เล่าเรื่องเมืองพุทธ Lite Story

บุคคลตัวอย่าง


Story

โดย พายธาริน

หลาย ๆ คน คงเคยมีบุคคลต้นแบบในดวงใจ
บ้างก็เป็นดารา นักแสดง ทั้งในและต่างประเทศ
หรือเป็นนักบุญ นักสังคมสงเคราะห์ นักวิทยาศาสตร์
นักเศรษฐศาสตร์ นักการปกครอง ที่เก่ง ๆ ก็ว่ากันไปค่ะ

แต่บุคคลที่ชาวพุทธทุกท่านควรยึดไว้เป็นหลักของใจ
และเป็นตัวอย่างในหลาย ๆ ด้าน
คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมมหาศาสดาของเรา
เล่าเรื่องเมืองพุทธฉบับนี้ ขออาราธนาพุทธพระวัติที่เป็นต้นแบบ
ผ่านธรรมเทศนาของหลวงพ่อพุธ ฐานิโยค่ะ


 

พระพุทธเจ้ามีความดีหลายอย่างที่เราต้องเอาตัวอย่างของท่านมาประพฤติ
จะว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลตัวอย่างก็ได้

พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลตัวอย่างแห่งการศึกษาดี
ตามประวัติ ท่านศึกษาตามหลักสูตรแห่งการศึกษาในสมัยนั้น
เรียกว่าจบบริบูรณ์ หมายถึง วิชาการปกครอง วิชาเกษตรกรรม

วิชาเกษตรกรรมนี้ปรากฏในพุทธประวัติ
คนในตระกูลของพระพุทธเจ้าทุกองค์มีคำว่า "โอทนะ"
ลงท้ายกัน โอทนะ แปลว่า ข้าวสุก เช่น พระเจ้าสุทโธทนะ โธโตทนะ อมิโตทนะ เป็นต้น
มีแต่คำว่า ข้าวสุก ต่อท้ายพระนามของท่านเหล่านั้น
จึงแสดงว่าตระกูลของพระพุทธเจ้าเป็นตระกูลชาวนา เป็นกษัตริย์
แต่ว่าสนใจในเรื่องเกษตรกรรมคือการเพาะปลูก เพราะอาศัยข้าวเป็นปัจจัยสำคัญแห่งชีวิตความเป็นอยู่
จึงได้ยึดเอาข้าวเป็นหลักและตั้งชื่อลูกหลานมีคำว่า โอทนะ ต่อท้าย

พระพุทธเจ้าได้ศึกษาสำเร็จวิชาการปกครอง การเกษตร ศีลธรรม และวัฒนธรรม
เรียกว่ามีความรู้เพียงพอที่จะเป็นกษัตริย์ครองแผ่นดินได้
อันนี้คือตัวอย่างแห่งบุคคลผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับสูง

อีกตัวอย่างหนึ่ง พระองค์เป็นตัวอย่างของบุคคลผู้เสียสละ
พระองค์เสียสละความสุขส่วนพระองค์เสด็จออกบวชเพื่อแสวงหาทางสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
แม้ว่าความเป็นอยู่ของพระองค์จะเทียบเท่ากับความเป็นอยู่ของเทวดาบนสรวงสวรรค์
แต่พระองค์ไม่อาลัยไยดี ยอมสละทรัพย์สมบัติและความสุขเหล่านั้น
แล้วออกบวชเพื่อบำเพ็ญกรณียกิจความเป็นพระพุทธเจ้าจนสำเร็จ
อันนี้เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้เสียสละและเป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้มีความรู้ชั้นสูงจนได้เป็นศาสดาเอกของปวงชน

อีกตัวอย่างหนึ่งนั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้เฉลียวฉลาด
สามารถรู้อริยสัจธรรมทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
จนได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นี้เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้มีปัญญาเหนือโลก


และเมื่อพระองค์สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
พระองค์บริสุทธิ์สะอาดด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ
กายของพระองค์ไม่มีการฆ่าและไม่มีการเบียดเบียน การทำร้ายด้วยประการทั้งปวง
วาจาของพระองค์ก็รับสั่งด้วยถ้อยคำอันไพเราะ แสดงธรรมแก่ปวงชน
ปรากฏความงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด

งามในเบื้องต้นคือความงามแห่งผู้มีศีล
งามในท่ามกลางคือเป็นผู้มีความมั่นใจในธรรม
งามในเบื้องปลายคือความงามในผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด จิตรู้เท่าทันสภาวธรรม อันนี้ก็คือตัวอย่างอันหนึ่ง

เมื่อพระองค์สำเร็จความปรารถนาของพระองค์ คือสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ถ้าพระองค์จะถือสิทธิในความสำเร็จของพระองค์ เพียงเสวยสุขส่วนพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
ก็ไม่มีใครมีอำนาจเอาพระองค์ไปลงโทษหรือไปทรมานใด ๆ ได้ทั้งสิ้น

ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังสละความสุขส่วนพระองค์
ไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ
มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ ทรงชี้แจงประโยชน์ในปัจจุบันและประโยชน์ในสัมปรายภพ
และประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน เป็นต้น

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมตามอุปนิสัยวาสนาบารมีของผู้ฟังธรรม
ผู้ที่มีความสามารถสถิตอยู่ในโลก ยังปลดเปลื้องความสุขทางโลกออกไม่ได้
พระองค์ก็สอนให้มีความหมั่นความขยันหมั่นเพียรในการประกอบการทำมาหากินเลี้ยงชีพ
แสวงหาผลประโยชน์ทางทรัพย์สินสมบัติ ตั้งหลักฐานให้มั่นคง

เมื่อแสวงหาสมบัติ สร้างหลักฐานได้มั่นคงดีแล้ว
พระองค์ก็ยังสอนให้รู้จักรักษาทรัพย์ที่ได้มามิให้เสื่อมสูญ จึงบอกให้คบแต่มิตรที่ดี
ลักษณะของมิตรที่ดีนั้น แม้แต่คิดก็คิดดี พูดก็พูดดี กระทำก็ทำดี
รวมความว่า กาย วาจา ใจ บำเพ็ญเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลที่เป็นมิตร

การกระทำด้วยกายก็เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้คบหาสมาคม
พูดก็ชักจูงแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ช่วยคิดอ่านแก้ไขปัญหาให้ตกไปด้วยดี
อันนี้คือลักษณะของมิตรที่ดี (กัลยาณมิตร) เป็นอุบายที่จะรักษาทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ให้ยืนยงคงทนต่อไป

ประการสุดท้าย พระองค์สอนให้รู้จักจับจ่ายใช้สอยให้มีความสุขตามสมควรแก่ฐานะ
ไม่มากและไม่น้อยนัก คือรู้จักประมาณในการบริโภคใช้สอยในทรัพย์สมบัติที่มีอยู่
อันนี้คือหลักการของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนสาธุชนผู้ดำรงชีวิต อันเป็นหลักใหญ่ ๆ

เมื่อสาธุชนมีความสมบูรณ์พูนสุขดี มีหลักฐานมั่นคงดีแล้ว
ตั้งใจทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ประโยชน์ในสัมปรายภพ
หรือทำประโยชน์ในปัจจุบันเพื่อไปสู่สวรรค์นั้นเป็นของไม่ยาก
เพราะเมื่อเรามีพร้อมก็พร้อมที่จะทำประโยชน์เพื่อทุกสิ่งทุกอย่างต่อไปได้

แต่ถ้าเราขาดตกบกพร่องก็ไม่มีโอกาสจะทำได้อย่างเต็มที่
แม้แต่การประพฤติปฏิบัติธรรมก็อาศัยปัจจัย ๔ คือ ความสมบูรณ์พูนสุขของเราด้วย
ธรรมะคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรืออะไรก็ตามที่เราถือว่าเป็นของดีนั้น
ย่อมตั้งอยู่บนรากฐานความมั่นคงของโลก
เพราะโลกที่มีความมั่นคง ศีลธรรมและวัฒนธรรมก็ดำรงอยู่ได้ตลอดกาล
แต่ถ้าโลกนี้ขาดความมั่นคง โลกนี้ก็อยู่ในฐานะไม่ดี ไม่มีสุข


เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนหลักประโยชน์ทั้งสองดังกล่าวแล้ว
ผู้ที่เข้าถึงประโยชน์ในปัจจุบันและประโยชน์ในสัมปรายภพย่อมมี
ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บุคคลผู้ใฝ่ธรรมะมีความคิดถึงประโยชน์ของฐานะความสูงของจิตใจขึ้นไปโดยลำดับ

และพระองค์ก็ทรงสอนให้บำเพ็ญเพียรภาวนา
เพื่อจะได้สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน
และทำจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงในหลักแห่งความเจริญของสภาวธรรม

หรือให้รู้จักหลักความจริงของคดีโลกและคดีธรรม
ผู้อยู่ในคดีโลกหรือทางโลกควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร
ผู้ที่อยู่ในกระแสแห่งธรรมควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร ท่านได้วางหลักการไว้ให้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หวังประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพานนั้น จะหนีหลักศีล หลักสมาธิ หลักปัญญาไม่ได้



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP