ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

สุตโสมจริยา ว่าด้วยจริยาวัตรของพระเจ้าสุตโสม


สุตโสมจริยา ว่าด้วยจริยาวัตรของพระเจ้าสุตโสม

กลุ่มไตรปิฎกสิกขา

[๓๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินนามว่าสุตโสม
เราถูกพระเจ้าโปริสาทจับไปได้ ระลึกถึงคำปฏิญญาที่ให้ไว้กับพราหมณ์.

พระเจ้าโปริสาทเอาเชือกร้อยฝ่ามือกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ไว้แล้ว
ทำกษัตริย์เหล่านั้นให้ได้รับความลำบาก นำเราไปด้วยเพื่อต้องการทำพลีกรรม.

พระเจ้าโปริสาทได้ถามเราว่า ท่านปรารถนาจะให้ปล่อยหรือ
เราจักทำตามชอบใจของท่าน ถ้าท่านจะกลับมาสู่สำนักเราอีก.

เรารับคำพระเจ้าโปริสาทนั้นว่า ไม่ต้องห่วงถึงการมาของเรา
แล้วกลับไปยังพระนครอันรื่นรมย์ มอบราชสมบัติแล้วในกาลนั้น.

เพราะเราระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษเป็นของเก่า
อันพระชินะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเสพแล้ว
เราให้ทรัพย์แก่พราหมณ์แล้ว จึงเข้าไปหาพระเจ้าโปริสาท.

ในการมาในสำนักพระเจ้าโปริสาทนั้น เราไม่มีความสงสัยว่า
จักถูกฆ่าหรือไม่ เราตามรักษาสัจวาจา ยอมสละชีวิตเข้าไปหาพระเจ้าโปริสารท
ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.

สุตโสมจริยา จบ


อรรถกถามหาสุตโสมจริยา


อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินนามว่าสุตโสม

พึงทราบวินิจฉัยในมหาสุตโสมจริยา ดังต่อไปนี้.
คำว่า เป็นพระเจ้าแผ่นดินนามว่าสุตโสม (สุตโสโม มหีปติ)
ได้แก่ เป็นกษัตริย์มีพระนามอย่างนั้น.

ได้ยินว่า ในกาลนั้นพระมหาสัตว์ทรงอุบัติในพระครรภ์ของ
พระอัครมเหสีของพระเจ้าโกรัพยะ ในกรุงอินทปัตถ์ แคว้นกุรุ.
พระราชมารดาพระราชบิดาทรงขนานพระนามพระกุมารว่า
สุตโสม เพราะปลื้มใจด้วยการฟัง และเพราะมีพระฉวีเปล่งปลั่งเสมอดุจพระจันทร์.
ครั้นพระกุมารสุตโสมทรงเจริญวัย สำเร็จศิลปะทุกแขนงแล้ว
พระราชมารดาพระราชบิดาทรงอภิเษกไว้ในราชสมบัติ.
ข้อว่า ถูกพระเจ้าโปริสาทจับไปได้ (คหิโต โปริสาเทน)
ความว่า ถูกพระราชากรุงพาราณสีพระนามว่า โปริสาท
เพราะเคี้ยวกินพวกมนุษย์ จับไปเพื่อทำพลีกรรมเทวดา.

ดังจะกล่าวโดยย่อ พระเจ้าพาราณสีขาดเนื้อแล้วเสวยไม่ลง
คนทำอาหารซึ่งหาเนื้ออย่างอื่นไม่ได้จึงทำเนื้อมนุษย์ให้เสวย
ทรงติดในรส รับสั่งให้ฆ่ามนุษย์ แล้วเสวยเนื้อมนุษย์ จึงมีพระนามว่า โปริสาท
พวกชาวพระนครชาวนิคมชาวชนบท มีอำมาตย์ราชบริษัทเป็นหัวหน้า
และกาฬหัตถีเสนาบดีของพระองค์ผู้ชี้นำ พากันไปทูลว่า
ข้าแต่เทวะ
หากพระองค์ยังทรงต้องการราชสมบัติอยู่ ขอได้ทรงเว้นจากการเสวยเนื้อมนุษย์เสียเถิด

ตรัสว่า
แม้เราสละราชสมบัติก็จะไม่เว้นการกินเนื้อมนุษย์
จึงถูกชนเหล่านั้นขับไล่ออกจากเเว่นแคว้น เข้าป่าอาศัยอยู่ ณ โคนต้นไทรต้นหนึ่ง
เพื่อรักษาแผลที่เท้าเพราะถูกตอตำ จึงทำการบวงสรวงเทวดาว่า
ข้าพเจ้าจะเอาโลหิตที่ลำคอของกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ในชมพูทวีปทั้งสิ้นมาทำพลีกรรม
เมื่อแผลหายเป็นปกติ เพราะอดอาหารมา ๗ วัน จึงสำคัญว่า
เพราะอานุภาพของเทวดา เราจึงได้ความสวัสดี
คิดว่า
เราจักนำพระราชามาเพื่อพลีกรรมเทวดา
จึงไปสมคบกับยักษ์ซึ่งเคยเป็นสหายกันในอดีตชาติ
ด้วยกำลังมนต์ที่ยักษ์นั้นให้ไว้ จึงมีกำลังเรี่ยวแรงว่องไวยิ่งนัก
นำพระราชา ๑๐๐ พระองค์มาได้ภายใน ๗ วันเท่านั้น
แขวนไว้ที่ต้นไทรอันเป็นที่อยู่ของตน เตรียมทำพลีกรรม.

ลำดับนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้นั้น ไม่ปรารถนาพลีกรรมนั้น
คิดว่า
เราจะหาอุบายห้ามพระเจ้าโปริสาทนั้นจึงมาในรูปของนักบวชแสดงตนให้เห็น
พระเจ้าโปริสาทติดตามไป สิ้นทาง ๓ โยชน์ แล้วจึงแสดงรูปทิพย์ของตนให้ปรากฏ
กล่าวว่า
ท่านพูดเท็จ ท่านบนไว้ว่า เราจักนำพระราชาในสกลชมพูทวีปมาทำพลีกรรม
บัดนี้ ท่านนำพระราชาอ่อนแอตามที่หาได้มา
หากท่านไม่นำพระเจ้าสุตโสมผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีปมา เราไม่ต้องการพลีกรรมของท่าน.


พระเจ้าโปริสาทดีใจว่า เราได้เห็นเทวดาของตนแล้วจึงกล่าวว่า
ข้าแต่เทพเจ้า อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจักนำพระเจ้าสุตโสมมาในวันนี้แหละ
จึงรีบไปยังพระราชอุทยานซึ่งมีเนื้อและเสือเหลือง เมื่อคนรักษาไม่ระวัง
จึงก้าวลงไปในสระโบกขรณียืนเอาใบบัวคลุมศีรษะยืนอยู่.
พอพระเจ้าโปริสาทไปภายในพระราชอุทยานได้
ตอนใกล้รุ่งพวกราชบุรุษจัดการอารักขาตลอดระยะ ๓ โยชน์โดยรอบ.
พระมหาสัตว์เสด็จประทับบนคอคชสารที่ตกแต่งแล้ว
เสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยเสนา ๔ เหล่าแต่เช้าตรู่.
ในกาลนั้น นันทพราหมณ์จากเมืองตักกศิลา นำเอาสตารหคาถา ๔ บท
เดินทางไปประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ถึงพระนครนั้น
เห็นพระราชาเสด็จออกทางประตูด้านตะวันออก จึงยกมือขึ้น
ทูลว่า
ขอพระมหาราชจงทรงพระเจริญแล้วถวายพระพร.

พระราชาทรงไสช้างเข้าไปหาพราหมณ์นั้น ตรัสว่า
พราหมณ์ ท่านมาแต่ไหน ปรารถนาอะไร ควรให้อะไรแก่ท่าน.
พราหมณ์ได้ยินว่า
พระองค์เป็นผู้ปลื้มใจในการฟัง
จึงทูลว่า
ข้าพระองค์รับสตารหคาถา ๔ บท มาเพื่อแสดงถวายแด่พระองค์.
พระมหาสัตว์ทรงดีพระทัย ตรัสว่า
เราไปอุทยานอาบน้ำแล้วจะมาฟัง ท่านอย่ารีบร้อนนะ
แล้วมีรับสั่งว่า
พวกท่านจงไปจัดที่อยู่ ณ เรือนหลังโน้น
และเตรียมอาหารเครื่องนุ่งห่มให้แก่พราหมณ์

แล้วเสด็จไปพระราชอุทยาน จัดอารักขาอย่างใหญ่โต ทรงเปลื้องเครื่องอาภรณ์อันโอฬาร
ทรงแต่งพระมัสสุ ทรงฟอกพระวรกาย ทรงสรงสนาน ณ สระโบกขรณี แล้วเสด็จขึ้น
ทรงประทับยืนนุ่งผ้าสาฎกชุ่มด้วยน้ำ.

ลำดับนั้น พวกเครื่องต้นนำของหอมดอกไม้และเครื่องประดับ เข้าไปถวายพระราชา.
พระเจ้าโปริสาทคิดว่า
ในเวลาแต่งพระองค์ พระราชาจักหนักเกินไป
เราจักจับพระราชาในตอนที่ยังเบานี้แหละ
จึงแผดเสียงแกว่งพระขรรค์
ประกาศชื่อว่า
เราคือโปริสาทแล้วโผล่ขึ้นจากน้ำ.
ควาญช้างเป็นต้นได้ยินเสียงของพระเจ้าโปริสาทนั้น ก็ตกจากช้างเป็นต้น
หมู่ทหารที่ยืนอยู่ไกลก็หนีไปจากนั้น ที่อยู่ใกล้ก็ทิ้งอาวุธของตนนอนหมอบ.
พระเจ้าโปริสาทอุ้มพระราชาประทับนั่งที่คอ กระโดดข้ามกำแพงสูง ๑๘ ศอกไปต่อหน้า
เหยียบกระพองช้างตกมันซึ่งแล่นไปข้างหน้า ให้ล้มลงดุจยอดเขาล้ม
เหยียบหลังม้าแก้วซึ่งวิ่งเร็วให้ล้มลง เหยียบงอนรถให้ล้มลง
ดุจหมุนลูกข่าง ดุจขยี้ใบต้นไทรสีเขียว ไปสิ้นทาง ๓ โยชน์ ด้วยความเร็วรวดเดียว
ไม่เห็นใครติดตาม จึงค่อย ๆ ไป
หยาดน้ำบนพระเกศาของพระเจ้าสุตโสมหล่นลงบนตน สำคัญว่า
หยาดน้ำตา
จึงกล่าวว่า
นี่อะไรกัน แม้สุตโสมยังกันแสงเศร้าโศกถึงความตายเลย.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า เราไม่ได้เศร้าโศกถึงความตายดอก ร้องไห้ที่ไหนกัน
แต่เราเศร้าโศกว่า ธรรมดาการทำตามการนัดหมาย เป็นข้อปฏิบัติของบัณฑิตทั้งหลาย
ข้อนั้นยังไม่สำเร็จ เราให้คนทำอาคันตุกวัตรแก่พราหมณ์ผู้รับสตารหคาถา ๔ บท
ที่พระทศพลพระนามว่ากัสสปะทรงแสดงไว้ แล้วนัดหมายว่า เราอาบน้ำแล้วจักมาฟัง
ท่านรอจนกว่าเราจะมา แล้วไปอุทยาน และท่านไม่ให้เราฟังคาถาเหล่านั้น จับเรามา.

ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

เราถูกพระเจ้าโปริสาทจับไปได้ ระลึกถึงคำปฏิญญา ที่ให้ไว้กะพราหมณ์.
พระเจ้าโปริสาทเอาเชือกร้อยฝ่ามือกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ไว้แล้ว
ทำกษัตริย์เหล่านั้นให้ได้รับความลำบาก นำเราไปด้วย เพื่อต้องการทำพลีกรรม.

บรรดาคำเหล่านั้น ข้อว่า ระลึกถึงคำปฏิญญาที่ให้ไว้กับพราหมณ์ (พฺราหฺมเณ สงฺครํ สรึ)
ได้แก่ ระลึกถึงคำปฏิญญาที่ตนทำไว้กะนันทพราหมณ์.
คำว่า เอาเชือกร้อยฝ่ามือ (อาวุณิตฺวา กรตฺตเล)
ความว่า พระเจ้าโปริสาทเจาะฝ่ามือของกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ที่ไปในพระราชอุทยาน เป็นต้นนั้น ๆ
แล้วนำมาด้วยกำลังของตน แล้วร้อยเชือกเพื่อแขวนไว้ที่ต้นไม้.
คำว่า ทำกษัตริย์เหล่านั้นให้ได้รับความลำบาก (เอเตสํ ปมิลาเปตฺวา)
ความว่า พระเจ้าโปริสาทจับเป็นกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์เหล่านั้น เอาพระบาทขึ้น เอาพระเศียรลง
รุนพระเศียรด้วยส้นเท้า หมุนเชือกที่ร้อยฝ่ามือให้ได้รับความลำบาก
ให้ซูบซีด ให้เดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง ด้วยการแขวนไว้ที่ต้นไม้ และด้วยการงดอาหารทุกชนิด.
คำว่า เพื่อต้องการทำพลีกรรม (ยญฺญตฺเถ)
ได้แก่ เพื่อต้องการทำพลีกรรม คือให้เกิดผลสำเร็จ.
คำว่า นำเราไปด้วย (อุปนยีมมํ) ได้แก่ นำเราเข้าไปด้วย.

พระมหาสัตว์ถูกนำไปอย่างนั้น เมื่อพระเจ้าโปริสาทถามว่า ท่านกลัวความตายไหม.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า
เราไม่กลัวตาย แต่เราเศร้าโศกถึงว่า เราได้นัดหมายพราหมณ์นั้นไว้
ยังไม่ได้ปลดเปลื้องเลย หากท่านปล่อยเรา เราฟังธรรมนั้น
และทำสักการะสัมมานะแก่พราหมณ์นั้นแล้วจักกลับมาอีก.

พระเจ้าโปริสาทกล่าวว่า
เราไม่เชื่อว่าเมื่อเราปล่อยท่านไป แล้วท่านจักมาสู่เงื้อมมือเราอีก.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า
สหายโปริสาท ท่านกับเราเป็นสหายศึกษาในสำนักอาจารย์เดียวกัน
ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราไม่พูดปดแม้เพราะเหตุของชีวิต.


เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสคาถานี้ว่า
เราลูบคลำดาบและหอก สหาย เราขอสาบานกับท่านว่า
เมื่อเราพ้นไปจากท่าน หมดหนี้แล้ว เราเป็นผู้รักษาความสัตย์ จักกลับมาอีก.


โปริสาทคิดว่า สุตโสมนี้กล่าวว่า เราขอสาบาน ซึ่งกษัตริย์ไม่ควรทำ
แม้สุตโสมไปแล้วไม่กลับ ก็จักไม่พ้นจากมือเราไปได้
จึงปล่อยไปด้วยกล่าวว่า

ความนัดหมายใด อันท่านผู้ตั้งอยู่ในความเป็นใหญ่ในแคว้นของตน
ได้ทำไว้กับพราหมณ์ ท่านจงทำการนัดหมายให้ถึงพร้อมแก่พราหมณ์แล้ว
เป็นผู้รักษาความสัตย์ จงกลับมาอีก.


พระมหาสัตว์มีกำลังดุจช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง
เสด็จถึงพระนครนั้นเร็วพลัน ดุจพระจันทร์พ้นจากปากราหู ฉะนั้น.
แม้เสนาของพระองค์ก็คิดว่า
พระเจ้าสุตโสมเป็นบัณฑิตจักทรมานพระเจ้าโปริสาท
แล้วรีบกลับมาดุจช้างตกมัน
จึงพักอยู่นอกพระนคร เพราะเกรงครหาว่า
พวกอำมาตย์ให้พระราชาแก่พระเจ้าโปริสาทแล้วพากันกลับ
ครั้นเห็นพระมหาสัตว์เสด็จมาแต่ไกล จึงลุกขึ้นต้อนรับถวายบังคม
กระทำปฏิสันถารว่า
ข้าแต่มหาราช พระเจ้าโปริสาททำพระองค์ให้ลำบากบ้างหรือ?”
เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสว่า
กรรมที่แม้พระราชมารดาพระราชบิดาของเราทำได้ยาก
พระเจ้าโปริสาทก็ได้ทำแล้ว พระเจ้าโปริสาทดุร้ายหยาบคาย ถึงปานนั้น ยังเชื่อเราแล้วปล่อยเรา

จึงตกแต่งพระราชาให้ประทับบนคอคชสารแวดล้อมเข้าพระนคร.
ชาวพระนครทั้งหมดเห็นพระมหาสัตว์แล้วต่างพากันยินดี.

แม้พระมหาสัตว์ เพราะพระองค์ยึดมั่นในธรรม จึงไม่เข้าเฝ้าพระราชมารดาพระราชบิดา
เสด็จไปยังพระตำหนัก ตรัสเรียกหาพราหมณ์ ทรงกระทำสักการะสัมมานะมากมายแก่พราหมณ์นั้น
เพราะพระองค์ทรงหนักในธรรม พระองค์เองประทับนั่งบนอาสนะที่ต่ำ แล้วตรัสว่า
ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะฟังสตารหคาถาที่ท่านนำมาเพื่อเรา.
ในเวลาที่พระมหาสัตว์ทรงขอร้อง พราหมณ์จึงเอาน้ำหอมพรมมือ
แล้วนำคัมภีร์เป็นที่พอใจออกจากถุง จับด้วยมือทั้งสอง ทูลว่า
ข้าแต่มหาราช ขอได้โปรดฟังเถิด พระเจ้าข้า
เมื่อจะอ่านคัมภีร์ จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า

ข้าแต่พระเจ้าสุตโสม การสมาคมกับสัตบุรุษแม้คราวเดียวเท่านั้น
การสมาคมนั้นย่อมรักษาผู้นั้นได้ แต่การสมาคมมากกับอสัตบุรุษย่อมรักษาไม่ได้
บุคคลควรสมาคมกับสัตบุรุษเท่านั้น ควรทำความคุ้นเคยกับสัตบุรุษ
บุคคลรู้ทั่วถึงสัทธรรมของสัตบุรุษแล้ว มีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อม.

ราชรถวิจิตรงดงามยังคร่ำคร่าได้ อนึ่ง แม้ร่างกายก็เข้าถึงความคร่ำคร่า
แต่ธรรมของสัตบุรุษไม่ถึงความคร่ำคร่า สัตบุรุษแลย่อมยินดีกับสัตบุรุษ
ข้าแต่ราชา ฟ้าและแผ่นดินไกลกัน ฝั่งข้างโน้นของมหาสมุทร เขาก็ว่าไกลกัน
ธรรมของสัตบุรุษและธรรมของอสัตบุรุษ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ไกลกันยิ่งกว่านั้น.


พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้นแล้ว มีพระทัยยินดีว่า การมาของเรามีผล
ทรงดำริว่า
คาถาเหล่านี้ไม่ใช่สาวกกล่าว ไม่ใช่ฤๅษีกล่าว ไม่ใช่กวีกล่าว
ไม่ใช่เทวดากล่าว แต่พระสัพพัญญูนั่นแลกล่าวไว้ จะมีค่าอย่างไรหนอ
ทรงดำริต่อไปว่า
แม้เราจะทำจักรวาลทั้งสิ้นนี้จนถึงพรหมโลกให้เต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการแล้วให้
ยังเป็นการทำอันไม่สมควร แต่เราพอที่จะให้ราชสมบัติในแคว้นกุรุประมาณ ๓๐๐ โยชน์
ในอินทปัตถนครประมาณ ๗ โยชน์ แก่พราหมณ์นั้นได้
แต่พราหมณ์นั้นไม่มีบุญที่จะครองราชสมบัติได้ เป็นความจริง
ความเป็นผู้มีอานุภาพน้อยปรากฏแก่พราหมณ์นั้น โดยมองดูลักษณะของอวัยวะ
เพราะฉะนั้น แม้ราชสมบัติที่ให้ไปก็ดำรงอยู่ไม่ได้ในพราหมณ์คนนี้
จึงตรัสถามว่า
ท่านอาจารย์ ท่านแสดงคาถาเหล่านี้แก่กษัตริย์ทั้งหลายเหล่าอื่น แล้วได้อะไร?”
ทูลว่า
ข้าแต่มหาราช ได้คาถาละร้อย ๆ กหาปณะด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า สตารหคาถา.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสแก่พราหมณ์นั้นว่า
ท่านอาจารย์ ท่านไม่รู้ค่าของสินค้าที่ตนเองถือเที่ยวไป. พระมหาสัตว์กล่าวว่า

ท่านพราหมณ์ คาถาเหล่านี้มีค่า ๑,๐๐๐ กหาปณะ มิใช่มีค่า ๑๐๐ กหาปณะ
ท่านจงรีบรับทรัพย์ ๔
,๐๐๐ กหาปณะไปเถิด.


พระมหาสัตว์ทรงให้ทรัพย์ ๔,๐๐๐ กหาปณะ และยานน้อยที่ใช้สบาย ๑ คัน
ส่งพราหมณ์นั้นไปด้วยสักการะและสัมมานะอันยิ่งใหญ่ ถวายบังคมพระราชมารดาพระราชบิดา
แล้วทูลว่า
หม่อมฉันได้ให้ปฏิญญาไว้แก่พระเจ้าโปริสาทว่า
เราบูชาพระสัทธรรมรัตนะที่พราหมณ์นำมาแล้ว และทำสักการะและสัมมานะแก่พราหมณ์นั้นแล้ว
จะกลับมา
จึงมาได้ สิ่งที่ควรทำควรปฏิบัติแก่พราหมณ์ในข้อนั้น ได้ทำเสร็จแล้ว
บัดนี้ หม่อมฉันจักไปหาโปริสาท
พระราชมารดาพระราชบิดาทรงขอร้องว่า
พ่อสุตโสม ลูกพูดอะไรอย่างนั้น เราจะจับโจรด้วยทหาร ๔ เหล่า อย่าไปหาโจรเลยลูก.
หญิงฟ้อน ๑๖
,๐๐๐ คน แม้บริวารชนที่เหลือต่างก็พากันร่ำไห้ว่า
ข้าแต่เทวะ พระองค์ทำให้พวกหม่อมฉันไร้ที่พึ่ง แล้วจะเสด็จไปไหน.
ได้เกิดโกลาหลขึ้นอีกครั้งว่า
ได้ยินว่า พระราชาจะเสด็จไปหาโจรอีก.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า ธรรมดาการทำตามคำสัตย์ปฏิญญา
เป็นหลักปฏิบัติของสาธุสัตบุรุษทั้งหลาย แม้โปริสาทนั้นก็ยังเชื่อเรา
แล้วปล่อยออกมา เพราะฉะนั้น เราจักไปละ
ถวายบังคมพระราชมารดาพระราชบิดาแล้ว
ทรงสั่งสอนชนที่เหลือ. นางสนมกำนัลในเป็นต้นมีน้ำตานองหน้า ร่ำไห้มีประการต่าง ๆ
ตามส่งเสด็จออกจากพระนคร ทรงเอาไม้ขีดเป็นรอย เพื่อให้ชนพากันกลับ
ตรัสว่า
ชนทั้งหลายอย่าล่วงเลยเส้นขีดของเรานี้แล้วได้เสด็จไป.
มหาชนไม่อาจละเมิดพระดำรัสของพระมหาสัตว์ผู้ทรงเดชได้
จึงคร่ำครวญร้องไห้ด้วยเสียงดัง แล้วพากันกลับ.
พระโพธิสัตว์ได้ไปหาพระเจ้าโปริสาทตามทางที่มานั่นแหละ.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

พระเจ้าโปริสาทได้ถามเราว่า ท่านปรารถนาจะให้ปล่อยหรือ
เราจักทำตามชอบใจของท่าน ถ้าท่านจะกลับมาสู่สำนักเราอีก.

เรารับคำพระเจ้าโปริสาทนั้นว่า ไม่ต้องห่วงถึงการมาของเรา
แล้วกลับไปยังพระนครอันรื่นรมย์ มอบราชสมบัติแล้วในกาลนั้น.

เพราะเราระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษเป็นของเก่าอันพระชินะทั้งหลาย
มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเสพแล้ว เราให้ทรัพย์แก่พราหมณ์แล้ว
จึงเข้าไปหาพระเจ้าโปริสาท.

ในการมาในสำนักพระเจ้าโปริสาทนั้น เราไม่มีความสงสัยว่า จักถูกฆ่าหรือไม่
เราตามรักษาสัจวาจา ยอมสละชีวิตเข้าไปหาพระเจ้าโปริสาท
ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา.

บรรดาคำเหล่านั้น ข้อว่า ท่านปรารถนาจะให้ปล่อยหรือ (กึ ตฺวํ อิจฺฉสิ นิสชฺชํ)
ความว่า ท่านปรารถนาจะให้ปล่อยจากเงื้อมมือของเราเพื่อไปนครของตนหรือ
?
ท่านกล่าวว่า
การพูดคำสัตย์อันเราสะสมมานานแล้วในเมืองตักกศิลาเป็นต้น
เพราะฉะนั้น เราจักทำตามความเห็นของท่าน คือทำตามชอบใจของท่าน.
ข้อว่า ถ้าท่านจะกลับมาสู่สำนักเราอีก (ยทิ เม ตฺวํ ปุเนหิสิ)
ความว่า หากท่านจักกลับมาหาเราอีกโดยแน่นอน.

ข้อว่า ไม่ต้องห่วงถึงการมาของเรา (ปญฺเห อาคมนํ มม)
ความว่า จะป่วยกล่าวไปไยถึงการมาของเรา เรายืนยันการมาของเราแก่พระเจ้าโปริสาทนั้น
แล้วทำสัญญาว่า
จักมาแต่เช้าตรู่ทีเดียว.
ข้อว่า มอบราชสมบัติแล้วในกาลนั้น (รชฺชํ นิยฺยาทยึ ตทา)
ความว่า ในกาลนั้น เราประสงค์จะไปหาพระเจ้าโปริสาท
จึงมอบราชสมบัติ ประมาณ ๓๐๐ โยชน์แก่พระราชมารดาพระราชบิดาว่า
ขอพระองค์ทรงปกครองราชสมบัติของพระองค์เถิด.

เพราะเหตุไร เราจึงมอบราชสมบัติ? เพราะระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ.
เพราะธรรมดาการทำตามคำสัตย์ปฏิญญาเป็นประเพณี
เป็นวงศ์ตระกูลของพระมหาโพธิสัตว์ผู้เป็นสัตบุรุษ คือผู้เป็นคนดี
ฉะนั้น เราจึงระลึกถึงธรรมคือสัจจบารมีนั้น อันเป็นของเก่ามีมาก่อน
อันพระชินะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงประพฤติมาแล้ว
เมื่อจะตามรักษาความสัตย์ จึงให้ทรัพย์แก่พราหมณ์นั้น สละชีวิตของตนเข้าไปหาโปริสาท.
ข้อว่า ในการมาในสำนักพระเจ้าโปริสาทนั้น เราไม่มีความสงสัย (นตฺถิเม สํสโย ตตฺถ)
ความว่า ในการไปหาพระเจ้าโปริสาทนั้น เราไม่มีความสงสัยว่า
พระเจ้าโปริสาทนี้จักฆ่าเราหรือไม่หนอ?”
เรารู้อยู่ว่า
โปริสาทนั้นดุร้ายป่าเถื่อนเตรียมฆ่ากษัตริย์ ๑๐๐ พระองค์กับเรา
ทำพลีกรรมแก่เทวดา จักฆ่าโดยแน่นอน
ตามรักษาสัจวาจาอย่างเดียว
สละชีวิตของตนเข้าไปหาพระเจ้าโปริสาทนั้น เพราะเรื่องเป็นอย่างนี้แหละ
ฉะนั้น ผู้เสมอด้วยสัจจะของเราจึงไม่มี นี้เป็นสัจจบารมี
ที่ถึงความเป็นปรมัตถบารมีของเรา ด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง เมื่อพระมหาสัตว์เข้าไปหาพระเจ้าโปริสาทแล้ว
พระเจ้าโปริสาทเห็นพระพักตร์ของพระมหาสัตว์นั้นมีสง่าดุจกลีบบัวแย้ม
จึงคิดว่า
พระเจ้าสุตโสมนี้ไม่กลัวตาย จึงมา นี้เป็นอานุภาพของอะไรหนอ?”
จึงสันนิษฐานว่า
พระเจ้าสุตโสมนี้เป็นผู้มีเดชและไม่กลัวตายอย่างนี้
เห็นจะเป็นเพราะฟังธรรมนั้นกระมัง แม้เราฟังธรรมนั้นแล้วก็จักเป็นผู้มีเดชและไม่กลัวตายเหมือนกัน

จึงกล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า
ข้าพเจ้าขอฟังสตารหคาถาที่ท่านไปพระนครของตนเพื่อจะฟังได้ไหม.

พระโพธิสัตว์ทรงสดับดังนั้น ทรงดำริว่า พระเจ้าโปริสาทนี้ มีธรรมลามก
เราจักข่มให้ละอายเสียหน่อยหนึ่งแล้วจึงจักกล่าว
จึงตรัสว่า

สัจจะย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีธรรม ผู้หยาบคาย ผู้มีฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือดเป็นนิจ
ธรรมจะมีได้แต่ไหน. ท่านจะฟังไปทำไม.


เมื่อพระเจ้าโปริสาทนั้นเกิดความตั้งใจจะฟังด้วยดี กล่าวว่า

ชนทั้งหลายฟังธรรมแล้วย่อมรู้ดีและชั่ว อนึ่ง ใจของเรายินดีในธรรม
ก็เพราะฟังคาถาทั้งหลาย.


พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า โปริสาทนี้ เกิดความสนใจใคร่จะฟังอย่างยิ่ง
เอาเถิด เราจักกล่าวคาถาแก่เขา
จึงตรัสว่า สหาย ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟังให้ดี
จงใส่ไว้ในใจ
แล้วทรงสดุดีคาถาทั้งหลายทำนองเดียวกับที่นันทพราหมณ์กล่าวโดยเคารพ.
เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวกันในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้น เมื่อทวยเทพซ้องสาธุการ
พระมหาสัตว์จึงทรงแสดงธรรมแก่พระเจ้าโปริสารทว่า

มหาราช การสมาคมกับสัตบุรุษคราวเดียวเท่านั้น การสมาคมนั้น ย่อมรักษาผู้นั้นได้
แต่การสมาคมมากกับอสัตบุรุษย่อมรักษาไม่ได้ บุคคลควรสมาคมกับสัตบุรุษเท่านั้น
ควรทำความคุ้นเคยกับสัตบุรุษ บุคคลรู้ทั่วถึงสัทธรรมของสัตบุรุษแล้ว
มีแต่ความเจริญไม่มีความเสื่อม.

ราชรถวิจิตรงดงามยังคร่ำคร่าได้ อนึ่ง แม้ร่างกายก็เข้าถึงความคร่ำคร่า
แต่ธรรมของสัตบุรุษไม่ถึงความคร่ำคร่า สัตบุรุษแลย่อมยินดีกับด้วยสัตบุรุษ
ข้าแต่ราชา ฟ้าและแผ่นดินไกลกัน ฝั่งข้างโน้นของมหาสมุทร เขาก็ว่าไกลกัน
ธรรมของสัตบุรุษและธรรมของอสัตบุรุษ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ไกลกันยิ่งกว่านั้น.


เมื่อพระเจ้าโปริสาทนั้น ฟังคาถาทั้งหลาย เพราะพระมหาสัตว์ตรัสดีแล้ว
และเพราะบุญญานุภาพของตน สกลกายจึงเต็มไปด้วยปีติมีองค์ ๕.
พระเจ้าโปริสาทมีจิตอ่อนโยนในพระโพธิสัตว์กล่าวว่า
สุตโสมผู้สหาย เราไม่เห็นเงินเป็นต้นที่เป็นของควรให้ เราจักให้พรอย่างหนึ่ง ๆ ในคาถาหนึ่ง ๆ
(มี ๔ คาถา พร ๔ ข้อ).


ลำดับนั้น พระมหาสัตว์รุกรานโปริสาทว่า ท่านไม่รู้ประโยชน์แม้ของตน จักให้พรแก่ผู้อื่นได้อย่างไร?”
ครั้นพระเจ้าโปริสาทขอร้องอีกว่า “ท่านจงรับพรเถิด.

จึงขอพรข้อแรกว่า
เราพึงเห็นโปริสาทไม่มีโรคตลอดกาลนาน.
พระเจ้าโปริสาทดีใจว่า
พระเจ้าสุตโสมนี้ เมื่อเราประสงค์จะฆ่ากินเนื้อในบัดนี้
ยังปรารถนาชีวิตของเราผู้ทำความมหาพินาศอีก
ไม่รู้ว่าถูกลวงให้รับพร จึงได้ให้ไป.
จริงอยู่พระมหาสัตว์ เพราะพระองค์เป็นผู้ฉลาดในอุบาย
ทรงขอชีวิตของพระองค์ โดยอ้างใคร่ขอให้พระเจ้าโปริสาทมีชีวิตอยู่ตลอดกาลนาน.
ต่อไป จึงตรัสขอพรข้อที่ ๒ ว่า
ขอท่านจงให้ชีวิตแก่กษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์.
ขอให้ปล่อยกษัตริย์เหล่านั้นกลับแว่นแคว้นของตน เป็นพรข้อที่ ๓.
ขอให้พระเจ้าโปริสาทเว้นจากการกินเนื้อมนุษย์ เป็นพรข้อที่ ๔.
พระเจ้าโปริสาทให้พร ๓ ข้อ ประสงค์จะไม่ให้พรข้อที่ ๔ แม้กล่าวว่า
ท่านจงขอพรข้ออื่นเถิด
ก็ถูกพระมหาสัตว์ทรงแค่นไค้ จึงได้ให้พรข้อที่ ๔ นั้นจนได้.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงทำให้พระเจ้าโปริสาทหมดพยศ
ทรงให้พระเจ้าโปริสาทปล่อยพระราชาทั้งหลาย
แล้วให้พระราชาเหล่านั้นนอนลงบนพื้นดินค่อย ๆ ดึงเชือกออก
ดุจดึงเส้นด้ายออกจากหูของพวกเด็ก ๆ
ให้พระเจ้าโปริสาทนำหนังมาแผ่นหนึ่งถูกับหิน
แล้วทรงทำสัจกิริยา ทาที่ผ่าพระหัตถ์ของกษัตริย์เหล่านั้น.
ความผาสุกก็ได้มีในขณะนั้นเอง. พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น ๒-๓ วัน
ทรงให้พระเจ้าโปริสาทเยียวยากษัตริย์เหล่านั้นให้หายพระโรค แล้วให้ทำความสนิทสนมฉันมิตร
มีความไม่แตกกันกับกษัตริย์เหล่านั้น แล้วทรงนำพระเจ้าโปริสารทนั้นไปยังกรุงพาราณสี
พร้อมด้วยกษัตริย์เหล่านั้น ให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ ทรงประทานโอวาทว่า
ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิดแล้วทรงส่งพระราชาเหล่านั้นไปยังนครของตน ๆ
ทรงแวดล้อมด้วยหมู่จาตุรงคเสนาของพระองค์ซึ่งมาจากอินทปัตถนคร
เสด็จกลับพระนครของพระองค์ ชนชาวพระนครต่างยินดีเบิกบานห้อมล้อม
เสด็จเข้าภายในพระนคร ถวายบังคมพระมารดาพระบิดา แล้วเสด็จขึ้นสู่พื้นท้องพระโรง.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงให้สร้างศาลาทาน ๖ แห่ง ทรงบริจาคมหาทานทุกวัน
ทรงบำเพ็ญศีลรักษาอุโบสถ เพิ่มพูนบารมีทั้งหลาย.
แม้พระราชาเหล่านั้นก็ทรงตั้งอยู่ในพระโอวาทของพระมหาสัตว์ ทรงทำบุญมีทาน เป็นต้น
เมื่อสวรรคตก็เสด็จสู่สวรรค์.

พระเจ้าโปริสาทในครั้งนั้น ได้เป็นพระองคุลิมาลเถระในบัดนี้
กาฬหัตถีอำมาตย์ในครั้งนั้นได้เป็นพระสารีบุตรเถระในบัดนี้
นันทพราหมณ์ในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนทเถระในบัดนี้
รุกขเทวดาในครั้งนั้นได้เป็นพระมหากัสสปเถระในบัดนี้
พระราชาทั้งหลายในครั้งนั้นได้เป็นพุทธบริษัทในบัดนี้
พระมารดาพระบิดาในครั้งนั้นได้เป็นตระกูลมหาราชในบัดนี้
พระเจ้าสุตโสมมหาราชในครั้งนั้นได้เป็นพระโลกนาถในบัดนี้.

พึงเจาะจงกล่าวแม้บารมีที่เหลือของพระมหาสัตว์นั้น โดยนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั้นแล.
อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาสัตว์ ดุจในอรรถกถาอลีนสัตตุจริยา ด้วยประการฉะนี้.

อรรถกถามหาสุตโสมจริยา จบ


หมายเหตุ
๑. อรรถกถา ใช้ มหาสุตโสมจริยา.
๒. ขุ. ชา. ๒๘/๓๓๘-๓๓๙/๑๓๕-๑๓๖.
๓. ขุ. ชา. ๒๘/๓๔๒/๑๓๖.
๔. ขุ. ชา. ๒๘/๓๔๓/๑๓๗.
๕. ขุ. ชา. ๒๘/๓๕๒/๑๓๙.
๖. ขุ. ชา. ๒๘/๓๖๒/๑๔๒.
๗. ขุ. ชา. ๒๘/๓๔๒/๑๓๖-๗.


(สุตโสมจริยา จริยาปิฎก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๗๔)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP