จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma
การทำบุญอุทิศบุญกุศล (ตอนจบ)
งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
ในคราวก่อน ผมได้ค้างประเด็นว่าบุญกุศลที่เราอุทิศไปให้แก่ผู้อื่นนั้น
จะสามารถไปถึงผู้รับได้อย่างไร ซึ่งจะขอยกมากล่าวอธิบายในตอนนี้
โดยในการอธิบายนั้น ผมขอนำข้อเขียนของท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. แสง จันทร์งาม
มาเล่าเพื่อเป็นการอธิบายนะครับ โดยนำมาจากหนังสือ “ลีลาวดี” ในตอนที่ชื่อว่า “หญิงชรา”
ซึ่งในตอนนี้เป็นเรื่องราวที่หญิงชราคนหนึ่งซึ่งบุตรชายอันเป็นสุดที่รักของเธอได้ถึงแก่มรณกรรม
เรื่องราวโดยย่อก็คือ พระเอกของเรื่องชื่อ “เรวัตตะ” เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
และได้จาริกเดินทางไปทั่วจนได้ไปพบกับหญิงชราคนดังกล่าว
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ! บ่ายวันหนึ่งขณะกำลังเดินอยู่กลางป่า ผมได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากในป่า จึงหยุดยืนฟังด้วยความตั้งใจ เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี ดังมาอย่างโหยหวนจากป่าข้าง ๆ ทาง ทำให้ความเมตตากรุณาเกิดขึ้นในจิตใจของผมทันที พระพุทธเจ้าสอนให้มีความกรุณาสงสารผู้อื่น และหาทางช่วยเหลือเมื่อพอจะช่วยเหลือได้ คิดถึงพระพุทธพจน์ข้อนี้แล้ว ผมจึงตัดสินใจเดินบุกป่าตรงไปทางเสียงนั้น
ภาพที่อยู่ข้างหน้า คือหญิงแก่คนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้าง ๆ กองไฟใหญ่ ผมอาจคาดคะเนเอาได้ทันทีว่า นางกำลังร้องไห้คร่ำครวญถึงคนรักคนใดคนหนึ่งซึ่งตายลง และเวลานี้กำลังถูกไฟเผาอยู่บนเชิงตะกอน
“ดูก่อนอุบาสิกา ท่านกำลังร้องไห้คร่ำครวญถึงใคร”
นางเงยหน้าอันชุ่มโชกด้วยน้ำตาขึ้นมองดูผม แล้วตอบพลางสะอื้น “ดิฉันกำลังคร่ำครวญถึงลูก ดิฉันมีลูกผู้ชายคนเดียว เขาก็มาด่วนจากไปเสีย ลูกเอ๋ย! เจ้าช่างไม่สงสารแม่บ้างเลย” ตอบผมได้เท่านี้ หญิงชราก็คร่ำครวญต่อไป ด้วยเสียงอันดังยิ่งกว่าเดิม ผมปล่อยให้แกร้องไห้ จนเห็นแกเหนื่อยเสียงเบาลงแล้ว จึงเริ่มแสดงธรรมปลอบโยนโดยอุบาย
“ดูก่อนอุบาสิกา! อาตมาจะเล่าเรื่องประหลาดให้ฟังเรื่องหนึ่ง ถ้าท่านอยากจะฟัง อาตมาเชื่อว่าเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้ว บางทีท่านจะสบายใจขึ้นบ้าง”
“พระคุณเจ้าจะเล่าอะไรก็เล่ามาเถิด” หญิงชราตอบอย่างไม่ค่อยสนใจ ยังคงนั่งสะอื้นมองดูกองไฟด้วยดวงตาอันชุ่มด้วยน้ำตา และช้ำแดง ผมจึงเล่าเรื่องที่ผมคิดขึ้นในขณะนั้นว่า “เมื่อวานนี้ ขณะที่เดินทางมาถึงฝั่งแม่น้ำคงคา อาตมาได้พบหญิงคนหนึ่ง กำลังยืนร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนฝั่งแม่น้ำ คล้ายกับที่ท่านกำลังร้องไห้อยู่เดี๋ยวนี้ อาตมาได้ตรงเข้าไปถามนางว่า ร้องไห้ทำไม นางตอบว่า นางได้มายืนอยู่ริมฝั่งน้ำตั้งแต่เช้า พยายามห้ามปรามมิให้น้ำในแม่น้ำไหลไปทางใต้ นางได้ปลอบโยนด้วยคำหวานบ้าง ขู่เข็ญบ้าง ด่าทอบ้าง แต่น้ำก็ไม่ฟังเสียง ยังคงไหลไปไม่หยุดหย่อนตามหน้าที่ของมัน นางเสียใจจึงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ดูก่อนอุบาสิกา ถ้าท่านไปพบหญิงคนนั้นอย่างอาตมา ท่านจะคิดว่าหญิงคนนั้นเป็นคนบ้า หรือคนดี"
“ก็บ้าซิพระคุณเจ้า!” หญิงชราตอบ “มีอย่างที่ไหนแม่น้ำไหลของมันอยู่ปกติ จะไปห้ามให้มันหยุดไหลได้อย่างไร เมื่อห้ามมันไม่ฟังเสียง แล้วร้องไห้เสียใจ ก็คือคนบ้าดี ๆ นี่เอง”
เมื่อหญิงชราเปิดช่องว่างให้เช่นนั้น ผมก็เริ่มรุกทันที “ถ้าหญิงคนนั้นบ้า ท่านก็บ้าด้วยเหมือนกัน”
“ดิฉันบ้าอย่างไร” หญิงชราหันขวับมาถามด้วยความไม่พอใจทันที
“เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งโกรธ ฟังเหตุผลของอาตมาก่อน คนเราทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครสามารถห้ามความตายได้ เพราะเป็นธรรมดาของสัตว์ พืช และสิ่งทั้งปวง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วต้องเสื่อมสลายไป ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดกาล เกิดมาแล้วก็ต้องตายไปตามธรรมดาของมัน เหมือนกระแสน้ำในแม่น้ำคงคาที่ไหลไปไม่หยุดยั้ง บุตรของท่านเกิดมาแล้วก็ตายไปตามธรรมดาของเขา ท่านไม่อยากให้เขาตายเพราะความรักเขา ท่านอยากให้เขาอยู่กับท่านตลอดไป แต่เมื่อเขาไม่อยู่กับท่าน เขาตายจากไป ท่านก็ร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็ไม่แปลกอะไรกับหญิงผู้ห้ามแม่น้ำคงคามิให้ไหลไม่สำเร็จแล้วเสียใจร้องไห้ ฉะนั้น อาตมาจึงกล่าวว่า ท่านก็บ้าเหมือนกับหญิงคนนั้น”
เหตุผลของผม ทำให้หญิงชราหยุดร้องไห้ แกนั่งก้มหน้านิ่งอย่างใช้ความคิด แต่ก็สะอื้นอยู่เป็นครั้งคราว
“ดูก่อนอุบาสิกา” ผมกล่าวต่อไป “คนเราเป็นสัตว์มีเหตุผล จะทำอะไรลงไปก็ควรคิดให้ดีเสียก่อนว่า สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์และความสุขแก่ตน แก่คนอื่นหรือไม่ ถ้าเห็นว่าทำลงไปแล้วไร้ประโยชน์ ก็ไม่ควรทำ การร้องไห้คร่ำครวญถึงบุตรที่ตายไปแล้วนี้ ท่านได้ประโยชน์สุขอะไรบ้าง อาตมาไม่เห็นได้อะไรมาเลย ถึงท่านจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นเลือด บุตรของท่านก็ไม่กลับคืนมา ไม่มีใครเอาแก้วแหวนเงินทองมาให้ท่านเพราะการร้องไห้นี้ ท่านต้องเสียน้ำตา เสียกำลังใจ เสียสุขภาพอนามัย การร้องไห้คร่ำครวญมีแต่ทางเสียอย่างเดียว ไม่มีทางได้เลย เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น คนเราถ้ายังขืนทำสิ่งไร้ประโยชน์อยู่เช่นนี้ จะชื่อว่าเป็นสัตว์มีเหตุผลอย่างไรได้”
“ข้าแต่พระคุณเจ้า!” หญิงชรากล่าวขึ้นด้วยเสียงที่เริ่มแจ่มใสเป็นปกติ “คำพูดของท่าน ช่วยบรรเทาความโศกในใจของดิฉันลงได้มากทีเดียว เป็นพระคุณอย่างล้นเหลือ ที่ท่านช่วยให้แสงสว่างแก่ดิฉัน แต่สำหรับบุตรคนนี้ ดิฉันรักเขาเหลือเกิน เมื่อเขาตายจากไป จึงสุดวิสัยที่จะหักห้ามความโศกไว้ได้”
“ดูก่อนอุบาสิกา! พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความโศกย่อมเกิดจากความรักที่ไม่สมปรารถนา รักมากก็โศกมาก รักน้อยก็โศกน้อย ถ้าไม่รักเลยก็ไม่โศกเลย บุตรคนอื่นตายวันละหลาย ๆ คน ท่านก็รู้สึกเฉย ๆ เพราะท่านไม่มีความรักในเขาเหล่านั้น ถ้าญาติห่าง ๆ ของท่านตายลง ท่านจะโศกบ้างเพราะมีความรักในเขาบ้าง เมื่อบุตรชายของท่านตายลง ท่านโศกเศร้าที่สุด เพราะท่านรักเขามากที่สุด เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงสอนมิให้ยึดถือในอะไรมากเกินไป มิให้ถลำตัวเข้าไปรักจนหลง มิให้ตั้งความหวังแน่วแน่ไว้ในสิ่งใด เพราะเมื่อผิดหวังจะเกิดทุกข์ ท่านจะตั้งความหวังลงไปก็ได้ แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้สำหรับเผชิญกับผลทั้งสองอย่างของมัน คือความสมหวังและความผิดหวัง งานทุกอย่างมีคติเป็นสอง คือสำเร็จกับล้มเหลว กีฬาทุกอย่างมีผลสอง คือแพ้กับชนะ ถ้ารักจะเล่นกีฬาต้องยินดีรับทั้งสองอย่าง ชีวิตนี้มีรสอยู่สองคือหวานกับขม เราต้องพร้อมที่จะรับทั้งสองอย่าง ไม่มีใครได้รับแต่รสหวานอย่างเดียวตลอดชีวิต หรือขมอย่างเดียวตลอดชาติ ต้องได้รับทั้งสองอย่างคลุกเคล้าสลับกันไป ต้องหมั่นพิจารณาให้เห็นสภาพความจริงข้อนี้ แล้วเตรียมตนไว้ให้พร้อม ผู้ไม่เตรียมตัวไว้ เมื่อประสบรสหวานของชีวิตย่อมเป็นบ้าเพราะดีใจ เมื่อประสบรสขมก็เป็นบ้าอีกเพราะเสียใจ ผู้เตรียมตัวไว้ย่อมยิ้มเสมอทั้งในคราวสุขทั้งในคราวทุกข์ ทั้งในคราวสมหวังและผิดหวัง ใจของเขาเข้มแข็งมั่นคงดุจขุนเขาหิมาลัยอันไม่รู้จักหวั่นไหวเพราะลม อันโหมพัดพาจากทิศทั้ง ๔
“ดูก่อนอุบาสิกา! ธรรมดาคนเรา เมื่อรักกันก็ย่อมปรารถนาดีต่อกัน เมื่อชังกันย่อมมุ่งร้ายต่อกัน ท่านรักบุตรของท่าน และปรารถนาดีต่อบุตรของท่านมิใช่หรือ”
“ถูกแล้วพระคุณเจ้า ดิฉันรักเขายิ่งกว่าตัวเองเสียอีก ถ้ามีวิธีใดที่จะทำให้เขามีความสุขได้ ดิฉันจะทำจนสุดความสามารถทีเดียว แต่เวลานี้เขาตายไปเสียแล้ว ดิฉันจะช่วยเขาได้อย่างไร”
“ดูก่อนอุบาสิกา! มีทางช่วยอยู่ทางหนึ่ง คือการอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ท่านจงให้ทานแก่ปฏิคาหกผู้สมควรแก่ทาน หรือตั้งใจรักษาศีลในวันอุโบสถ หรือกระทำคุณงามความดีอย่างอื่น ๆ แล้วตั้งใจแผ่ส่วนบุญไปให้บุตรของท่าน เขาก็จะได้รับแล้วก็มีความสุขสมปรารถนาของท่าน”
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ! ดิฉันยังไม่เข้าใจในคำพูดของท่าน บุตรดิฉันตายไปแล้ว จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ”
“ท่านอาจจะไม่ทราบ” ผมแย้งขึ้น “แต่บุตรของท่านย่อมทราบเสมอว่าท่านอยู่ที่ไหน สมมติว่าวันหนึ่งท่านหนีไปเสียจากหมู่บ้านของท่าน โดยไม่บอกให้ใครรู้ล่วงหน้า สามีของท่านย่อมไม่รู้ว่าท่านไปอยู่ที่ไหน แต่ตัวท่านเองแม้จะไปอยู่ที่ไหนไกลสักเท่าไรก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า สามีของท่านอยู่ที่บ้านนั้นใช่หรือไม่”
หญิงชรารับรอง แต่ก็ยังตั้งข้อสงสัยต่อไป “ถ้าสมมติว่าดิฉันต้องการจะส่งอาหารไปให้บุตรจะทำอย่างไร”
“ท่านก็ให้อาหารเป็นทานแก่ ยาจก วณิพก หรือสมณพราหมณ์แล้วก็อุทิศส่วนบุญไปให้”
“เอ!” หญิงชราอุทานด้วยความสงสัย “เมื่อดิฉันนำอาหารไปถวายแก่สมณพราหมณ์ ท่านก็บริโภคหมดสิ้นไป แล้วอาหารจะไปถึงบุตรดิฉันได้อย่างไร?”
“อาตมามิได้กล่าวว่าอาหารนั้นจะลอยไปยังบุตรของท่าน ตามความจริงแล้ว ไม่มีวัตถุสิ่งใดไปยังบุตรของท่านได้ เพราะเขาได้จากโลกนี้ไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกแห่งจิตใจ เป็นโลกละเอียดจนไม่สามารถจะรับเอาวัตถุหยาบ ๆ เช่น อาหารของมนุษย์ได้ เพราะฉะนั้น อาหารและวัตถุอื่น ๆ ไม่สามารถจะสำเร็จประโยชน์แก่บุตรของท่านโดยตรงได้ การที่อาตมาแนะให้ท่านนำอาหารไปถวายสมณะ ก็เพื่อให้อาหารหยาบนั้น กลายเป็นของละเอียดคือบุญกุศล ซึ่งชีวิตอันละเอียดของบุตรท่านอาจจะรับได้ จริงอยู่เมื่อท่านนำอาหารไปถวายพระ ท่านก็บริโภคหมดไป แต่เบื้องหลังการถวาย การบริโภค และการหมดไปนั้น มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นคือ “ความดีหรือบุญกุศล” แล้วท่านก็อุทิศกุศลนี้แหละไปถึงบุตรของท่าน หมายความว่าบุตรของท่านเป็นวิญญาณละเอียด ไม่สามารถรับของหยาบได้ ท่านจึงนำเอาของหยาบไปแลกของละเอียดส่งไปให้เขา อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง สมมติว่าบุตรของท่านไปตกทุกข์ได้ยากอยู่เมืองไกล ท่านสงสารเขา ปรารถนาจะส่งเรือนไปให้เขาอยู่สักหลังหนึ่ง ท่านจะส่งเรือนทั้งหลังไปให้เขาย่อมทำไม่ได้ ทางที่ดีท่านควรขายเรือนนั้นเสีย แล้วนำเงิน (ที่ได้จากการขายเรือนนั้น) ซึ่งเป็นของละเอียดและเบากว่าส่งไปให้เขา เมื่อเขาได้รับเงินจากท่านแล้ว เขาอาจจะนำเงินนั้นไปซื้อเรือนได้ตามประสงค์ เรือนเปรียบเหมือนอาหารวัตถุที่ท่านใช้ทำบุญ การขายเรือนคือการนำเอาอาหารวัตถุนั้นไปถวายแก่ผู้มีศีล เงินที่ท่านได้จากการขายเรือนคือบุญกุศลที่ได้รับจากการทำบุญนั้น บุญกุศลนี้แหละท่านอาจส่งไปให้บุตรของท่านได้ เพราะบุญกุศลเป็นของละเอียดไม่มีตัวตน เช่นเดียวกับวิญญาณอันละเอียดของบุตรชายของท่าน”
“ดิฉันเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่อีกบ้าง ขอถามด้วย การส่งเงินทองไปให้บุคคลผู้ยังมีชีวิตอยู่นั้น ชีวิตตามปกติก็มักจะมีคนนำไปให้ เพราะเงินทองเป็นของมีตัวมีตน แต่บุญกุศลเป็นของไม่มีตัวตน เราจะส่งไปอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำไปให้แก่ผู้ที่เรามุ่งประสงค์”
“ดูก่อนอุบาสิกา! การอุทิศกุศลไปให้แก่ผู้ตายนั้น ตามสภาพความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรไป ไม่มีอะไรมา ไม่มีคนนำไป อาตมาเปรียบกับการส่งเงิน เพียงเพื่อให้เป็นที่เข้าใจง่ายเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ บุญกุศลไปถึงผู้ตายได้อย่างไร อาตมาจะอธิบายเปรียบเทียบให้ฟัง
สมมติว่า ท่านส่งบุตรชายของท่านไปอยู่ในสำนักทิศาปาโมกข์แห่งเมืองตักกศิลา เพื่อให้ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยา ท่านรักบุตรชายมาก เป็นห่วงคิดถึงเขามาก เอาใจจดจ่อคอยฟังข่าวเขาทุกวัน ต่อมาท่านได้ข่าวว่า บุตรของท่านแทนที่จะไปตั้งใจศึกษาเล่าเรียน กลับไปประพฤติเสียหายโดยประการต่าง ๆ จนอาจารย์ขับเสียจากสำนัก เมื่อได้ทราบข่าวเช่นนี้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร เป็นสุขหรือเป็นทุกข์”
“ดิฉันจะเป็นทุกข์มากทีเดียว” หญิงชราตอบ
“ดูก่อนอุบาสิกา! อะไรเล่าทำให้ท่านเป็นทุกข์”
“การประพฤติชั่วของบุตรของดิฉันนั่นเอง”
“ทีนี้สมมติว่า ต่อมาท่านได้ทราบข่าวใหม่ว่าบุตรชายของท่านกลับตัวได้แล้ว เขาได้เข้าหาอาจารย์ขอประทานอภัยโทษ แล้วตั้งใจศึกษาเล่าเรียนด้วยดี ประพฤติชอบจนเป็นที่รักของอาจารย์และเพื่อนฝูงทั่วไป ใคร ๆ ก็พากันยกย่องชมเชยว่าบุตรของท่านดี เมื่อได้ทราบข่าวเช่นนี้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร เป็นสุขหรือทุกข์”
“เป็นสุขซิ พระคุณเจ้า”
“อะไรทำให้ท่านเป็นสุข”
“การที่บุตรชายของดิฉันกลับตัวเป็นคนดีได้นั่นแหละ”
“ดูก่อนอุบาสิกา! การกระทำดีหรือชั่วแห่งบุตรชายของท่านที่อยู่ห่างไกลถึงเมืองตักกศิลา สามารถให้สุขและทุกข์แก่ท่านได้ฉันใด การทำดีและทำชั่วของท่านในโลกนี้ อาจให้สุขและทุกข์แก่บุตรของท่านผู้อยู่โลกอื่นได้ฉันนั้น ถ้าท่านคิดถึงบุตรชายที่ตายไปแล้ว ปรารถนาให้เขามีความสุข ก็จงทำแต่ความดีแล้วตั้งใจอุทิศไปให้เขา การตั้งใจอุทิศถึงเขาเป็นพิธีการแสดงว่าท่านยังเป็นห่วงคิดถึงเขาอยู่ ยังถือเขาเป็นลูกเป็นเต้าอยู่ ความจริงเพียงแต่ท่านทำความดีเท่านั้น เขาก็เป็นสุขพอแล้ว แต่ถ้าเขาทราบว่า ท่านทำดีเพื่อเขาโดยเฉพาะ เขาจะดีใจและรู้สึกมีความสุขยิ่งขึ้น”
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ! ท่านได้ให้แสงสว่างอันยิ่งใหญ่แก่ดิฉันโดยแท้ ท่านเป็นผู้ชี้หนทางแก่ดิฉันผู้กำลังหลงทาง ท่านเป็นผู้ฉุดดิฉันขึ้นมาจากปลักแห่งความโง่ และความโศก ดิฉันจะปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันไม่มีสิ่งใดจะบูชาคุณของท่าน นอกจากของเล็กน้อยนี้”
ว่าแล้วหญิงชราก็แก้ห่อผ้าออก หยิบเอาเครื่องประดับกายทำด้วยทองจำนวนหนึ่งส่งมาทางผม พลางกล่าวว่า “เครื่องประดับเหล่านี้มีค่ามาก ดิฉันเก็บไว้ ตั้งใจจะให้แก่บุตรชาย แต่เมื่อเขาตายเสียแล้ว ดิฉันขอถวายแก่พระคุณเจ้า ขอได้โปรดรับเถิด”
“ดูก่อนอุบาสิกา! อาตมาเป็นสมณะผู้สละแล้วซึ่งโลกียทรัพย์ทั้งปวง อาตมาไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากอาหารพอเลี้ยงกายไปวันหนึ่ง ๆ และผ้าพอปกปิดร่างกายเท่านั้น ฉะนั้น อาตมาจึงไม่สามารถจะรับของท่านได้ ท่านเก็บไว้เสียเถิด”
หญิงชราไม่ฟังเสียง พยายามคะยั้นคะยอให้รับให้ได้ “ดิฉันได้ตัดสินแล้วที่จะถวายสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน เพื่ออุทิศส่วนกุศลถึงลูก ถ้าไม่เห็นแก่ดิฉัน ก็จงเห็นแก่ลูกของดิฉันด้วยเถิด”
“ถ้าอย่างนั้น จงวางของลงบนพื้นข้างหน้าอาตมา” หญิงชรายกสิ่งของนั้นเหนือศีรษะ อธิษฐานอะไรอุบอิบแล้ว ก็วางลงตามคำสั่ง
“เป็นอันว่าอาตมารับทานของท่านแล้ว บุญกุศลอันเป็นส่วนทานมัยเกิดแก่ท่านแล้ว จงอุทิศส่วนกุศลนั้นถึงบุตรของท่านเถิด ดูก่อนอุบาสิกา เนื่องจากทองจำนวนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับอาตมา เพราะฉะนั้น อาตมาขอให้เป็นทานคืนแก่ท่าน และอุทิศส่วนกุศลนี้ถึงบุตรชายท่านด้วย”
เมื่อเทศนาสั่งสอนหญิงชราจนเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ผมก็กล่าวลาหญิงชรา และออกเดินทางต่อไป
_/\_ _/\_ _/\_
< Prev | Next > |
---|