กระปุกออมสิน Money Literacy

ปรับความคิด เปลี่ยนชีวิต จิตสมดุล


Mr.Messenger
สนใจติดตามข่าวสารการลงทุนได้ที่ http://twitter.com/MrMessenger

คนเรา ควรนอนอย่างน้อย ๗-๘ ชม. ต่อวัน นั้นเป็นสิ่งที่เราได้เรียนมาตั้งแต่เรายังตัวเล็กๆ สมมติว่าเรานอนตามที่ตำราบอกไว้ทุกวัน ก็จะเท่ากับว่า ปีหนึ่งเรานอนไป ๒,๙๔๔ ชม. หรือคิดเป็น ๑๒๒ วัน ซึ่งเท่ากับ ๔ เดือน หมายความว่าชีวิตของคนเรา ใช้เวลาไปถึง ๑ ใน ๓ ให้กับการพักผ่อน

แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตอนนอน ปัญหามันอยู่ที่ตอนตื่นต่างหาก ปัจจุบัน หากคุณเป็นพนักงานบริษัท ลูกจ้างกับนายจ้างอาจตกลงกำหนดเวลาทำงานปกติในวันหนึ่งๆได้ ตามที่ทั้งสองฝ่ายสมัครใจ แต่ทั้งนี้ กฎหมายก็บอกไว้ว่า ตกลงยังไงกันก็ได้ แต่ภายในหนึ่งสัปดาห์ ลูกจ้างต้องทำงานไม่เกิน ๔๘ ชม.ถ้าใครทำงานเฉพาะวันจันทร์ถึงศุกร์ ไม่มีทำงานล่วงเวลาเพิ่มเติม ก็เฉลี่ยแล้วทำงานวันละ ๙.๖ ชม.คิดเป็น ๒,๔๙๖ ชม.ต่อปี หรือ ๑๐๔ วัน น้อยกว่าเวลานอนของเราเสียอีก

นั้นแปลว่า ในชีวิตปกติของพวกเราส่วนใหญ่ เราใช้เวลาในการทำงาน น้อยกว่า เวลาที่เราใช้พักผ่อน นี่เป็นจุดสังเกตข้อที่หนึ่ง ผมใช้ค่าเฉลี่ยนะครับ ใครทำงานหนักกว่านี้ ลองคำนวณมาเป็นจำนวนวัน เทียบกับจำนวน ชม. การนอนของคุณเองก็ได้ จุดสังเกตข้อที่สองก็คือ เราใช้เวลา ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของชีวิตไปกับการนอนพักผ่อน อีก ๒๘ เปอร์เซ็นต์ ใช้ไปกับการทำงาน ... แล้วที่เหลือ ๔๒ เปอร์เซ็นต์ เราใช้ชีวิตไปกับการทำอะไร?

บางเวลาเราก็ใช้ไปกับการทำงานพิเศษเพื่อหารายได้เพิ่มเติมอีกทาง บางเวลาเราก็เอาไปหาความเพลิดเพลินทางอารมณ์เพิ่มขึ้น เช่น ดูหนัง ฟังเพลง หาร้านอาหารอร่อยๆกินข้าว ฯลฯ หรือบางคน เอาเวลาตรงนี้ไปทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่านั้น ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อคนรอบข้าง กิจกรรมที่เราเลือกทำ นอกเหนือจากการนอนพักผ่อน และช่วงเวลาทำงานปกตินี่ เป็นตัวตัดสินครับ ว่าชีวิตเรา ให้น้ำหนักความสำคัญกับอะไร

มันไม่ผิดนะ ถ้าคุณจะใช้เวลา ๔๒ เปอร์เซ็นต์ที่เหลือไปกับการผ่อนคลายสบายอารมณ์ทั้งหมด หากคุณมีความรับผิดชอบในการทำงานเวลาปกติ สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้อย่างไม่ยากลำบากจนเกินไป และมันก็ไม่หนักเกินไป หากคุณจะใช้เวลาที่เหลือมาทำงานเพิ่มขึ้น เพื่อหารายได้เพิ่มเติม เพราะยังมีครอบครัวที่ต้องดูแล ถ้าคุณรู้ตัวว่า รายได้ประจำมันไม่พอกับรายจ่าย แต่มันจะผิดก็ต่อเมื่อ เราทำให้ตัวเองต้องลำบากมากขึ้นในอนาคต ทำให้สมดุลในชีวิตบิดเบี้ยวไป ยกตัวอย่างเช่น รู้ว่ามีภาระหน้าที่ต้องทำ ต้องเลี้ยงดูครอบครัว แต่กลับเอาเวลาที่เหลือไปทิ้งเฉยๆ หรือบางคน มีครบแล้วทุกอย่าง ทั้งหน้าที่การเงิน และครอบครัว แต่กลับไม่สนใจ ยังคงทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนลืมสิ่งที่อยู่ข้างตัวไปซะหมด

ในชีวิตเราต้องการทั้งการพักผ่อน เพื่อที่จะได้ทำงานอย่างเต็มที่ และต้องการการทำงาน เพื่อการดำรงชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข หมุนวนกันไป ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ตั้งหน้าตั้งตาดูจิตดูใจไปอย่างเดียว ประเดี๋ยวก็หมดแรง นักปฏิบัติจึงจำเป็นต้องพักผ่อนอยู่กับสมถะบ้างในคราวที่จำเป็น แต่ครั้นอยู่กับสมถะเพียงอย่างเดียว ไม่ยอมออกมาดูกายดูใจ การพัฒนาก็ไม่เกิด สมดุลระหว่างการพักผ่อนและการทำงาน จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นครับ แต่ที่เรายังพยายามทำให้สมดุลชีวิตมันเพี้ยนไป จากการทำงานหนัก ก็เพราะเราเชื่อว่า เงินที่มีอยู่ในบัญชีมันยังมีไม่พอ (ผิดตั้งแต่ตอนคิดว่ามี เราแล้ว) หรือบางคนก็ปล่อยให้วันเวลาที่ว่าง ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเชื่อว่า ชีวิตนี้ เราไม่เดือดร้อนอะไร (แบบนี้ก็ตั้งตัวอยู่ในความประมาท)

จริงๆแล้ว เรามีพนักงานอยู่คนหนึ่งครับ เขาอยู่บนโลกใบนี้เหมือนเรา เป็นลูกจ้างที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างเดียว ไม่เคยเบี้ยวงาน ไม่เคยคิดพักผ่อน ไม่เคยลาป่วย สมดุลในชีวิตเรอะ ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมของเขา

พนักงานคนนั้น เราเรียกเขาว่า ดอกเบี้ย” (Interest) เพราะตลอดเวลา ๓๖๕ วัน ดอกเบี้ยไม่เคยเบี้ยวงาน แม้แต่วันหยุดปีใหม่ วันเด็ก วันแม่ วันพ่อ ดอกเบี้ยก็ยังคงทำงานของมันอยู่ตลอด ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยให้เราได้ยินซักครั้งเดียว หลายๆคนคงเคยได้ยินประโยคที่นักการเงินเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ นั้นก็คือให้เงินทำงานแทนเราในความหมายของประโยคแท้จริงก็คือ การรับดอกเบี้ยจากเงินออมที่เราอุตส่าห์ตั้งใจทำงานหามันมาได้นั้นเอง ถ้าเราอยากให้เงินทำงานแทนเรา สิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องมีเงินออมเสียก่อน และ หาแหล่งออมเงินที่ให้ดอกเบี้ยดีกว่าการที่เราทิ้งเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์

เมื่อดอกเบี้ยเริ่มทำงาน ความรู้สึกของเราก็จะเหมือนกับมีมือขยันมาช่วยออกแรงหารายได้ให้เราอีกทาง และเมื่อเงินเก็บคุณเยอะขึ้น เงินต้นทบดอกเบี้ยเริ่มเบ่งบาน คำว่าอิสรภาพทางการเงินก็อยู่ไม่ไกล เรื่องการจัดระเบียบและวางแผนสร้างสมดุลให้ชีวิต เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรทำ แต่มีน้อยคนที่ทำได้จริง เมื่อก้าวแรกยังยาก อิสรภาพการเงิน สำหรับใครหลายคนมันเลยเป็นได้แค่คำโก้ๆ ดูหรู ที่ไม่มีทางเป็นไปได้จริง ... แต่มันเป็นไปได้!

ณ วันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่านก็ทรงเห็นว่า สิ่งที่พระองค์รู้นั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ แต่มาวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ถึงแม้จะยาก แต่ก็มีผู้เจริญรอยตามพระองค์อยู่มิขาดสาย

การให้ผู้ช่วยที่เรียกว่าดอกเบี้ยมาช่วยทำงานแทนเรา ก็ทำให้เรามีสมดุลในชีวิตมากขึ้นได้ ไม่ต้องเครียดทำงานหนักเพื่อหาเงินหาทองมาเลี้ยงครอบครัวจนร่างกายรับไม่ไหว ดังนั้นสำหรับผม การใช้ดอกเบี้ย ให้ทำงานแทนเรา ก็เป็นเหมือนเครื่องมือ เพื่อช่วยให้เราออกไปทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อตัวเอง และเพื่อสังคมได้มากขึ้น ผมไม่ปฏิเสธครับ ว่าเงินเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญในชีวิตมันไม่ได้มีแค่เรื่องเงิน (และถ้าคิดให้ดี มันไม่ใช่เรื่องเงินเลยด้วยซ้ำไป) เราทุกคนคงไม่อยากจากโลกไปโดยคิดถึงแต่เงินเพียงอย่างเดียวหรอก ผมเชื่ออย่างนั้น

ว่าแต่อะไรที่สำคัญที่สุด ฝากไปคิดเป็นการบ้าน

ปีใหม่แล้ว กลับมาย้อนดูว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง เพื่อในอนาคตเราจะได้ไม่พลาดกับสิ่งนั้นอีก สวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่านครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP