วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๒๙


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


ชีวิตในแต่ละวันของริวดำเนินอย่างราบรื่น ไม่มีห่วงกังวลผูกมัดใจ เจริญสติอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน ไม่หน่วงเหนี่ยวอดีต ไม่นำพาอนาคต

ใช้ชีวิตปกติ ตื่นตั้งแต่ตีสี่ กวาดถูศาลาใหญ่ รวมถึงศาลาที่พักของตน ตีห้ากว่าร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้ากับพระ พอสว่างพระออกบิณฑบาต ก็จะตามคอยรับอาหารที่ถ่ายจากบาตรเป็นระยะ หลังพระฉันเสร็จจะนำบาตรหลวงพ่อเจ้าอาวาสไปล้างทำความสะอาด และกลับมาเช็ดถูศาลา

สายๆ พระต่างเข้าทางจงกรมแยกย้ายปฏิบัติธรรม ริวจะเดินดูตามกุฏิต่างๆ พอเห็นมีที่ชำรุดเสียหายก็จะซ่อมแซม ดูแลความเรียบร้อย ตกบ่ายกวาดใบไม้ เตรียมน้ำร้อนน้ำชาประเคนพระ เย็นๆ เตรียมตัวสวดมนต์ทำวัตรเย็น ตกค่ำพระเข้ากุฏิบำเพ็ญภาวนา ริวคิดจะปฏิบัติตามแต่หลวงพ่อกลับแนะนำให้เขาเดินจงกรมแทน


แต่ละวันผ่านไปเช่นนี้ หัวใจแช่มชื่นโปร่งเบา เขายังไม่สามารถรักษาสติให้เกิดตลอดเวลาได้ จิตใจยังแส่ส่ายตามปกติ แต่ยามใดที่ความคิดปรุงแต่งเกี่ยวกับอดีต อนาคตผุดขึ้น สติจะคอยไล่ตามทันเร็วกว่าเดิม ผิดกับแรกๆ ที่มักเผลอสติครั้งละนานๆ ไม่จดจ่อกับงานตรงหน้า

ที่เผลอบ่อยที่สุดคงเป็นเรื่องของน้ำฝน ความทรงจำเก่าๆ ที่ขยันผุดขึ้นมาราวกับนั่งดูภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรกพบ ออกเดต ไปทำบุญร่วมกัน ความตาย สูญเสีย...

แรกๆ อารมณ์ ความคิดมันรุมเร้าเสียจนสติตามไม่ทัน เสียเวลาเผลอไปทีละนาน ๆ ทั้งที่รู้ว่าความคิดเหล่านั้นมันเป็นภัยรบกวนจิตใจ มองเห็นโทษของมันชัดเจน แต่ใจไม่ยอมรับคอยแต่จะคิดแวบไปหาอยู่เรื่อย

จนค่อยยอมรับ...จิตมันจะคิด ห้ามมันไม่ได้...

ปล่อยให้ความคิดคำนึง ปล่อยให้ภาพหวานชื่น ออกมาเพ่นพ่านในใจ แล้วค่อยตามรู้ง่ายๆ ไม่ทำอะไรกับมัน ไม่แทรกแซง ไม่บังคับ ปล่อยตามสบาย

...มันเกิดก็รู้ มันดับไปก็รู้...รู้บ่อยจนจิตจำสภาวะต่าง ๆ ในใจได้ สติก็เกิดขึ้นเอง ครั้งต่อไป เมื่อความคิดถึงปรากฏ สติไล่ตามทัน มันก็ดับให้เห็นต่อหน้า ใจค่อยเบาลง

การทำงานประจำวันในวัดของเขาเป็นเครื่องมือชั้นดี ช่วยเกื้อหนุนการเจริญสติ จนไม่นึกสนใจกับวันเวลาที่ผ่าน

จิตใจสบายปรุงแต่งน้อยลง เบาตัว เบาใจ ไม่มีภาระใดๆ มาก่อกวน รู้สึกเป็นสุขจนอดอุทานกับตัวเองไม่ได้

ริวดำเนินตนเช่นนี้ เขาจะลืมกำหนดนัดกับสิงหานาคราชหรือไม่


-----000-----


คฤหาสน์นาคพิทักษ์เงียบงัน อ้างว้างวังเวงคล้ายป่าช้าโบราณ ลูกจ้างคนงานออกไปหมดแล้ว ประตูห้องหับทุกบานปิดสนิท ของประดับมีค่าทุกชิ้นถูกเก็บไม่อาจวางโชว์ตามที่ที่มันเคยอยู่ มองทางไหนมีแต่โล่งว่างไม่เหลืออะไร

เธียรเดินดูบ้านตนทุกซอกทุกมุม ทั้งที่ส่วนบ้านเก่าต้นตระกูลรวมถึงส่วนต่อเติมเป็นคฤหาสน์ใหม่ มันช่างใหญ่โตอลังการเมื่อเทียบกับตัวเขา

บ้านหลังนี้เคยมีความทรงจำที่ดีในวัยเยาว์ แต่ละมุมมีภาพอบอุ่นของครอบครัว พอเดินออกมาเบื้องนอกเห็นสนามหญ้ากว้าง เนื้อที่พอๆ กับสนามฟุตบอลสามสี่แห่งรวมกัน ต้นไม้ใหญ่หลายต้นเก่าแก่มีอายุยืนนานถูกรักษาไว้อย่างดี ถนนเล็กๆ พาเดินรอบพื้นที่บริเวณทั้งหมด

เธียรตั้งใจเดินให้ทั่วอาณาเขตคฤหาสน์นาคพิทักษ์ มือล้วงกระเป๋าทอดขาเอื่อยๆ สวนที่นี่กว้างเกินไปสำหรับบ้านคนธรรมดา แต่มีเนื้อที่เพียงพอต่อการหักหาญชิงชัย

มันอาจเป็นการเดินชม สมบัติโลก ครั้งสุดท้าย...คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง อาสาฬหบูชา กำหนดนัดหมายกับศัตรู เขาไม่จำเป็นต้องไปที่ไหน คฤหาสน์นาคพิทักษ์จะเป็นสถานที่เผชิญหน้าศัตรู เขามั่นใจสิงหานาคราชต้องรู้ ริวก็เช่นกัน

ยืนกลางสนามหญ้า เงยหน้ามองท้องฟ้ารู้สึกตนเองกระจิริด ปล่อยใจให้โบยบินเป็นอิสระมุ่งไปหาหญิงสาวในดวงใจ...รอยจันทร์


-----000-----


เสียงโทรศัพท์มือถือดังเป็นจังหวะดนตรี รอยจันทร์คว้ามาเปิดรับทันที

ฮัลโหลพี่เธียรใช่มั้ยคะ ชื่อเขาโชว์อยู่ในเครื่อง

ใช่จ้ะ เป็นยังไงบ้าง เธียรถามด้วยเสียงอบอุ่น

คิดถึง เป็นห่วงพี่ เป็นห่วงเจ้าริวด้วย หญิงสาวยอมหยุดงานวันนี้เพื่อรอคอยชายอันเป็นที่รักทั้งสองคน

พี่ไม่เป็นไร สบายดีรอยไม่ต้องห่วงหรอก เขาพูดจากใจที่โปร่งโล่ง

ไม่ให้ห่วงได้ยังไงคะ ก็วันนี้... หล่อนไม่กล้าเอ่ยปาก วันนี้จะตัดสินผลความเป็นความตาย

ริวติดต่อมาหรือยัง เธียรถามขึ้น

ยังค่ะ แต่รอยก็ไม่ห่วงมันเท่าพี่ เป้าหมายสิงหานาคราชอยู่ที่เธียร

พี่ฝึกมนต์สำเร็จแล้ว สบายใจได้ ชายหนุ่มบอกความจริงแค่ครึ่งเดียวให้หล่อนสบายใจ

ดีจังเลย ตอนนี้พี่เธียรอยู่ที่ไหน รอยไปหาได้มั้ย ใจหล่อนโลดแล่น ตั้งแต่เห็นเขาโทร.มาแล้ว

อย่ามาหาพี่เลย เอาไว้เรื่องเรียบร้อยแล้ว พี่จะไปหารอยเอง เขาฝืนหักใจทั้งที่อยากพบหน้าหล่อน

การประจันหน้าคืนนี้ ไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ มนต์อาลัมพายน์สำหรับมือใหม่เช่นเขาจะสามารถปราบจอมนาคราชร้ายได้หรือไม่ยังไม่แน่

รอยเอาใจช่วยนะคะ หญิงสาวให้กำลังใจ

จ้ะ เขารับคำเต็มตื้น หัวอกอุ่นระอุ ภาพสัมพันธ์งดงามเก่าก่อนย้อนหวนกลับมาอีกครั้ง

โทรศัพท์ถูกวางไปแล้ว รอยจันทร์ไม่สามารถสงบใจเหมือนอย่างพูด ความเป็นห่วงทบทวีถึงสองเท่า ทั้งคนรัก ทั้งน้องชาย

ริวเงียบหายปราศจากตัวตน ไม่ส่งข่าวคราว ไม่โทรศัพท์บอกสักคำ กระทั่งวันสำคัญเช่นนี้ควรกลับบ้านก่อนเขายังไม่มา

หญิงสาวเดินงุ่นง่านทำตัวไม่ถูก หัวอกร้อนรุ่มแทบตาย พวกเขานัดกันวันนี้ก็จริง แต่ไม่พูดถึงสถานที่สักคำ รู้กันเองโดยนัย กำหนดเอาตามความพอใจ ทำให้หล่อนไม่สามารถตามไปดูได้...คิดจนหัวแทบแตกยังไม่รู้พวกเขาจะสู้กันที่ไหน

พยายามสงบใจ ตั้งสตินับหนึ่งสองสาม คิดถึงสมัยเด็กที่พ่อแม่พาไปถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัด จิตใจคุ้นเคยต่อความสงบ อยู่ใกล้กระแสแห่งบุญกุศลความร้อนรุ่มค่อยจาง พอใจคอเย็นลงจึงขึ้นไปห้องพระ จุดธูป นั่งพนมมือ อธิษฐานจิต ขอคุณพระรัตนตรัยช่วยคุ้มครองเธียรกับริว

จากนั้นเข้าไปห้องนอนตน มีรูปพ่อแม่ตั้งเด่นบนหัวเตียง ยกมือพนมสำรวมจิตมั่น ระลึกถึงภาพที่ครอบครัวเคยร่วมสร้างกุศล สวดมนต์ใส่บาตรนั่งสมาธิ พ่อแม่มีแต่ความเย็นใจให้แก่ลูกๆ สร้างทรัพย์ภายในทิ้งไว้ก่อนลาโลก จิตใจรอยจันทร์สงบเย็นไม่ผิดกับสมัยเด็กๆ ใบหน้าพ่อแม่ลอยมาในห้วงคำนึง

พ่อคะ แม่คะ ริวกับพี่เธียรกำลังอยู่ในช่วงความเป็นความตาย หนูไม่รู้จะช่วยพวกเขายังไง คุณพ่อคุณแม่ช่วยปกปักคุ้มครองรักษาพวกเขาด้วยนะคะ

พอบอกเช่นนั้นจิตใจค่อยเบา ภาระภายในผ่อนคลายกว่าครึ่ง จมูกสัมผัสกลิ่นหอมลอยอบอวลคล้ายกลิ่นมะลิแต่หอมกว่าเย็นกว่ากำซาบลึกจนเกิดปีติ ใจคอโล่ง สติเคลิ้ม ร่างกายผ่อนคลาย ความวิตกกังวลบินหนีมองเห็นรอบตัวมีแสงระเรื่อ อ่อนละมุนเย็นสบาย


มองเห็นริวเดินเข้ามาในบ้าน รอยยิ้มสว่างไสวดังเดิม ใบหน้าฉายราศีชัดทั้งที่แต่งตัวง่ายๆ อย่างที่เคยเห็นแต่ไหนแต่ไรมา

ริว รอยจันทร์ร้องเรียกดีใจ โผกอดเขาอย่างลืมตัว

สัมผัสกอดตอบแนบแน่น ชัดเจน อบอุ่น เสียงหัวเราะของเขาดังอยู่ใกล้ๆ

โห...เจ๊ทำท่าเป็นนางเอกเชียว กอดผิดคนหรือเปล่า ผมไม่ใช่พี่เธียรนะ

หล่อนยันตัว ยิ้มใส่ดวงตาคู่สุกสกาวของเขา ริวดูแปลกไป ถึงรูปร่างหน้าตาไม่เปลี่ยนแต่มีสง่าราศีกว่าเดิม ใบหน้าเนียนใสจนสว่าง นัยน์ตาส่องประกายระยับ บรรจุพลังไว้เต็มเปี่ยม

ฉันคิดถึงแกมากรู้มั้ย หายไปตั้งนานไม่ยอมส่งข่าวคราวบ้างเลย น้ำเสียงตัดพ้อ

ก็ผมมายืนอยู่ตรงนี้แล้วไง คิดถึงเจ๊เหมือนกัน ไม่มีคนประคารมด้วยไม่ค่อยสนุกเลย

เป็นยังไงบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยสิ หล่อนอยากรู้ทุกเรื่องราวของเขา

ริวประคองหญิงสาวนั่งลง ส่วนเขาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า บีบมือหล่อนหลวมๆ

ผมไม่มีเวลาเล่ารายละเอียดทั้งหมดหรอกนะ...พี่เธียรกำลังทำหน้าที่ของเขาอยู่ ผมก็มีหน้าที่ต้องไปช่วย...อย่างสุดความสามารถ

ริว... รอยจันทร์สะกดกลั้นคำพูด อย่าไป ไว้เต็มที่ ขบริมฝีปากแน่นเรียกความเข้มแข็งคืนมา

ผมไม่รู้หรอกว่าผลการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นยังไง แต่ผมต้องทำให้สิงหานาคราชยอมแพ้ทั้งกายและใจให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทุ่มเทสูญเสียอะไรไปก็ตาม

พี่ช่วยอะไรได้บ้างมั้ย หญิงสาวใช้ความเข้มแข็งหลุดประโยคนี้ออกมา

ริวยิ้มให้หล่อนทั้งปากและนัยน์ตา

ช่วยใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข เป็นพี่สาวที่ผมรักอย่างนี้ตลอดไป เท่านี้ก็พอแล้ว

หญิงสาวกลืนก้อนแข็งๆ ลงลำคอ เอื้อมมืออีกข้างลูบแก้มเขาเบาๆ รอยอุ่นสัมผัสปลายนิ้ว ดวงตาคมสบตอบหล่อนอย่างอ่อนโยน เด็กผู้ชายที่เห็นตั้งแต่เล็ก บัดนี้โตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว เป็นผู้ใหญ่มากกว่าหล่อนด้วยซ้ำ

พี่รักแกมากนะริว หล่อนพูดคำนี้อย่างเต็มตื้น น้ำใสๆ ไหลรินเกินยับยั้ง

ผมก็รักพี่เหมือนกัน...รอย เขาปล่อยมือลุกขึ้นยืน ก้าวถอยหลังช้าๆ รอยจันทร์ลุกตามยกมืออยากจะฉุดรั้ง เรียกให้รอ

ชายหนุ่มถอยหลังห่างออกไป ใจหญิงสาววิบวับ ราวจะสูญเสียของรัก

ริว...จะไปไหน รอพี่ด้วย บอกกันก่อน รอยจันทร์ตะโกนก้อง ก้าวขาจะวิ่งตามแต่มันไม่ขยับ ได้แต่มองชายหนุ่มยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนหันหลังเดินจากไป

ริว...อย่าเพิ่งไป เสียงร้องก้องกังวาน ไม่อาจฉุดรั้งร่างที่แลลิบๆ ไว้ได้


ฉับพลันรอยจันทร์ก็มองเห็นคฤหาสน์นาคพิทักษ์ตั้งตระหง่าน เบื้องบนมีเมฆสีเทาปกคลุมครึ้ม เบื้องล่างดารดาษด้วยอสรพิษนับร้อย...เธียรและริวอยู่ท่ามกลางพวกมัน...

หญิงสาวสะดุ้งตื่นพบตนเองนอนอยู่บนเตียง ไฟเปิดสว่าง นอกบ้านตกอยู่ในความมืด ลุกขึ้นเบลอๆ จับต้นชนปลายไม่ถูกอะไรคือจริง...อะไรคือฝัน

ครู่ใหญ่ความคิดถูกจัดระเบียบเรียบร้อยต้องสะดุ้งเฮือกอีกครา คืนนี้กำหนดนัดหล่อนรู้จักสถานที่แล้ว เมื่อครู่ริวมาบอกลา จะด้วยวิธีใดก็ช่างเถอะ...ต้องตามพวกเขาไปให้ได้ ถึงตนเองไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ยังอยากตามไป

ใช้เวลาไม่กี่นาทีเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว คว้ากุญแจปิดบ้าน เปิดประตูเตรียมเอารถออกแต่พอบิดกุญแจสตาร์ทรถ

...แชะ...แชะ...สตาร์ทไม่ติด

บ้าชะมัด ถึงรถคันนี้จะไม่ใช่ใหม่เอี่ยมป้ายแดง แต่ก็ไม่เก่ารุ่นสังคโลก ปกติใช้งานดีไม่เคยเก สตาร์ทครั้งเดียวติด เครื่องไม่เคยรวน ทำไมคืนนี้มีปัญหา

พยายามสตาร์ทรถอีกสองสามครั้งก็ถอดใจ รอยจันทร์เหมือนผู้หญิงทั่วไป ขับรถเป็นอย่างเดียว หน้าที่ดูแลรักษาปล่อยให้น้องชาย

เจอเหตุการณ์อย่างนี้ได้แต่สละรถ วิ่งหาแท็กซี่ที่หน้าปากซอย ระยะทางไม่ใช่น้อย แต่ไม่มีอะไรขวางรอยจันทร์ได้

ยืนอยู่หน้าป้ายรถเมล์มองหาแท็กซี่ พบแต่คันที่เต็ม ผู้คนมองหล่อนอย่างสงสัย ใบหน้าสะดุดตาขนาดนี้น่าจะเป็นดารา หญิงสาวทำเป็นไม่สนใจทั้งที่อึดอัด รอแท็กซี่เกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ได้ สุดท้ายตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมาหลายปีตั้งแต่มีชื่อเสียง

ขึ้นรถเมล์ !

เป็นอย่างไรเป็นกัน คืนนี้ต้องไปคฤหาสน์นาคพิทักษ์ให้ได้ ถึงมีอะไรขัดขวางก็จะฝ่าสุดกำลัง ต่อให้ช่วยอะไรไม่ได้เลยก็จะขอยืนดูให้กำลังใจข้างๆ

ผู้ชายสองคนในโลกที่มีความสำคัญต่อหล่อนยิ่งอยู่ที่นั่น...รอยจันทร์คงอยู่บ้านรอฟังข่าวเฉยๆ ไม่ได้แน่




บทที่ ๒๕


ปีกราตรีคลี่คลุมรวดเร็ว พยับเมฆสีเทาเคลื่อนตัวเชื่องช้า จันทร์เพ็ญกลมโตลอยเด่นส่องแสงสกาวก่อนมีริ้วเมฆบางๆ พาดผ่านให้เกิดรอยราคี

บริเวณคฤหาสน์นาคพิทักษ์สงัดเงียบ อึมครึมยิ่งกว่าป่าช้าอายุนับร้อยปี ใบไม้ทุกใบนิ่งสนิท กิ่งก้านไม่ไหวเอน ยอดหญ้าสงบงันราวกับเป็นแดนต้องห้ามถูกกลิ่นอายมนตราต้องสาป

ตัวคฤหาสน์ตั้งโดดเด่นแสงจันทร์ระเรื่ออาบไล้ฉาบทามองเห็นหลืบเงาแห่งความวังเวง เมฆดำเข้าบดบังจันทรากั้นรัศมีฉายทำให้ทุกสิ่งตกอยู่ในเงาตะคุ่ม

เธียรนั่งหลับตารอคอยอยู่กลางห้องโถงใหญ่ชั้นล่างคฤหาสน์นาคพิทักษ์เพียงลำพัง ความกว้างของห้องกดให้รู้สึกเดียวดาย ภายในเปิดไฟดวงเล็กพอให้มีแสงรำไร ผ้าม่านถูกรูดเปิดจนหมด หน้าต่างกว้างปล่อยให้สายลมรัตติกาลเดินทางเข้ามาทักทาย

อากาศเย็นโชยผะแผ่วสัมผัสแขน กลิ่นจางๆ ลอยเอื่อยกระทบ นัยน์ตาเขายังปิดสนิท ประสาทกลับตื่นตัว สติพร้อม หูแว่วเสียงแสกสากเคลื่อนเข้ามารอบตัว

ลืมตา ลุกขึ้นยืน มือล้วงกระเป๋ากิริยาปล่อยตัวไม่สังเกตสนใจต่อสิ่งผิดปกติ สาวเท้ามายังริมหน้าต่างสายตารับภาพชัดเจน

ขบวนงูนับหมื่นแสนประมาณจำนวนไม่ถูกกำลังเลื้อยเต็มสนามหญ้า มีบางส่วนเลื้อยถึงเขตตัวบ้าน ท่าทางฮึกเหิมลำพองใจ อาการเคลื่อนตัวพวกมันดังคลื่นทยอยซัดเป็นระลอก

เธียรเคยฝันเห็นกองทัพงูเลื้อยไล่ล่าในฝัน เขาวิ่งหนีแทบไม่คิดชีวิต เหนื่อยสุดทนไม่อาจพ้นพวกมัน

กองทัพงูในบ้านวันนี้มีปริมาณเกินฝันหลายเท่า สนามหญ้ากว้างใหญ่จดกำแพงไม่มีที่พอให้พวกมันเบียดเสียดกัน

หลายตัวที่เข้าบ้านต่างชูคอแผ่แม่เบี้ยแสดงอาการคุกคามจนน่าขยาด รอบตัวเรียงรายด้วยอสรพิษร้าย เธียรไม่รู้สึกกลัวสักนิด จิตใจสงบราบเรียบ ความเมตตาสงสารก่อเกิดขึ้นมาในใจ

ชายหนุ่มเดินออกจากห้องประจันกับทัพหน้าฝูงอสรพิษที่ชูคอแผ่แม่เบี้ยกันสลอน เมตตาจับหัวใจ ริมฝีปากขมุบขมิบสวดบทขันธปริตที่ริวเคยแนะนำ


วิรูปักเข หิเม เมตตัง เมตตัง เอรา ปะเทหิเม

...ข้าพเจ้ามีเมตตาจิตต่องูตระกูลวิรูปักขะทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีเมตตาจิตกับงูตระกูลเอราปถะทั้งหลาย


กระแสเสียงอ่อนโยนทอดนุ่ม สาวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง ฝูงงูทัพหน้ายืดตัวขึ้นสูงเตรียมจู่โจม ชายหนุ่มยังตั้งสติมั่น มองพวกมันด้วยความรู้สึกดังเดิม


มา มัง อะปาทะโก หิงสิ...ขอสัตว์ไม่มีเท้า อย่าได้เบียดเบียนข้าพเจ้าเลย


ฝีเท้าสม่ำเสมอไม่มีสะดุดสักนิด จนเคลื่อนเข้าใกล้พวกมันแทบชิด ฝ่ายตรงข้ามลดระดับแม่เบี้ยลง สัมผัสต่อกระแสเมตตานี้ได้ แต่แล้วกลับมีอำนาจคำสั่งลึกลับพุ่งปลาบ พวกมันยกตัวขึ้นอีกครั้งดวงตาวาว แผ่แม่เบี้ยเต็มที่พร้อมพุ่งเข้าใส่


กะตาเมรักขา กะตาเมปะริตตา ปะฏิกกะมันตุ ภูตานิ โสหัง นะโม ภะคะวะโต

ขอสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จงหลบหลีกไปเสียเถิด เพราะการรักษาป้องกันอันข้าพเจ้าได้ทำไว้แล้ว เพราะข้าพเจ้านั้น กระทำความนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่


เธียรไม่หวาดหวั่น จิตใจแนบชิดกับบทสวด ความปรารถนาดีแผ่ออกโดยรอบ ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ มั่นใจการกระทำของตนแน่วแน่ ยอมสละชีพหากต้องตาย หัวใจไม่เสื่อมคลายมั่นคงต่อคุณพระรัตนตรัยที่ตนนับถือ

งูร้ายเหล่านั้นนิ่งงันเหมือนถูกสะกด เธียรลัดเลาะตามช่องว่างที่พอมีเหลือตรงออกไปยังกลางสนาม ทะเลอสรพิษแน่นขนัด กีดขวางจนไม่มีที่พอให้เหยียบย่าง เขาพูดออกไปด้วยเสียงราบเรียบปกติ

ช่วยหลีกทางหน่อย

ขาดคำ กองทัพงูแยกออกเป็นสองฝั่ง เปิดทางให้เดินสู่กึ่งกลางสนาม เกล็ดพวกมันสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับดูคล้ายมหาสมุทรกว้างถูกแบ่งออกเพื่อพาลงสู่กึ่งหล้าบาดาล

เธียรเดินต่อไปท่ามกลางวงล้อมมหาสมุทรสัตว์ร้าย เบื้องหน้าถูกกันไว้เป็นลานโล่ง พื้นที่พอๆ กับเวทีมวย เป็นเกาะน้อยกลางทะเลอสรพิษ


เมื่อยืนกลางเกาะแห่งนั้น ยิ่งรู้สึกถึงความโดดเดี่ยว ไม่มีใคร รอบกายเต็มไปด้วยศัตรู

สิงหานาคราช ผมพร้อมแล้ว เธียรตะโกนเรียก

ครู่เดียว บนเวทีกลางอสรพิษ เงารางๆ ของชายหนุ่มผู้สง่างามปรากฏชัดขึ้น สามารถมองเห็นแทบทุกส่วนของใบหน้า รูปร่าง เครื่องแต่งกายทั้งที่แสงจันทร์ถูกพยับเมฆบังสิ้น

ฝ่ากองทัพอสรพิษมาถึงนี่ได้นับว่าไม่เลว นี่คงเป็นคำทักทายจากศัตรูร้าย

ผมถือว่าเป็นคำชม เธียรสรุป ดวงตานิ่งลึก เพลิงแค้นคุกรุ่นใกล้ลุกโชน จำต้องใช้สติข่มกลั้น จะปล่อยให้ไฟโทสะมาทำให้ความเพียรพยายามสูญเปล่าไม่ได้

น่าจะใช่ ขนาดไม่ได้ใช้มนต์อาลัมพายน์นี่ คำกล่าวยังหมิ่นเย้ยเช่นเคย

นี่เป็นเพียงการแผ่เมตตาต่อสัตว์โลก แสดงจิตเจตนาที่ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันตามแนวคำสอนของพุทธองค์ เธียรบอก

เลิกพูดถึงชื่อนี้เสียที ข้าเบื่อจะฟัง สิงหานาคราชโพล่งขึ้นอย่างหัวเสีย เอาสิข้าอยากรู้ ถ้าหากอสรพิษทั้งหมดนี้จู่โจมเอ็งในคราวเดียว ดูสิ แค่เมตตาอย่างปากพูดจะช่วยรักษาชีวิตเอ็งได้หรือไม่

เธียรอึ้ง เขาเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าก็จริง แต่ไม่มั่นใจ ตนเองจะมีเมตตาธรรมมากพอที่จะหยุดยั้งอสรพิษภายใต้การควบคุมของสิงหานาคราชได้

ฟู่...ฟู่ เหล่างูพิษรวมตัวกันรวดเร็ว เข้าจู่โจมเธียรทันที

ชายหนุ่มปักเท้ามั่น แววตาโรจน์ หนีไม่ได้ ต้องปักหลักสู้ พร้อมกันนั้นมนต์อาลัมพายน์ที่ท่องบ่นวันละหลายร้อยเที่ยวจนผสานเป็นหนึ่งเดียวกับใจก็หลุดออกมาทันที

โอม...นะมะ...ชัยยะตะทา นาคาคะณา...

ผลักมือออกไปเบื้องหน้า บังเกิดกระแสลมหมุนพัดฝูงงูกระจัดกระจายเสียงซัดซ่าดังติดต่อกันราวสายฝน อำนาจแห่งมนต์ขับไล่ทะเลอสรพิษจนสับสนเรรวนตั้งขบวนไม่ติด

เธียรหยุดสาธยาย เนื้อตัวร้อนผ่าวความฮึกเหิมบังเกิด กวาดสายตามองรอบๆ หวังพบสิงหานาคราช บนพื้นเกลื่อนกล่นด้วยซากสมุนเลื้อยลี้หนีตาย ผู้เป็นนายกลับลอยเด่นสูง เผยรอยยิ้มเยาะแววตาสาสมใจ

สิงหานาคราชไม่ได้หวังฝูงงูเหล่านั้นจะทำอันตรายผู้สำเร็จมนต์อาลัมพายน์ การสั่งจู่โจมก็เพื่อโยนหินถามทาง ดูกำลังฝ่ายตรงข้ามว่าร้ายแรงปานใด

เพียงแค่บทเริ่มแห่งมนต์ พลังที่ใช้ต่อต้าน นาคราชเช่นเขาก็พอคาดคำนวณออก เธียรสำเร็จมนต์ก็จริงแต่พลังยังอ่อนด้อยกว่ากุมภนาคราชในคราวนั้นอีกหลายช่วงตัว เรื่องที่จะกักขังเขาอีกครั้งแทบไม่มีหวัง แค่เอาตัวให้รอดจากคืนนี้เสียก่อนไม่แน่จะทำได้หรือไม่

เมฆดำลอยต่ำ พายุพัดอู้ๆ กองทัพงูต่างหลบเร้น เปิดทางให้ผู้เป็นนายแสดงอำนาจบารมี เธียรสำรวมใจเป็นหนึ่ง กำมือแน่น ฝ่ายตรงข้ามเตรียมจู่โจมอย่างแท้จริง อดนึกถึงริวไม่ได้ ถ้ายังอยู่ด้วยกันความมั่นใจยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเขาไม่มาก็ดีเหมือนกัน เกิดพลาดพลั้งโดยตนเองรอดแล้วริวยอมเสียสละ เขาคงไม่มีหน้าไปพบรอยจันทร์แน่

สลัดความฟุ้งซ่านออก เวลานี้คิดถึงเรื่องอื่น ใครอื่นไม่ได้ทั้งนั้น จิตต้องจ่อกับมนต์และจังหวะเป็นหนึ่งเดียว คลาดกันไม่ได้เด็ดขาด

ลมเริ่มแรงขึ้นจนเธียรแทบต้านทานไม่ไหว สู้กัดฟันเงยหน้ามองศัตรูร้าย เพ่งสายตา อารมณ์เป็นหนึ่งเดียว มนต์อาลัมพายน์ถูกสาธยายตะโกนก้องกังวาน

โอม... วาจา จังหวะสอดคล้องคล้ายขับลำนำดนตรี ลมแรงไม่อาจกลบกระแสเสียงมนตรา รอบกายสิงหานาคราชแผ่เปลวเรื่อเรืองฉายรอบตัว แสงสว่างและคลื่นความร้อนกระจายทั่วก่อนรวมเปลวไฟขมวดร่างกลายเป็นนาคาเพลิงพุ่งเข้าทำร้ายมนุษย์ผู้ยืนหยัดท้าทาย

เธียรไม่หวั่นเกรง ยามท่องมนต์ อำนาจแห่งคาถาจะแผ่ออกคุ้มครองต่อต้านฤทธาพญานาค กระแสลมเป็นระลอกคลื่นชักพานาคาเพลิงให้โลดแล่นจู่โจม แต่ไม่อาจถึงตัวเธียร รอบร่างฉายเกราะสีเขียวเรืองออกป้องกัน งูไฟสัมผัสผ่านก็แตกสะเก็ดกระจายทั่ว จังหวะมนต์ถูกเร่งแรง เกราะเขียวขยายตัวออกกระแทกนาคาเพลิงจนแตกกระจาย

ฮ่า...ฮ่า สิงหานาคราชหัวเราะลำพองใจ ทั้งที่เห็นฝ่ายตนแตกพ่าย นัยน์ตาคู่นั้นฉายส่องบอกถึงความไม่อับจน

ครืน...แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น พื้นเขย่าสั่นรุนแรง เธียรเซแซ่ดๆ ไม่อาจยืนทรงตัว ลูกไฟจำนวนมหาศาลตกลงมาราวกับห่าฝน มองไปทางไหนก็พร่างพราวด้วยแสงส้มแดง ไอร้อนแผดกล้าไม่ผิดกับนรก

เสียงมนต์อาลัมพายน์เข้มข้นขึ้น เธียรมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ใช้ต่อต้านหักหาญ เขาจึงทุ่มเทเชื่อมั่น ใช้กำลังทั้งหมดสาธยายเข้าสู้

รัศมีสีเขียวหมุนวนรอบร่างชายหนุ่ม แผ่อำนาจต้านห่าเพลิง อีกทั้งยังเปล่งแสงไปถึงนาคราชแปลงที่ลอยเบื้องบน แต่พอมาได้ครึ่งทางก็ดับวูบเจอกับแรงปะทะอำนาจที่เหนือกว่า

เหลือบทสวดอีกไม่มาก ถ้าท่องจนหมดยังทำอันตรายจอมนาคราชไม่ได้ เขาคงไม่มีความมั่นใจเหลือพอจะท่องซ้ำอีกครั้ง ดังนั้นต้องทุ่มเท รวมเจตจำนงแน่วเป็นหนึ่ง ใช้มนตราต่างอาวุธเข้าสยบสิงหานาคราชให้ได้

ได้ผล แสงสีเขียวเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าเดิมหลายเท่าตัว ดวงตาสิงหานาคราชทอประกายหวั่นวูบ ร่างแปลงมนุษย์หายไป กลายเป็นนาคราชใหญ่บิดตัวกลางอากาศคำรามอย่างแค้นเคือง

ครืด...ด...เสียงร้องคำรามลั่นก่อนสายฝนจะตกลงมาไม่ลืมหูลืมตา พญานาคได้น้ำอาการสดชื่น ขณะที่เธียรเปียกโชกลืมตาแทบไม่ขึ้น สติยังตั้งมั่นกับมนต์ท่อนสุดท้าย เสี่ยงทิ้งไพ่ตาย

...ชัยะ ชัยะ คัมภีระ นาเคนทะนาคี...

รัศมีสีเขียวจากเธียรส่องสว่างสูงสุดจับสายฝนเป็นประกายเรือง ก่อนพุ่งเป็นเส้นสีเข้มถี่หนาเข้าครอบคลุมสิงหานาคราช ประหนึ่งแหอวนขนาดยักษ์ที่ทอดจับพญางูร้ายโดยเฉพาะ

ช่วงเวลาตัดสินมาถึง นาคราชผู้ทรงฤทธิ์กล้าใช้อำนาจทั้งหมดที่มีดิ้นรนสุดกำลัง ส่วนเธียรตะโกนก้องจบวรรคสุดท้ายของมนต์อาลัมพายน์ทันที


ครืน...ซู่...ซู่...ฝนกระหน่ำหนักกว่าเดิมหลายเท่า แผ่นดินไหว สะเทือนรุนแรง สิงหานาคราชสะบัดตัวจนหลุดจากพันธนาการ จากนั้นพุ่งเข้าใส่มนุษย์หนุ่มทายาทกุมภนาคราชสุดกำลังด้วยแรงโกรธแรงอาฆาตถึงขีดสุด

เธียรล้มลงไม่อาจทานแรงสะเทือนของแผ่นดิน ยามจบมนต์ร่างกายเหมือนไฟหมดเชื้อไม่อาจต่อติดได้อีก เห็นพญานาคโถมเข้าใส่ก็มั่นใจ ไม่อาจมีชีวิตรอดแน่

ทันใดนั้นมีพญานาคอีกตนโผล่ออกมาสกัดขัดขวาง เทียบจากขนาดนับว่าเล็กกว่า แต่มีความปราดเปรียว หลบหลีก พัวพัน โรมรันต่อสู้จนสิงหานาคราชปั่นป่วนวุ่นวาย ประกอบกับอ่อนแรงจากโดนมนตราจึงได้แต่เป็นฝ่ายรับขาดกำลังตอบโต้

เธียรมองการต่อสู้ระหว่างพญานาคทั้งสองอย่างงุนงง นึกไม่ออกอีกฝ่ายเป็นใคร ภาพที่เห็นสร้างความตื่นตาตื่นใจ ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต

มืออันแข็งแรงข้างหนึ่งช่วยฉุดให้ลุกขึ้น เธียรหันมองอดอุทานไม่ได้

ริว

ชายหนุ่มยืนยิ้มกลางสายฝน ใบหน้ากระจ่างมองเห็นชัด ริวแปลกไป ความมั่นคงของท่าทาง ดวงตาที่สงบนิ่งฉายพลังยากคาดเดาทำให้เธียรอดนึกเกรงไม่ได้

ขอโทษครับที่ผมมาช้าไปหน่อย พี่เธียรทำดีที่สุดแล้ว ต่อจากนี้ให้ผมกับชัยยะจัดการกันเอง

ชัยยะ เธียรทวนคำพลางมองพญานาคอีกตนที่โรมรันกับสิงหานาคราช

ชัยยะนาคาเพื่อนผม เราให้สัญญากันว่าจะปกป้องทายาทท่านกุมภอย่างดีที่สุด ไว้ใจได้ครับพี่ ริวบีบไหล่เขาหนักแน่น

ริว เธียรเรียกชื่อหนุ่มตรงหน้าโดยพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกในใจสับสนปั่นป่วนไปหมด

พี่เธียร ริวจับไหล่ทั้งสองข้างหันมาเผชิญหน้าแววตาจริงจัง ฝากพี่สาวผมด้วยนะ ผมมั่นใจพี่จะทำให้รอยมีความสุขได้

ริวยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนผละไปยืนใต้การต่อสู้ สายฝนพร่างพรูแทบจะปิดร่างจนมิด

ไม่นาน เสียงมนต์อาลัมพายน์จากริวก็ดังกระจ่างชัด น้ำเสียงทุ้มแรงหนักแน่น ทรงพลังกว่าเธียรหลายช่วงตัว ชั่วเวลานั้นฝนทุกเม็ดเปล่งแสงเรืองดั่งหิ่งห้อยตัวน้อยนับล้านๆ คลอข้างเสียงสวดที่มีจังหวะรัวเร็วกระชั้น ไม่ผิดสักคำ พิรุณหิ่งห้อยหมุนควะคว้างเข้าโอบพันรอบร่างของริว

ชัยยะนาคาผละหนีจากสิงหานาคราชทันที จังหวะนั้น ประกายเม็ดฝนกอปรสร้างให้ริวกลายเป็นพญานาคขาวเรือง องอาจ สง่างาม น่าเกรงขามม้วนตัวขึ้นสูงพุ่งตรงยังสิงหานาคราช

ฝ่ายนั้นรู้ถึงกำลังแรงของคู่ต่อสู้ใหม่ พยายามหลบลี้หนี แต่รอบด้านล้วนถูกสกัดกั้นด้วยกำแพงมนตรา สิงหานาคราชฝืนสู้กับพญานาคขาวเพียงไม่กี่คราว ร่างก็โดนตวัดรัดไม่อาจใช้กำลังอำนาจฤทธี อ่อนแรงจนต้องฝืนเฮือกสุดท้ายเปล่งกำลังทั้งมวลเป็นแสงเจิดจ้าสีแดงสด ดิ้นรนเต็มที่หวังให้หลุดจากพันธนาการ

พญานาคสองร่างสองสีเกี่ยวกระหวัดแทบเป็นร่างเดียว ยามพลังนาคราชร้ายเปล่งแสงสูงสุดเกล็ดนาคาขาวของริวก็เปล่งประกายต้านข่มรัศมีจนสิ้น

มนต์อาลัมพายน์ดำเนินมาถึงท่อนสุดท้าย เม็ดฝนทั้งหลายต่างวิ่งเข้าเกาะนาคราชและพญานาคาแปลงจนรวมเป็นกลุ่มก้อนเดียว

แสงสีขาวเจิดจ้าสว่างโพลงขึ้นประดุจระเบิดขนาดใหญ่ส่องประกายรุนแรงทั่วทุกทิศทาง เธียรไม่อาจทนมองต้องหลับตารีบฟุบร่างลงกับพื้น

เสียงดังเปรี้ยง! กึกก้องกังวานอำลาส่งท้าย


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP