วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๓๑ (จบ)


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


หากจะเอากระดูกของมนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งเกิดแล้วตายทุกชาติมากองรวมกัน มันก็จะมีมากมายสูงใหญ่ยิ่งกว่าสี่มหาขุนเขาในโลก

หากจะเอาน้ำตาของมนุษย์ผู้หนึ่งที่รินไหลแล้วทุกชาติทุกภพมารวมกัน ก็จะมีปริมาณมากกว่าน้ำในทะเลทั้งสี่มหาสมุทรรวมกันเสียอีก...


ผมอาจถ่ายทอดวาจาแห่งมหาบุรุษท่านไม่ถูกต้องทุกคำ แต่เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลพราก นึกเศร้าสลดใจ พวกเราเกิดตายกันมาเท่าใดแล้วนี่ และยังต้องเกิดตายกันอีกกี่ชาติถึงจะพอ

ชาตินี้เกิดเป็นนาค ชาติหน้าเป็นมนุษย์ ต่อไปอาจเป็นเทวดา ไม่ก็สัตว์นรก อสุรกาย มันช่างไม่มีอะไรแน่นอนเอาเสียเลย ไม่เอาแล้ว อยากหยุดเสียที !

ทำอย่างไรเราถึงจะหยุดวงจรการเกิดตายเช่นนี้ได้ เมื่อเกิดคำถามนี้ผมก็สงสัยใครกันที่จะให้คำตอบนี้ เมื่อฟังเทศน์ต่อผมจึงรู้ มีแต่พุทธองค์ผู้ตรัสรู้ชอบแล้วนั้นถึงสามารถตอบได้ นี่ไง เหตุผลที่ผมศรัทธาพระองค์

สิงหานาคราชนิ่งไปครู่ใหญ่ มองพระพุทธรูปตรงหน้าแววตาไม่เชื่อถือ

ใช่สิ มนุษย์มีเกิดมีตาย แต่นาคราชมีความเป็นอมตะ ดูอย่างท่านกาฬนาคซึ่งนอนสงบมาก่อนพวกเราตั้งนานแสนนาน บัดนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเจ้าปู่ท่านก็ยังเป็นอมตะในรูปลักษณ์สง่างามให้พวกเราได้เคารพศรัทธา วาจาแย้ง

ท่านกาฬนาคมีอายุยืนยาวจริง แต่ใช่ว่าจะไม่มีวันหมดอายุชัย ส่วนเจ้าปู่ท่านได้ลาสังขารตั้งนานแล้ว ด้วยฤทธีอำนาจของท่านจึงยังคงรูปอันงดงามให้ลูกหลานได้บูชาเท่านั้น ส่วนจิตของท่านนั้นก็เกิด ดับ...แล้วไปเวียนว่ายตายเกิดต่อกันไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว

จงหยุดดูแคลนเจ้าปู่เดี๋ยวนี้นะ สิงหานาคราชตวาดลั่น รู้ได้ยังไงว่าเจ้าปู่ไปเร่ร่อนเกิดตายเหมือนพวกมนุษย์ชั้นต่ำทั้งหลาย

ท่านดูนาคาที่ยอมเอาร่างเป็นตั่งบูชาพุทธองค์นี่สิ ริวชี้มือไปเบื้องหน้าแววตาอิ่มเอม

นั่นคือร่างของทัตตะนาคา อดีตผมในชาติก่อน ได้อธิษฐานจิตก่อนลาสังขารให้ร่างของตนคงสภาพเดิม เพื่อเป็นแท่นรองนั่งให้แก่พระพุทธเจ้า ในเมื่อนาคาเล็กๆ เช่นผมยังทำเช่นนี้ได้ ทำไมนาคราชผู้ยิ่งยงจะทิ้งซากสังขารอันงดงามไว้ไม่ได้เล่า

ริวหยุดวาจาไว้เพียงเท่านี้ สิงหานาคราชไม่ตอบคำ ดวงตาที่มองนาคาและพระพุทธรูปเริ่มมีแววแปลกไป


วันเวลาแห่งการถือศีล บำเพ็ญตบะบารมียังดำเนินต่อ การสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัยมีเป็นปกติ ผิดก็แต่ท่าทีสิงหานาคราชเงียบงันกว่าเดิม ไม่แสดงอาการขัดข้องรำคาญต่อการได้ยินได้ฟังเสียงสวด จนกระทั่งใกล้ถึงกาลออกพรรษา ชาวนาคทั้งหลายมีโอกาสพิเศษ ชัยยะนาคาขึ้นไปนิมนต์หลวงพ่อเจ้าอาวาสลงมาเทศนาโปรด

ราตรีที่ท่านลงมาโปรด ทั้งเมืองล้วนสว่างไสวด้วยแสงแห่งธรรมบารมี ริวคุกเข่ากราบด้วยกิริยานอบน้อมสูงสุด สิงหานาคราชเหยียดมองด้วยหางตา แม้จะรู้ภิกษุรูปนี้มีตบะบารมีเหนือกว่าตน แต่ความหยิ่งผยองก็คงอยู่ ไม่คิดเหลือบแลสนใจ

เสียงสวดอาราธนาธรรมดังกระหึ่มกระแสคลื่นศรัทธากระจายไกล จบบทสวดทั้งหมดนิ่งสงบเงียบงัน รอรับฟังธรรมเทศนา

หลวงพ่อก้มกราบพระพุทธรูปก่อนเริ่มเทศน์ เสียงของท่านไม่เบาไม่ดัง ชาวนาคล้วนได้ยินชัดเจน แจ่มแจ้ง คลื่นธรรมหลากไหลชุ่มเย็นซึมซาบสู่จิตใจ

ริวพนมมือตั้งใจฟัง มีสติจดจ่อทุกคำ ปัญญาหมุนติ้วพิจารณาตามกระแสอรรถธรรมที่ได้รับ จิตใจเบา ผ่องแผ้วใสคล้ายแดนพ้นทุกข์อยู่แค่เอื้อม

สิงหานาคราชจงใจไม่สดับรับฟัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้ยิน พยายามทำใจไม่เชื่อถือ ไม่ยอมรับ ก็มีหลายวูบความคิดที่เผลอพิจารณาตามจนจิตเกิดยอมรับ ธรรมข้อนี้จริง!

เมื่อความจริงกระแทกใจหลายครั้ง ความเชื่อเดิมก็เริ่มสั่นคลอน ความเคารพเจ้าปู่ยังมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย อัตตาความคิดหลายอย่างถูกเปิดออกให้เห็นชัดเจน พยายามทำใจไม่เชื่อไม่ได้

เทศนายิ่งนานความตั้งใจแรกที่จะไม่สนใจเริ่มแปรเปลี่ยน กลับมาตั้งใจฟังเพื่อจับผิด ภิกษุรูปนี้จะพูดคำใดให้ตนคัดค้านได้...ใจจดจ่อฟังเพื่อหาช่องว่างข้อผิดพลาด ยิ่งฟังยิ่งหาไม่เจอ หนำซ้ำใจกลับยอมรับโดยไม่รู้ตัว

คำเทศนาจบลง หลวงพ่อเดินมาโปรดที่คุมขังริวกับสิงหานาคราช

ถูกกักขังเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง หลวงพ่อถาม

สบายดีครับ ริวตอบจากใจจริง ใจรู้ตื่นขึ้นเรื่อยๆ

ดีแล้ว รักษาการดำเนินเช่นนี้ต่อไป หลวงพ่อพูดเท่านี้ก่อนหันไปถามสิงหานาคราชผู้บูดบึ้ง

ถูกขังเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง คำถามเดียวกับริว

ลองถูกกักขังบ้างสิ จะได้รู้ว่าเป็นสุขเยี่ยงไร คำตอบยอกย้อนเหน็บแนม

หลวงพ่อยิ้มละไม

อาตมาเคยถูกขังอยู่ในวัฏสงสารนานแล้ว ย่อมรู้ดี คำพูดเรียบง่าย

อะไรคือวัฏสงสาร สิงหานาคราชหลุดปากถาม

สถานที่ซึ่งเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่ามนุษย์ สัตว์ อสุรกาย นาค เทวดา พรหมล้วนต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอย่างไม่รู้ต้นรู้ปลาย

แสดงว่าท่านเคยเกิดเป็นทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว สิงหานาคราชยิ้มเยาะถามเย้ย

ใช่ หลวงพ่อตอบอย่างไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด

คำพูด จะกล่าวเช่นไรก็ได้ แต่ที่ข้าเห็นคือมนุษย์ผู้บวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา

เช่นนั้นนาคราชคงอยากเห็นร่างในชาติก่อนๆ ของอาตมา

ท่านทำได้หรือ วาจาท้าทาย


หลวงพ่อไม่ตอบคำ กิริยายืนสงบนิ่งไม่คิดขุ่นเคืองต่อคำท้าทาย...

ชั่วเวลาไม่นานร่างของท่านก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์หลากหลายแบบ มนุษย์ ชาย หญิง สัตว์แต่ละชนิด เทวบุตร เทวนารี อสุรกาย เปรต สัตว์นรก แลเลื่อนเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบสิ้น จนกระทั่งมาถึงร่างหนึ่ง ซึ่งสะกดให้สิงหานาคราชตะลึงงัน

เจ้าปู่

พญานาคที่ขดตัวอยู่เบื้องหน้าไม่อาจเสแสร้งแกล้งปลอมได้ ผู้ที่ศรัทธาเจ้าปู่อย่างหมดจิตหมดใจเช่นสิงหานาคราชย่อมรู้ ร่างที่ปรากฏต่อหน้าคือเจ้าปู่ของแท้

สุดท้ายกลับมายังร่างของภิกษุองค์เดิม ยืนสงบงันไม่มีวาจาใดต้องพูดอีก

ท่านเคยเป็นเจ้าปู่จริงๆ หรือ? สิงหานาคราชหลุดปากถามอย่างไม่อยากเชื่อถือ

หลวงพ่อไม่ตอบคำ ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว หากผู้ฟังไม่คิดเชื่อต่อให้ออกปากรับรองหนักแน่นปานใดก็ย่อมไม่เชื่อ ถ้าใจยอมรับ สิ่งที่แสดงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ริวก้มกราบหลวงพ่อด้วยความเคารพแทนการขอบคุณ ช่วงเวลาที่ถูกขังรวมกับสิงหานาคราชทำให้พอรู้อากัปกิริยา ความในใจกัน


หลวงพ่อกลับขึ้นไปแล้ว ชาวนาคทั้งหลายยังคงดำเนินกิจวัตรของตนตามปกติ รอวันออกพรรษาที่ใกล้จะมาถึง ธรรมบารมีที่หลวงพ่อมอบให้สร้างความกระจ่างแช่มชื่นแก่ชาวนาคไม่น้อย

กับสิงหานาคราชมันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย

นับจากวันที่ได้รู้เจ้าปู่ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด แถมยังมาเป็นนักบวชในบวรพุทธศาสนาทำให้เขาเงียบงัน ไม่กล่าววาจาแม้สักครึ่งคำ ในใจบังเกิดความรู้สึกหลากหลายอธิบายไม่ถูก กระทั่งตนเองยังบอกไม่ได้ รู้สึกเช่นไร

เวลาที่ล่วงผ่าน เขาใช้ความเงียบเพื่อสะสางปมในใจ


เช้าแห่งวันปวารณาออกพรรษา คุกมนตราอาลัมพายน์เสื่อมคลาย เปิดออก ชัยยะนาคาเข้ามาหาริว บอกให้กลับขึ้นไปยังโลกมนุษย์

ถ้าเพื่อนยังอยู่ที่นี่ต่อ สังขารร่างกายจะรับไม่ไหว ต่อให้มีอำนาจนาคาก็เถอะ

แต่สิงหานาคราช ริวลังเลเหลือบมองเพื่อนร่วมคุกที่ไม่มีท่าทีใดๆ ต่ออิสรภาพที่มาเยือน

ต้องรอดูเอา ชัยยะนาคาก็คาดเดาไม่ถูก

ถ้าเขาขึ้นไปอาละวาดอีกครั้ง พวกเราคงแย่ ริวนึกเป็นห่วง

อย่างที่บอก ต้องรอดู สหายนาคายิ้มปลอบ ข้ามีศรัทธาต่อธรรมะพุทธองค์ เชื่อว่าสิงหานาคราชคงได้ซึมซับธรรมะเข้าไปบ้างไม่มากก็น้อย

ฟังเช่นนี้หัวอกริวค่อยคลาย เป็นความรู้สึกของผู้ศรัทธาและเข้าใจในธรรมด้วยกันถึงยอมรับ

ริวออกจากคุกมองเห็นสิงหานาคราชยังนั่งกับที่ดุจเดิมราวรูปสลักอันเย็นชา สีหน้าเขาเรียบเฉย ริมฝีปากหุบสนิท นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด ยังมีปัญหาสำคัญที่สะสางไม่สำเร็จ

เมื่อยืนกลางลานเบื้องนอกเห็นเหล่านาคา นาคีนั่งกระจายเป็นระเบียบแน่นขนัด ล้อมรอบพระพุทธรูป คลื่นความศรัทธากระจายออกมาดังกระแสธารอันอบอุ่น ริวมองชัยยะนาคารอยยิ้มปลาบปลื้มประดับบนใบหน้า

ประทีปแห่งศรัทธา คืนนี้พวกเราจะจุดดวงประทีปแห่งศรัทธากัน

ริวระลึกได้ในราตรีนี้หลังจากเจริญศีล บำเพ็ญบารมีมาถึงสามเดือนเต็มๆ คลื่นแห่งศรัทธาและดวงจิตที่เต็มไปด้วยความเคารพจะก่อให้เกิดดวงประทีปน้อยลอยสู่เบื้องบนเพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้า

มันอาจเป็นสิ่งเล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อเหล่าสรรพสัตว์ มันเป็นช่วงเวลาอันแสนสั้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาหลายอสงไขย นับแสนกัป ที่พระองค์บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้ธรรมมาสั่งสอนสัตว์โลก

ประทีปศรัทธา หรือบั้งไฟพญานาคอาจเป็นปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ที่เหล่ามนุษย์ทั้งหลายมองเห็นอย่างตื่นตาตื่นใจ ชื่นชม ศรัทธา แต่หารู้ไม่ปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคือ ปาฏิหาริย์จากพระพุทธองค์ ปาฏิหาริย์ที่พระองค์มาเกิด ตรัสรู้ เที่ยวสั่งสอนสัตว์โลกให้พ้นทุกข์

เทศนาปาฏิหาริย์ของพระองค์สามารถเปลี่ยนปุถุชน ให้กลายเป็นอริยบุคคลได้เพียงชั่วธรรมจบบท

ปาฏิหาริย์เช่นนี้มีผู้ใดทำได้ นอกจากสมเด็จองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่มี

ประทีปศรัทธาก็แค่แสงดวงเล็กๆ ที่เหล่านาคน้อมแสดงเพื่อคารวะบูชาพุทธคุณอันยิ่งใหญ่...

ริวหันไปมองนาคาผู้เป็นเพื่อน รอยยิ้มความผูกพันโยงใยใจสู่ใจ

จุดเผื่อเราด้วยนะ จะคอยชื่นชมอยู่ข้างบน

ได้สิ ข้าก็คงเหลือเวลาจุดประทีปอีกไม่นานแล้ว ใบหน้าชัยยะนาคาผุดผ่อง ใสกระจ่างจนริวนึกเอะใจ

หรือว่าเพื่อนบำเพ็ญบารมีเพียงพอแล้ว ริวยินดี

อีกฝ่ายพยักหน้า ปีติฉายชัดในแววตา

อีกไม่นาน คำพูดสั้นชัดเจน การบำเพ็ญบารมีรักษาศีลมานับพันปีใกล้ถึงจุดหมายที่ต้องการเสียที


ริวขึ้นมาจากเมืองบาดาลถึงริมฝั่งแม่น้ำโขงตอนเย็น ผู้คนทยอยมากันแล้ว เขารู้ว่าจะได้พบรอยจันทร์และกองถ่ายที่ไหน...

ชายหนุ่มจบเรื่องเรียบร้อย ผู้ฟังทั้งสองอดมึนงงไม่ได้ สิ่งที่ได้ยินราวกับเป็นนิทานโกหก ถ้าคนพูดไม่ใช่ริว รับรองพวกเขาไม่เชื่อเด็ดขาด

ที่เล่ามานี่สรุปว่าสิงหานาคราชก็ถูกปล่อยมาเหมือนกัน รอยจันทร์เป็นห่วงเรื่องนี้

ก็ใช่ ริวตอบ

ถ้าอย่างนั้น ความหวั่นเกรงเริ่มก่อเกิด

อย่าเพิ่งเป็นห่วงเลย ออกไปดูประทีป เอ้อ...บั้งไฟกันเถอะ ริวออกปากชวน เขาต้องการร่วมชื่นชมและอนุโมทนากับเหล่านาคทั้งหลาย

ไปสิ เธียรไม่ขัด


เริ่มดึก ผู้คนบางส่วนทยอยกลับหมุนเวียนให้หน้าใหม่ๆ ได้มีโอกาสดูบั้งไฟ ริว รอยจันทร์ และเธียรลัดเลาะหามุมเหมาะๆ ที่มีคนน้อยมายืนดู อาศัย ความมืดรอบๆ จึงไม่มีชาวบ้านสังเกตว่ามีดาราร่วมกลุ่ม

ลูกบั้งไฟทยอยขึ้นเป็นระยะจุดนี้บ้าง จุดโน้นบ้าง ขึ้นแต่ละครั้งผู้คนก็เฮรับกันสนุกสนาน ดูนานๆ เริ่มเบื่อรอยจันทร์จึงชวนคุย

ริวรู้มั้ย ป้าแดงเขาตามหาตัวแกให้ควั่กเลย หญิงสาวเห็นเป็นเรื่องขัน

ทำไมจะชวนผมเป็นนายแบบอีกหรือไง ริวไม่ใส่ใจ

เออสิ...รู้มั้ย แฟชั่นที่แกไปถ่ายคราวนั้นน่ะดังระเบิดเลย โทรศัพท์ที่โรงพิมพ์สายแทบไหม้ อยากรู้นายแบบเป็นใคร ฉันเองก็โดนด้วย พวกผู้จัดละครโทร.มาชวนเช้าชวนเย็นอยากให้แกไปลงละครให้ คิดดูนะฉันอยู่ในวงการมาตั้งหลายปียังไม่ดังเท่านี้ แกแค่ถ่ายปกหนังสือฉบับเดียว น่าอิจฉาชะมัด

ริวหัวเราะไม่สนใจ

เดี๋ยวคนก็ลืมแล้วละเจ๊ อย่าใส่ใจนักเลย

แล้วแกไม่คิดอยากเข้าวงการหรือไง รุ่งแน่เชื่อฉันเถอะ รอยจันทร์ชวน

ไม่ละ ผมพบสิ่งที่ต้องการทำที่สุดแล้ว คำพูดของเขาหนักแน่นจนหญิงสาวนึกสงสัย ความมั่นใจเช่นนี้แสดงว่าริวไม่เปลี่ยนความคิดแน่นอน

อะไรหรือ

ริวไม่ตอบ เวลานั้นผู้คนกำลังฮือฮาลั่นกับสิ่งที่เห็น กลางลำแม่น้ำโขง...


ลูกไฟกลมโตสีแดงสด มีขนาดประมาณลูกมะพร้าว นับว่าใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา ลอยขึ้นเหนือลำน้ำมีจำนวนนับพันในคราวเดียว แสงสีแดงอาบแม่น้ำทั้งสายให้ส่องประกายระยับจับตา ความงดงามพาให้ทุกคนตื่นตะลึงอ้าปากค้าง

ระลอกที่หนึ่งผ่านไป มีระลอกสองตามมา ขนาดใหญ่กว่าเดิม จำนวนมากกว่านับเท่าตัว ลูกไฟกระจายขึ้นทั่วทุกจุดของแม่น้ำราวกับจะอวดสายตาทุกผู้คนให้เห็นชัดเจน

หลังจากนั้นทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ผู้คนที่รออยู่ริมฝั่งต่างนิ่งเงียบ รับรู้ร่วมกันว่าปาฏิหาริย์บั้งไฟคืนนี้ยังไม่หมด รออีกสักนิดสิ่งที่พวกเขาอาจจะได้เห็นเพียงครั้งเดียวในชีวิตจะบังเกิดขึ้น

และแล้วที่กึ่งกลางลำน้ำ ลูกไฟกลมโตขนาดเท่าพระจันทร์วันเพ็ญก็ลอยขึ้นช้าๆ สะกดสายตาทุกคนให้จ้องมองตะลึงงัน ไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าส่งเสียงราวกับกลัวสิ่งที่เห็นจะอันตรธานหายไปในพริบตา

ลูกไฟลอยสูงเหนือระดับริมตลิ่งก็หยุดนิ่ง ส่องแสงสีอ่อนกระจายทั่วจากนั้นปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงที่สุดในชีวิตก็บังเกิด

ท่ามกลางแสงสีของบั้งไฟเหนือลำน้ำโขง เงาร่างบางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะยาวๆ เหมือนงูขนาดใหญ่กำลังแหวกว่ายไปมา แสดงความยินดีปรีดา บนศีรษะงูมองเห็นหงอนและแผงคอรางๆ สิ่งนั้นแหวกว่ายชูคอปรากฏแก่สายตาเพียงชั่วนาทีเดียวก็มุดหายลงไปในน้ำ

รอยจันทร์กับเธียรใจหายวาบ...นั่นคือสิงหานาคราช

บั้งไฟลูกสุดท้ายหรี่ลงจนดับวูบ ผู้คนเพิ่งได้สติส่งเสียงฮือฮาอื้ออึงสองหนุ่มสาวมองหน้าริวเหมือนต้องการทราบเจตนา สิงหานาคราชแสดงตัวเพื่ออะไร

ริวยิ้มน้อยๆ จิตสื่อถึงใจนาคราชผู้เคยร่วมต้องขังชัดเจน บัดนี้สิงหานาคราชสามารรถคลายปมในใจออกหมดแล้ว อัตตาเดิมถูกถอน ทุกสิ่งที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสเทศนาให้ฟังถูกนำมาทบทวนย้อนคิด จิตเห็นความจริงยอมรับจนเกิดศรัทธาขึ้นอย่างมหาศาล และนั่นคือปรากฏการณ์บั้งไฟในช่วงสุดท้าย

รอยจันทร์เห็นรอยยิ้มน้องชายค่อยคลายใจ บัดนี้เมฆหมอกแห่งความอาฆาต พยาบาทถูกสะสางจนสิ้น เหลือคนเดินดินต้องดำเนินชีวิตต่อไป

หล่อนยังนึกสงสัย ที่ริวบอกว่า พบสิ่งที่ต้องการทำอย่างที่สุดแล้ว มันคืออะไรกันแน่ รู้ว่าถามไปคงไม่ได้คำตอบ อย่างน้อยก็ยินดีที่เขากลับมา อีกทั้งสะสางเรื่องราวจนสิงหานาคราชยอมแพ้ทั้งกายและใจ

รอยจันทร์ไม่อาจรู้เลยว่า ความพ่ายแพ้ของนาคราชผู้นี้ ไม่ได้เกิดจากฝีมือริว ไม่ได้เกิดจากมนต์อาลัมพายน์ แต่เกิดจากใจของตน ที่ยอมรับและมองเห็นความหลงผิดแต่กาลก่อน

เมื่อแสงสว่างมาถึง ความมืดย่อมถูกขจัดสิ้นไป...และเมื่อรู้ถูก ย่อมขจัดความหลงผิดในใจได้

คืนนี้บั้งไฟพญานาคคงหมดแล้ว ผู้คนทยอยกลับกันเป็นส่วนใหญ่ที่หลงเหลือคงเป็นพวกขี้เมาตั้งวงโต้รุ่ง ริวชวนทุกคนกลับขึ้นรถ ลักษณะท่าทางเขายามนี้ดูมีสง่าราศีขึ้นผิดตา ดวงหน้าใสกระจ่างกว่าเคย แววตาอ่อนนุ่มแผ่ความเย็นออกมาแก่คนรอบข้าง

รอยจันทร์อาจคิดไปเอง ที่สังหรณ์ใจ...อาจต้องเสียริวไปอีกครั้งแน่นอน


-----000-----


ทางเดินเล็กๆ ทอดลัดเลี้ยวซอกซอนตามแนวต้นไม้ที่ร่มครึ้ม สองข้างทางหนาแน่นด้วยหญ้าคา ต้นไม้ล้มลุก เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งปรู๊ดปร๊าดกลับไปกลับมาน่าเวียนหัว ดวงหน้าเล็กๆ ขาวใสนัยน์ตากลมโต ฉายแววฉลาดซุกซน

คุณพ่อ คุณแม่เร็วๆ หน่อยสิ เด็กชายร้องเรียกบิดามารดาที่เดินตาม

ลุย...เดินระวังนะลูกไม่รู้มีงูเงี้ยวอยู่หรือเปล่า ผู้เป็นแม่ออกปากเตือน

ไม่มีหรอกน่า เด็กน้อยหันมายิ้มแป้นแล้น เลื้อยหนีจู๊ดไปกันหมดแล้ว

สองสามีภรรยาส่ายหน้าระอา คุ้นเคยกับความดื้อ ซนของเจ้าตัวเล็กดี

ไม่รู้ครูบาจะอยู่กุฏิหรือเปล่านะ ฝ่ายชายพูดกับภรรยา

คงอยู่นะคะ ตะกี้หลวงพ่อท่านก็ให้มาที่กุฏิได้เลย

ที่นี่เป็นวัดป่ามีต้นไม้ร่มครึ้ม เนื้อที่บริเวณกว้างขวาง สงบเงียบ นอกจากศาลาใหญ่ที่ด้านหน้าแล้ว กุฏิแต่ละหลังล้วนกระจัดกระจาย ตั้งห่างกันโดดเดี่ยวเป็นเอกเทศ

ทั้งคู่หันมาคุยกันสองสามคำ เหลียวดูอีกทีลูกชายหายแวบไปเสียแล้ว ผู้เป็นแม่ต้องรีบสาวเท้าเดินตามอย่างเร็ว ปากก็ร้องเรียก

ลุย...ลุย...อยู่ไหนลูก

คนเป็นพ่อไม่เดือดเนื้อร้อนใจนัก เจ้าตัวเล็กมีความจำเป็นเลิศ มาวัดนี้แค่ครั้งสองครั้งก็รู้จักแทบทุกซอกทุกมุม รับรองไม่หลง ป่านนี้อาจไปนั่งเอ้เตที่กุฏิหลวงน้าแล้วก็ได้

จริงดังคาด พอเดินพ้นโค้งไม่กี่เลี้ยวก็พบลูกชายนั่งยิ้มแป้นอยู่กับภิกษุหนุ่ม ที่ดูเหมือนจงใจครองจีวรเรียบร้อยมานั่งรอหน้ากุฏิ

นมัสการครับครูบา เธียรยกมือไหว้ คำเรียกขานนี้ใช้ตามคนในภูมิภาค

ภิกษุหนุ่มยิ้มรับ มองดูครอบครัวเล็กๆ ที่มาหาโดยไม่เอ่ยปากอะไร

ครูบามานั่งรอเลยหรือคะ รอยจันทร์เห็นเช่นนี้ก็สรุปเอง

เสียงเจ้าลุยมันดังลั่นป่าอย่างนั้น ขืนไม่ออกมารอ มันคงทุบกุฏิพัง

คำพูดไม่เกินจริงคราวก่อนเจ้าตัวเล็กมาเยี่ยมกับพ่อแม่ไม่พบ หลวงน้า ก็เล่นทุบประตูเรียกเสียงดังลั่น

ว่ายังไง คราวนี้มาชวนสึกอีกหรือเปล่า พระภิกษุแกล้งถามเดาใจ

ไม่แล้วค่ะ ยอมแพ้ ท่านจะบวชนานแค่ไหนก็สุดแต่ศรัทธา รอยจันทร์พูด


ริวออกบวชหลังจากรอยจันทร์แต่งงานกับเธียรเรียบร้อย ทีแรกเขาบอกว่าเรียนจบแล้วจะขอบวชสักระยะ ทุกคนจึงไม่ขัดแต่พอบวชไปบวชมาไม่มีทีท่าว่าจะสึก ทั้งพี่สาวพี่เขยก็เทียวมาไถ่ถาม ฝ่ายพระก็บอกง่ายๆ รออีกสักระยะ...จนผ่านไปหลายปี หลานชายโตจนเข้าโรงเรียนแล้วพระริวก็ยังไม่สึก สุดท้ายฆราวาสทั้งสองต้องเลิกถาม

เป็นยังไงบ้างล่ะ สบายดีมั้ย คราวนี้พระถามทุกข์สุขโยม

ดีครับทั้งงานทั้งครอบครัว ตอนนี้รอยเขาก็ตั้งท้องลูกคนที่สองแล้ว เธียรเป็นฝ่ายตอบ

หลังจากเคลียร์หนี้สินจนหมด ไม่มีปัญหา เธียรแทบหมดตัว เงินที่เหลือนำมาตั้งบริษัทเล็กๆ ทำกิจการพอเลี้ยงตัวซึ่งมันไปได้สวยในระยะหลัง

ส่วนรอยจันทร์ก็ถอยมาทำงานเบื้องหลังเลิกรับเล่นละคร มีบ้างก็แค่งานพิธีกรกับเดินแบบ ถ่ายแบบประปราย ชีวิตครอบครัวราบรื่น มีความสุขตามอัตภาพ

มาคราวนี้ก็เพราะเจ้าลุยมันอยากดูบั้งไฟพญานาคอีกแล้ว ผู้เป็นแม่นินทาลูกชาย

ก็ลุยชอบ เด็กชายเถียงทันที แม่ไม่เห็นเหรอ ข้างใต้น้ำน่ะมีพญานาคตั้งเยอะพวกเขายิ้มให้ลุยด้วย

พญานาคยิ้มได้ มีด้วยเหรอ ผู้เป็นพ่อคิดว่าลูกชายเป็นเด็กช่างฝันจินตนาการสูง

ได้สิ พวกเขายังบอกว่าปีหน้าให้มาอีกนะ

เด็กชายพูดเป็นคุ้งเป็นแควสองพ่อแม่ไม่อยากเชื่อ ภิกษุหนุ่มอมยิ้ม มองเจ้าตัวเล็กอย่างเมตตาเห็นใบหน้า เพื่อนเก่า ซ้อนอยู่ภายใน

อืมม์ แล้วคืนนี้จะพักที่ไหนล่ะ พระถาม

คงเป็นโรงแรมที่อุดรค่ะท่าน รอยจันทร์ตอบ

เลือกดีๆ นะ ฟังคำพูดเหมือนไม่มีอะไร แต่รอยแย้มที่ริมฝีปากทำให้อีกฝ่ายรู้ทัน

เจ้าค่ะ ไม่เลือกโรงแรมผีแน่ หญิงสาวขันปนขุ่น ประสบการณ์สยองเมื่อหลายปีก่อนยังจำฝังใจ

ผีไม่เห็นน่ากลัวเลย เจ้าลุยแทรกขึ้น นัยน์ตาแจ่มแจ๋ว บางตัวก็ใจดีออก เวลาลุยอยู่คนเดียวก็มาชวนคุย มีเรื่องสนุกๆ ตั้งเยอะ

ดูสิท่าน รอยจันทร์ถอนใจส่ายหน้ามองลูกชาย ไม่รู้ถอดแบบใครมาทั้งนิสัย ทั้งหน้าตา

พระยิ้มรับไม่พูดจา...ใครก็รู้เจ้าลุย ถอด น้าชายมาแทบไม่ผิดเพี้ยน

วงสนทนาดำเนินต่ออีกครู่ใหญ่ การเยี่ยมเยียนจบลงที่ถวายของใช้ข้าวของจำเป็น จากนั้นจึงลากลับ

พระภิกษุหนุ่ม มองครอบครัวพี่สาวจนลับตา แล้วค่อยลงจากกุฏิ ถือไม้กวาดยาวเตรียมทำกิจวัตรในตอนบ่าย

รอยจันทร์เคยถาม...ทำไมท่านไม่ยอมสึก...ความเป็นพระมีอะไรดี

เขาไม่ตอบ เพราะตอบไปพี่สาวก็คงไม่เข้าใจ

กับคนที่มองเห็นกงล้อแห่งวัฏสงสาร เห็นการเกิดตายในแต่ละชาติของตนจนเบื่อหน่าย หวาดกลัว ไม่ต้องการประสบ ทุกข์ แบบเดิมซ้ำๆ ซากๆ อีก ย่อมมองหาทางรอด

การปฏิบัติธรรมดำเนินรอยตามคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือทางรอดสายเดียว

เขาพบและบำเพ็ญเพียรจนเกิดความเชื่อมั่นไม่คลอนแคลนแล้ว มีหรือจะยอมละจากเส้นทาง

ณ วันนี้อาจยังไม่ถึงฝั่งสุดท้ายที่ต้องการ แต่เขามีศรัทธาเชื่อมั่น ตราบใดที่ดำเนินตามรอยบาทแห่งพุทธองค์โดยไม่หยุดเสียกลางทาง ย่อมมีสักวันที่บรรลุสู่จุดมุ่งหมาย


จบบริบูรณ์



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP