเล็กๆ ที่บ้าน พอมีงานทำเลี้ยงลูก ชุมชนแถวนั้นเริ่มขยาย ร้านของชำโตตาม กลายเป็นร้านขายส่งให้กับพวกอำเภอนอกๆ

เชนเรียนจบ พวกน้าตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลชวนทำงานด้วยแต่เขาปฏิเสธ แล้วมาขอทุนคุณจิตใส เปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง ค้าขายประสบความสำเร็จ สามารถคืนทุนได้ภายในไม่กี่ปี

เมื่อนายพลทางธรรมเกษียณ กิจการของสองแม่ลูกก็อยู่ตัว ทุกคนจึงให้รางวัลกับตัวเองด้วยการปลูกบ้านหลังใหม่ ท่านนายพลชอบปลูกต้นไม้ ดูแลสวนในบ้านจนสวยงาม สะดุดตา คนผ่านไปมามีคนสนใจขอพันธุ์ไม้แปลกๆ ไม้ดอกสวยๆ จนสุดท้าย ขยายพื้นที่เพิ่ม กลายเป็นร้านขายต้นไม้เสียเลย

พ่อแม่ลูกทั้งสามมีกิจการของตัวเองบนเนื้อที่เดียวกัน กลายเป็นอาณาจักรคุณจิตใส ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับอาณาจักรทรัพย์ยั่งยืนฯของคุณนายพวงทอง แต่ทว่ามันเป็นอาณาจักรที่มีความสุข ร่มเย็น ชวนให้คนผ่านไปมาเห็นแล้วอดแวะมาเยี่ยมเยียนไม่ได้


คืนนี้ฟ้าใส กระจ่างดาว ม่านราตรีขึงกางแผ่ไพศาล ประดับด้วยแสงสีเงินระยิบระยับดารดาษราวกรวดทรายเปล่งแสงกลางทะเลมืด เสียงแมลงราตรีร้องระงมผสานกลิ่นดอกไม้หอมลอยตามสายลมรัตติกาล

เชนกำลังนั่งตรวจบัญชีร้านในห้องนอน หูแว่วเสียงสวดมนต์เบาๆ มาจากห้องพระ พ่อแม่สวดมนต์พร้อมเพรียง เสียงสวดผสานกลมกลืนชวนให้ใจดิ่งลึก ชุ่มเย็น เป็นเสียงที่เขาได้ยินคุ้นหูตั้งแต่เด็ก

ชายหนุ่มนึกน้อมจิตเคาระกิริยาบุญของทั้งสอง ความอบอุ่นแผ่เข้าจับจิตใจ จู่ๆ ก็นึกถึงบางเรื่องได้...ดึงลิ้นชักหยิบรูปรูปหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนยกมือพนมกราบ

รูปนั้นเป็นภาพครอบครัว พ่อ แม่ ลูก...เด็กผู้ชายตัวเล็กผอมบางคือตัวเขาเอง แต่ชายหญิงผู้เป็นบุพการีกลับไม่ใช่นายพลทางธรรมกับคุณจิตใส

ใบหน้าเชนสงบลง ความทรงจำเลื่อนย้อนทวน...

เสียงคึ่กๆๆ ไม้แตกเปรียะๆ เปลวไฟแลบเลียลุกโพลงทุกทาง เด็กชายตัวน้อยวิ่งหนีร้องไห้จ้า หาทางเอาตัวรอด ควันโขมงมองแทบไม่เห็นทาง แสบตาสุดทน หายใจไม่ออก สมองอึงอลหมุนวน มีแต่ความหวาดกลัวสุดจิตสุดใจ ก่อนสติดับวูบ

รู้สึกตัวอีกครั้ง ได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต...บ้านถูกไฟไหม้...พ่อแม่ตายในกองเพลิง...

...วันนี้ครบรอบวันตายของพ่อแม่...

เชนผ่อนลมหายใจเบา ทอดสายตาไปยังห้องพระ ดวงตาทอประกายนุ่มนวล...หากเขาไม่ได้พบคุณจิตใสกับท่านนายพล ชีวิตจะเป็นเช่นไร

หิวมั้ยลูก...อยากกินอะไรไหม

นี่คือคำทักทายแรกของคุณจิตใส...เด็กที่เผชิญทุกข์หนักสูญเสียรุนแรงเช่นเขา จะมีแก่ใจตอบอะไรได้

เด็กคงยังช็อกอยู่น่ะ เราค่อยๆ ให้เวลาแกหน่อย เสียงหนักแน่นชวนอุ่นใจของนายทหารหนุ่มดังตามมา

เชนแทบจดจำเรื่องราวหลังเกิดไฟไหม้และสูญเสียบุพการีไม่ได้เลย เขารู้สึกโลกอ้างว้างมืดลงในพริบตา ชีวิตกลายเป็นเศษสวะสุดแต่กระแสน้ำจะพัดพาไปทางใด

ไม่พูดจากับใคร ยอมกินเมื่อหิวจริงๆ วันทั้งวันเอาแต่นั่งเงียบเหม่อ อยู่ในโลกส่วนตัวไม่มีใครสามารถเจาะผ่านกำแพงความทุกข์ ความเศร้าของเขาได้ กลายเป็นเด็กมีปัญหา ใครๆ ส่ายหน้า แทบจะส่งโรงพยาบาลบ้าให้พ้นๆ จนคุณจิตใสก้าวเข้ามา

สองสามีภรรยาอยู่ด้วยกันมาหลายปีไม่มีลูก...อาจเป็นด้วยสายใยบุญกุศลที่ผูกพัน ทำให้ทั้งคู่พอใจเชน...เด็กที่มีปัญหามากสุด ไม่ยอมพูดจากับใคร มีโลกส่วนตัวที่ยากจะมีใครก้าวถึง

แม่รักลูกตั้งแต่แรกเห็น... คุณจิตใสเคยบอกเมื่อหลายปีก่อน นั่นทำให้แม่ไม่สนใจว่าลูกจะเป็นยังไง

คงเป็นเพราะความรัก ความเมตตาอย่างจริงใจนี่เอง ที่ค่อยซึมแทรกเข้าไปในจิตใจเชนตัวน้อย ฉุดเขากลับสู่โลกความจริง...คุณจิตใสใช้เวลาเป็นปีกว่าจะได้ลูกชายคนนี้มาอย่างสมบูรณ์

เชนวันนี้เป็นชายหนุ่มอนาคตไกล ลูกชายที่พ่อแม่คนไหนก็อดภูมิใจไม่ได้ บาดแผลวัยเยาว์ถูกรักษาจนหาย ทิ้งไว้เพียงรอยจางๆ ในหัวใจ

สายลมอ่อนละไมแทรกผ่านบานมุ้งลวด พาเชนกลับสู่ปัจจุบัน อดีตเหมือนเงารางๆ ในพรายน้ำเลือนหาย ทิ้งสะเก็ดความทรงจำที่ไร้ประโยชน์หากจะปะติดปะต่อมันอีก

ปิดสมุดบัญชี งานเสร็จเรียบร้อย เตรียมตัวสวดมนต์เข้านอน แต่แล้วจมูกสัมผัสกลิ่นบางอย่างซึมแทรกในบรรยากาศ มันไม่ใช่กลิ่นดอกไม้กลางคืนที่พ่อปลูกรอบบ้าน กลิ่นไม่หอม ไม่เหม็น เป็นกลิ่นเฉพาะตัวที่โดดเด่นจากกลิ่นอื่น

เชนลุกขึ้นออกไปนอกระเบียง ยืนเกาะราวมองฝ่าความมืดรอบบ้าน หางตาจับภาพเงาดำซุ่มนอกประตู รีบหันขวับตั้งใจมอง แต่ที่ตรงนั้นกลับไม่มีสิ่งผิดปกติ...กลิ่นแปลกๆ ลอยอ้อยอิ่ง กระจายตัวบางๆ รอคอย

สัมผัสแผ่วกระทบใจ กระตุ้นให้อยากลงไปข้างล่าง พิสูจน์หาที่มา... สายลมแผ่วชืดโพยพัดผ่านร่าง ความเย็นประหลาดก่อตัว เชนตัดสินใจเดินตามความรู้สึกตน


ลงมาข้างล่าง นอกประตูบ้าน พบรัตติกาลอันสงบงัน ก้าวขาบนทางซีเมนต์ สายตาจ้องยังประตูหน้าที่เพิ่งเห็นเงาดำจากระเบียง

เขาไม่กลัว ไม่หวั่นต่อการก้าวหาสิ่งที่ไม่รู้ เชื่อในสัมผัสกระทบใจตน สัมผัสนั้นไม่แสดงสัญญาณอันตราย...มันคล้ายกับเสียงเพรียก...เพรียกหาจากที่แสนไกล

ลมหนาวกรูเกรียวจนร่างสะท้าน เชนชะงักเท้าหน้าประตู สายตามองถนนด้านนอก...ที่นั่นเอง ภาพบางอย่างเผยขึ้นต่อหน้าให้ได้พิสูจน์

นอกบ้านไม่เหมือนนอกบ้านที่คุ้นตา ถนนสายเดิมที่เคยมีรถวิ่งปกติกลับเงียบไม่มีชีวิต ไร้ยวดยาน เวิ้งว้าง ปกคลุมด้วยแสงสีส้มซีด ฉาบทาดังม่านสนธยา

เชนแทบไม่คิดว่าตนเองกำลังอยู่บนโลกมนุษย์ ประสาทตาเขาไม่ได้ฟั่นเฟือน เพียงสิ่งที่เห็นมันผิดปกติเกินไป

ขณะตัดสินใจควรทำอย่างไร ถนนที่ปกคลุมด้วยม่านสนธยาก็เกิดแรงเคลื่อนไหว มันไหวเป็นระลอกริ้วราวถูกขึงบนจอน้ำ สั่นไหวรุนแรงจนยากจะเชื่อ ภาพที่เห็นเป็นสิ่งเกิดขึ้นจริง

เชนระงับความตื่นเต้น ความหวาดกลัวที่เริ่มผุดขึ้นก่อกวนจิตใจ สิ่งที่ปรากฏไม่ได้แสดงตัวต่อนัยน์ตาที่เป็นเลือดเนื้อ มันถูกส่งมายังนัยน์ตาใน เป็นนัยน์ตาที่รับภาพด้วยสัมผัสพิเศษยากอธิบาย

ท่ามกลางริ้วระลอกของภาพตรงหน้า เชนเห็นใบหน้ามากมายผุดออกมา...ใบหน้าผู้คนหญิงชายผอมซีด อมทุกข์อ้าปากพยายามร้องส่งเสียงอยากบอกอะไรบางอย่าง

เชนไม่ได้ยิน หูอื้อ...ตึง...สดับเสียงของความเงียบงัน...จิตใจเผชิญกับกระแสความรู้สึกที่โหมซัดคล้ายคลื่นใหญ่โถมปะทะฝั่ง...กระแสเศร้าหมอง ทุกข์ทน อดอยาก หิวโหย เจ้าของใบหน้าเหล่านั้นต้องการบอกถึงความลำบากขาดแคลน แสดงทุกขปริเวทนาให้ดู

ชายหนุ่มสูดลมหายใจยาวลึก ผ่อนระบายช้าๆ แผ่วเบา สติก่อตัวตามเส้นทางลมหายใจ จนกระทั่งเกิดความตั้งมั่นขึ้น...เขารู้แล้ว สิ่งที่เห็นคืออะไร และควรทำอย่างไรต่อไป

คุกเข่าลง ยกมือประนม ตั้งจิตเมตตาจนเกิดความอ่อนโยน ก้มศีรษะระลึกถึงบุญกุศลทั้งหมดทั้งปวงที่เคยกระทำ...

...สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์...เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด...

คำกล่าวแผ่เมตตาหลั่งไหลจากน้ำเสียงและจิตใจอันอ่อนโยน

บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว และจะได้กระทำต่อไป ขออุทิศให้แก่บุคคลที่ร้องขออยู่ในขณะนี้ทั้งหมดทั้งปวง...ขอความสุข ความอิ่ม พ้นเวรภัยจงบังเกิดแก่พวกเขาด้วยเถิด

จบประโยค จิตใจกำซาบเต็มตื้น กระแสเมตตา ปรารถนาดีหลั่งล้นจากใจคล้ายไม่มีหมดสิ้น

สาธุ...สาธุ

เสียงอนุโมทนาดังประสานก้องในมโนสำนึก...ลืมตาช้าๆ กระแสปีติจากการให้ยังอ้อยอิ่งค้างคาจิตใจ ภาพอีกโลกเลือนหาย ตรงหน้าเป็นถนนสายเดิม รถวิ่งตามปกติ

เชนแปลกใจที่จู่ๆ ก็มี ผู้มาขอรับบุญ มันเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ออกจะจู่โจมบ้าง ยังดีที่เขาเติบโตมากับพ่อแม่มีใจใฝ่ธรรมะ แนะนำสั่งสอนเรื่องต่างๆ ที่คนหนุ่มวัยเดียวกันไม่ค่อยสนใจ

เชนยังสงสัย เหตุใดที่เกิดเหตุการณ์นี้กับตน แต่ไม่นึกติดใจนานนัก หันหลังเตรียมกลับเข้าบ้าน สายตาพลันพบเงาร่างที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงาต้นปีบ ใบหน้าร่างนั้นเด่นชัดกว่าส่วนอื่น

อย่าทิ้งยายนะเชน... เสียงนี้กังวานสู่ใจแจ่มชัด

คุณยาย... เชนพึมพำ เงานั้นก็เลือนหาย เจ้าตัวคงอ่อนล้าเกินกว่าแสดงตัวได้เนิ่นนาน

ถึงตอนนี้เชนเข้าใจ เหตุใดตนถึงสามารถสื่อต่อ ผู้มาขอรับบุญ ได้... เมื่อเขาเปิดประตูรับคุณนายพวงทอง ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นเช่นกัน

นึกหวั่นกลัวกับสิ่งที่อาจได้พบในกาลข้างหน้า ขณะเดียวกันก็เกิดขุมกำลังอันอบอุ่นก่อขึ้นกลางอก...เอาเถอะ ถึงตอนนี้แล้วอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...คุณจิตใสอบรมสั่งสอนให้ตั้งมั่นในคุณงามความดีตั้งแต่เล็ก...เชนเชื่อว่าอำนาจแห่งกรรมดี จิตที่เปี่ยมเมตตา ย่อมเป็นเกราะคุ้มกันภยันตราย เรื่องร้ายต่างๆ...หรือหากจะมีอะไรเป็นไปตรงข้าม...เขาก็ยังเชื่อเรื่องกรรม...ไม่มีผลร้าย ผลดีใดจะเกิดขึ้นโดยปราศจากสาเหตุ...แน่นอน


สถานีตำรวจ...

ลักษณ์ขึ้นมาบนสถานีตำรวจ อารมณ์ขุ่นมัว ใบหน้าบูดบึ้ง สายตาแลเห็นกลุ่มหนุ่มสาวที่นั่งออรวมกันเป็นกลุ่ม แต่ละคนแต่งกายเสื้อผ้าชั้นดีราคาแพง บางคนใบหน้าใส อายุไม่น่าเกินสิบห้าสิบหก

ผมมารับลูกสาว ลักษณ์บอกต่อร้อยเวร

ชื่ออะไรครับ

รุ่งรตี

หญิงสาวหนึ่งในกลุ่มนั้น เงยหน้าขึ้นมาอย่างมึน เบลอ ดวงหน้าผุดผาด ตกแต่งเครื่องสำอางสีเข้ม ต่างหูพราว ทรงผมกระเซอะกระเซิง แต่งกายเปรี้ยวไม่ต่างจากเพื่อนในกลุ่ม

คนนั้นแหละครับ

ลักษณ์ชี้มือทางหญิงสาว โทสะจับดวงตา

ครับ ถ้างั้นเชิญทางนี้ นายตำรวจพูดพร้อมทำงานตามหน้าที่

ลักษณ์โกรธจนแทบระงับอาการไม่อยู่ ไฟในอกสุมรุมร้อน เขาได้รับโทรศัพท์กลางดึกว่าลูกสาวคนเดียวถูกจับพร้อมเพื่อน คดีมั่วสุมปาร์ตี้เสพยา...ยังโชคดีที่เขาค้างคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ รีบมาประกันตัวทัน หากอยู่บ้าน...อาณาจักรทรัพย์ยั่งยืนฯ คงต้องปล่อยลูกสาวค้างคืนที่สถานีตำรวจ ไม่ก็บึ่งรถทำเวลา เสี่ยงต่ออุบัติเหตุเข้ากรุงเทพฯ ทั้งมืดค่ำ

ขั้นตอนประกันตัวผ่านไป...ยังดีที่รุ่งรตีตรวจไม่พบสารเสพติด จึงไม่ยุ่งยากมาก ใช้เวลาครู่ใหญ่ก็ออกมาจากสถานีตำรวจได้


รถแล่นตะบึงฝ่าความมืด ออกจากกรุงเทพฯ ค่อนข้างเร็ว ไม่ผิดกับจิตใจผู้โดยสาร...ลักษณ์นั่งเบาะหลังกับลูกสาว ต่างฝ่ายชิดประตูคนละด้าน เว้นช่องตรงกลางเอาไว้ราวกับเป็นหลุมขนาดมหึมาไม่มีใครคิดถมมัน

ความเงียบปกคลุมบรรยากาศในรถเนิ่นนานแล้ว เสียงเครื่องยนต์ครางเบาๆ คนขับรถทำหน้าที่ดียิ่ง ขับนุ่ม เร็ว เก็บเสียงตนมาตลอดทางไม่ผิดกับเจ้านายทั้งสอง

รถวิ่งเลยครึ่งทางแล้วมีเสียงหญิงสาวหลุดออกมาห้วนๆ

รุ้งอยากอยู่กรุงเทพฯ ไม่อยากกลับบ้าน น้ำเสียงห้วนแข็ง ไม่ยอมสบตาใคร

ผู้เป็นพ่อนิ่งเงียบ ไม่คิดต่อปาก ต้องการใช้ความเมินเฉยกำราบลงโทษความดื้อรั้น ชอบสร้างปัญหาของลูกสาว

ที่นั่นน่าเบื่อจะตาย หล่อนพูดลอยๆ

ลักษณ์ถอนใจ สายตามองกระจกอีกด้าน...เขารู้...ที่นั่น...น่าเบื่อ แต่สิ่งที่ตอบแทนความน่าเบื่อนั้นมันคุ้มค่า

หญิงสาวถอนหายใจเสียงดัง จงใจให้อีกฝ่ายรับรู้ ถ้าเป็นสมัยเด็ก หล่อนคงดิ้นพราดๆ ร้องขอกลับกรุงเทพฯ ไม่ก็เซ้าซี้ร่ำไรไม่เลิก...ครั้งนี้ดันมีชนักปักหลัง ขืนทำอย่างเดิมคงไม่ได้ผล...คิดแล้วน่าโมโห ไปเที่ยวกี่ครั้งไม่เคยมีปัญหา เอาตัวรอดได้ทุกที คราวนี้ถูกจับ โอกาสที่พ่อจะปล่อยหล่อนมีอิสระอย่างเดิมคงยากเย็น

รุ้งเบื่อ รุ่งรตีพูดย้ำกับกระจกรถหวังให้บิดาได้ยิน

ลักษณ์นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ตลอดทางจากสถานีตำรวจเขาพูดแค่ประโยคเดียวกับคนขับรถ

กลับบ้านเลย ไม่ค้างที่คอนโดฯ แล้ว

คนขับรถไม่กล้าค้าน ทั้งที่เวลาดึกดื่นเต็มที ให้ขับรถออกต่างจังหวัด ถึงจะไม่กี่ร้อยกิโลเมตรก็นับว่าอันตราย...เขารู้เจ้านายกำลังโกรธ ขืนพูดอะไรผิดหูคงเกิดเรื่องใหญ่

ในรถยังเงียบ ลักษณ์ไม่ดุด่า คาดโทษลูกสาว ไม่คิดสั่งสอนอบรม หรือกระทั่งซักถามที่มาที่ไปเรื่องราวก่อนถูกจับ...มันไม่มีประโยชน์ เขาพูดมามากพอ...มากเกินพอด้วยซ้ำ...เขาเลี้ยงลูกสาวได้แต่ตัว ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เธอทุกอย่าง...เรียนโรงเรียนประจำชั้นนำ ส่งต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ส่งเงินให้ใช้เต็มที่ไม่มีอั้น ไม่น้อยหน้าลูกเศรษฐีคนไหน รุ่งรตีกลับทำให้เขาผิดหวังมาตลอด

ลักษณ์ไม่รู้จะโทษใครที่ลูกสาวเป็นเช่นนี้...เขาหย่ากับแม่เธอ ต่างคนต่างต้องการใช้ชีวิตส่วนตัว เขาเป็นฝ่ายขอดูแลลูก อีกฝ่ายยอมตกลงไม่มีปัญหา แลกกับเงินก้อนโต...เขาเคยคิดว่าตนเองมีความรักให้ลูกล้นเหลือ มอบสิ่งดีๆ ให้ทุกอย่าง ทำไมรุ่งรตีถึงทำให้เขาผิดหวังซ้ำๆ ซากๆ

ตั้งแต่อยู่โรงเรียนประจำ หล่อนก็หนีโรงเรียนมาร้องไห้คร่ำครวญอยากกลับบ้าน พออยู่บ้านหล่อนก็ทะเลาะกับเขาแทบทุกวัน สร้างปัญหาจนทางโรงเรียนใหม่ขอพบผู้ปกครองครั้งแล้วครั้งเล่า ทนไม่ไหวส่งหล่อนกลับไปโรงเรียนประจำอีก จากนั้นส่งไปอยู่ต่างประเทศก็เรียนอะไรไม่จบสักอย่าง ใช้ชีวิตเสเพลจนต้องลากกลับเมืองไทย

พาไปอยู่บ้าน...อาณาจักรทรัพย์ยั่งยืนฯ เจ้าหล่อนอยู่ได้แค่สามวัน อาละวาดขอไปอยู่คอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ บ่นว่าที่นี่เงียบเหงา ไม่มีเพื่อนฝูง พอตามใจปล่อยให้อยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีเรื่องขนาดถูกจับขึ้นโรงพัก... นี่ถ้าทิ้งไว้ต่อไปมีหวังเข้าคุก ไม่ก็ติดยา ท้องไม่มีพ่อ

คิดแล้วต้องถอนใจ...นี่เขาทำกรรมอะไรไว้ ถึงมาเจอปัญหากับลูกแบบนี้

ลักษณ์นึกย้อนถึงวัยเด็กตนเอง เขาไม่เงียบเหงาเช่นรุ่งรตี มีพี่น้องหลายคนแต่ก็ขาดความอบอุ่นเหมือนไม่มี แม่มุทำงาน หาเงินสร้างสมบัติอย่างเดียว ปล่อยลูกดูแลกันเอง มีคุณจิตใสทำหน้าที่พี่สาวคนโต

ถามว่าเขาเคยสร้างวีรกรรมกับแม่หรือไม่...ต้องบอกว่ามากมาย...ทั้งขโมยเงิน หนีเที่ยวโดดเรียน มั่วสุมเพื่อนไม่ดี ทะเลาะกับแม่จนหนีออกจากบ้านไปตั้งวงดนตรี ร้องเพลงหากินกับเพื่อน ตั้งใจไม่กลับอาณาจักรทรัพย์ยั่งยืนฯ อีกแล้ว แต่ไปไม่รอด ถนนนอกบ้านไม่ได้ปูลาดด้วยกลีบกุหลาบ ความฝันอยากเป็นนักดนตรีไม่ประสบความสำเร็จ เกือบติดยา อดตายอยู่แล้ว ถ้าแม่ไม่ไปลากคอกลับบ้าน

หรือว่า...รุ่งรตีกำลังเดินตามรอยเขา...เป็นกงกรรมกงเกวียนอย่างนั้นหรือ?

ชายกลางคนถอนใจ อายุขนาดเขานับว่าไม่น้อย ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านถูกผ่านผิดนับครั้งไม่ถ้วน ทำไมถึงไม่สามารถสั่งสอนลูกสาวคนเดียวให้อยู่ในเส้นทางถูกต้องได้

ถึงตอนนี้คงต้องถามตัวเอง...สอนไม่ได้ หรือไม่ได้สั่งสอน...

นับจากตั้งใจทำงาน ร่วมมือกับแม่ พี่น้องสร้างอาณาจักรทรัพย์ยั่งยืนฯ เขาทุ่มเทเวลาไปกับการสร้างรากฐาน ปล่อยการดูแลครอบครัวเป็นหน้าที่ภรรยา จนไม่รู้เกิดรอยร้าวเมื่อใด...งานรุ่งเรืองครอบครัวกลับพังพินาศ...เขาเลี้ยงลูกสาวเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ไม่มีความละเอียดอ่อน คิดว่าลูกเหมือนตุ๊กตา ส่งให้ไปเรียนโรงเรียนประจำเพราะตนเองไม่มีเวลาดูแลอบรม เกิดปัญหาเอาแต่ดุด่า ไม่เคยมองเข้าไปในจิตใจลูก ไม่เคยค้นหาสาเหตุแท้จริงของมันสักครั้ง

แก้ไขปัญหาง่ายๆ ลืมไปว่าเลี้ยงคนไม่เหมือนดำเนินธุรกิจ...จนถึงทุกวันนี้ มันเกินกำลังเยียวยา แก้ไขแล้วหรือไร

นอกกระจกมีแต่ความมืด ไม่มีคำตอบ...ลักษณ์คิดถึงมารดาตน...คุณนายพวงทอง...แม่จะรู้สึกอย่างไรนะ ที่ลูกทุกคนไม่ได้อย่างใจต้องการเลยแทบทุกเรื่อง

...เอี๊ยด...

เสียงเหยียบเบรก รถสะท้านเยือก ก่อนหยุดนิ่ง...

มีอะไรวะชม... ลักษณ์ถามคนขับรถเสียงกึ่งตำหนิกึ่งตกใจ

ชมคนขับรถนิ่งครู่หนึ่ง กำลังรวบรวมสติให้เข้าที่ มีความเงียบงันรอบด้านเป็นแรงกดดัน

ไอ้ชม... ลักษณ์เอ่ยปากอีกครั้ง รุ่งรตีทอดตามองรอบรถ...ถนนว่างโล่ง ไม่มีรถสักคัน ดูวังเวง ราวกับป่าช้า

ผะ...ผม เสียงตอบตะกุกตะกัก ผมขับรถชนคน...




บทที่ ๔


คำตอบที่ได้ยินเหมือนน้ำเย็นราดไม่ทันตั้งตัว...ขับรถชนคน...มันไม่ใช่เรื่องเล็ก...ดึกดื่นขนาดนี้รถขับเร็ว โอกาสรอดของผู้ถูกชนเหลือน้อยเต็มที

ขณะที่ลักษณ์กำลังตั้งสติ รุ่งรตีมองเห็นเงาแวบๆ บางอย่างกลางถนน

เอ๊ะ!”

หญิงสาวอุทาน เมื่อเห็นว่าเงานั้นกำลังพุ่งเข้ามาหารถ

มีอะไรหรือรุ้ง ลักษณ์สะดุดน้ำเสียงบุตรสาว

ไม่...มี เสียงตอบแผ่วเบา นัยน์ตาเบิกค้าง

ถนนว่างเปล่า ปราศจากเงาทะมึนที่เพิ่งเห็นด้วยหางตาเมื่อครู่ หัวใจเต้นตึก...ตึก รู้สึกรอบรถมีกำแพงหนาทึบกดดันเข้ามา มองไม่เห็น ไม่มีตัวตน สัมผัสเร้นในใจ

ลงไปดูให้แน่สิชม ลักษณ์ออกคำสั่งคนขับ

ครับ เจ้าตัวรับคำทั้งที่หวาดกลัวเต็มที่

ประตูเปิด กระสากลิ่นแปลกๆ ลอยเอื่อยมากับลมแอร์ เครื่องยนต์ยังไม่ดับ เสียงเบาเต็มที รุ่งรตีรวบรวมความกล้าเปิดประตูอีกด้านออกไปยืนริมถนน เดินสองก้าวมองบริเวณรอบให้ชัดตา

รุ้ง...ลงไปทำไม ขึ้นรถเร็ว ลักษณ์ออกคำสั่งกับลูกสาว แต่ไร้ประโยชน์ ปกติหล่อนไม่ฟังใครอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นเหตุการณ์แปลกๆ ยิ่งต้องการพิสูจน์

รอบรถว่างเปล่า ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ริมทาง คนขับรถเช็กด้านหน้า ไม่พบร่องรอยการชน เกิดอาการหนาวเยือก รีบเดินดูรอบๆ ทั้งใกล้ ไกลอย่างละเอียด จนแน่ใจไม่พบอะไรจึงรีบขึ้นรถทันที

รุ้ง...มัวดูอะไรอยู่ ทำไมไม่ขึ้นรถ

ลักษณ์เรียกลูกสาวอีกครั้ง คราวนี้เจ้าตัวยอมขึ้นรถไม่อิดเอื้อน

ทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย ประตูปิด ลักษณ์ถามโชเฟอร์

ว่ายังไง เจออะไรบ้าง

ไม่เจอครับ

แล้วตะกี้ชนอะไร

มองไม่ชัดครับ เหมือนมีคนมาตัดหน้ารถ เร็วมาก ผมตกใจ เบรกไม่ทัน รู้สึกเหมือนชนอะไรบางอย่าง รีบเบรกตามหลัง ต้องขอโทษจริงๆ ครับ

ไม่เจออะไรก็แสดงว่าไม่ได้ชนอะไร ที่หน้ารถมีรอยชนมั้ยล่ะ

ไม่มีครับ

งั้นก็ดี รีบกลับบ้านเถอะ ดึกแล้ว ลักษณ์ตัดบทพลางถอนใจ เฮ้อ...ทำไมวันนี้ถึงมีแต่เรื่องนักนะ

รถออกตัวนุ่มนวล เสียงเครื่องเงียบเบา ถนนทั้งสายเงียบวังเวงเช่นเดิม

ตลอดเวลาการสนทนา รุ่งรตีนั่งนิ่งใช้ความคิด นึกทบทวนภาพเงาร่างทะมึนที่เห็นด้วยหางตานั้น พยายามระลึกถึงรายละเอียดของมันมากที่สุด

ชม หญิงสาวเอ่ยปาก คนที่ตัดหน้าเราน่ะ ใช่นั่งอยู่บนรถเข็นหรือเปล่า

ครับ ชมตอบทันควัน เพิ่งนึกได้ คุณรุ้งทักอย่างนี้ผมค่อยจำได้ เป็นคนนั่งบนรถเข็นจริงๆ แต่ไม่ได้ตัดหน้าเรามาตรงๆ ลักษณะเหมือนจะมาเฉียงๆ พุ่งใส่รถยังไงไม่รู้ ผมได้ยินเสียงแก๊ง...ของรถเข็นชนรถเราด้วยครับ

เท่านั้นเอง ทุกคนในรถต่างขนลุกซู่ คนที่นั่งรถเข็นในความทรงจำพวกเขา...มีบุคคลเดียว

...คุณนายพวงทอง...


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP