วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๒๘


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


พิธีเผาศพดำเนินตามครรลอง ผู้คนมากมายมากันแน่นขนัดจนศาลาวัดไม่อาจรองรับได้พอ จำนวนแขกร่วมงานมีเกินครึ่งที่ไม่เคยรู้จักเด็กสาวผู้ตาย ไม่เคยพบปะพูดคุย ไม่เคยกระทั่งเดินสวนกัน แต่คุณหนูพราวพิรุณ เป็นลูกสาวคนสุดท้องของท่านชัยกาลและคุณหญิงเรือนอร คนเหล่านี้จึงต้องมางานศพ

พระกำลังสวดบังสุกุลให้แก่ผู้ตาย แขกผู้ใหญ่นั่งฟังสงบเรียบร้อย พวงหรีดเรียงรายรอบศาลา ที่เก้าอี้แถวสุดท้ายริว รอยจันทร์และเธียร ได้รับเกียรติเหลือที่นั่งไว้ให้ ทั้งสามนั่งฟังเสียงสวดด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อตัว เธียรกับรอยจันทร์เป็นห่วงชายหนุ่มที่นั่งนิ่งเป็นหุ่นไม่ยอมพูดจา

ตั้งแต่น้ำฝนตายริวพูดน้อยลง ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ตกอยู่ในโลกส่วนตัวปิดกั้นตนเองจากผู้อื่น มิไยทั้งพี่สาวและว่าที่พี่เขยจะพยายามพูดคุย เขาก็แค่ถามคำตอบคำสีหน้าแววตาแห้งแล้ง

ริวมองพิธีการทั้งหลายอย่างเลื่อนลอย ภาพน้ำฝนในความทรงจำออกมาโลดแล่นต่อหน้า เด็กสาวตัวเล็กบอบบาง ปากกล้าในบางครั้ง ความใสบริสุทธิ์กับจิตใจอันงดงามผูกมัดใจเขาไว้โดยไม่อาจรู้ตัว พวกเขามีเวลาแห่งความสุขร่วมกันไม่มาก เป็นทุกวินาทีที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นการออกเดตตามมูลนิธิต่างๆ เดินเที่ยวดูหนังแบบแฟนบ้าง จนถึงการทำบุญร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย

ได้รับความรักและมีความทรงจำงดงามเช่นนี้ เพียงพอต่อการเกิดมาชีวิตหนึ่งหรือไม่?


แขกผู้ใหญ่คนหนึ่งลุกไปเข้าห้องน้ำเก้าอี้จึงว่าง เวลานั้นปรากฏชายร่างสูงสง่าเดินมานั่งแทนที่ เธียรกับรอยจันทร์เห็นหน้าผู้มาใหม่แล้วต้องสะดุ้ง ใบหน้านั้นหันมายิ้มเยาะ ยกขาขึ้นไขว่ห้างไม่ยกมือพนม จงใจไม่มีมารยาท ชวนนึกหวั่นจับใจ

สิงหานาคราชมาที่นี่ มีวัตถุประสงค์ใด กำหนดนัดสองเดือนเลื่อนใกล้จนเหลือไม่ถึงหนึ่งเดือนแล้ว พวกเขายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ริวเห็นสิงหานาคราชแต่ก็นั่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยา คล้ายหุ่นไร้ชีวิต

ในสมองกลับมีความคิดวูบหนึ่ง ถึงการต่อรองกับจอมนาคราชคราวนั้น ถ้าเขาตอบรับจะเป็นอย่างไรน้ำฝนอาจรอดชีวิตหรือไม่ ?

พอคิด หัวใจปวดแปลบปานถูกเถากุหลาบบีบรัด สติมึนเบลอจนไม่อาจคลี่คลายปมในใจง่ายๆ ตอนนั้นเขาก็รู้ถึงอย่างไรสิงหานาคราชก็ช่วยไม่ได้ พูดเองด้วยซ้ำ เหนือปาฏิหาริย์คืออำนาจแห่งกรรม

ยามขาดสติเช่นนี้ ได้แต่ยอมเปิดประตูให้ทะเลทุกข์ซัดคลื่นโถมใส่ ไม่อาจหาสิ่งใดเป็นหลักเกาะยึด สมองที่เคยว่องไวฉลาดปราดเปรื่องกลับเซื่องซึมปล่อยให้ตนจมอยู่ในกองความเศร้า

สิงหานาคราชกระหยิ่มใจ มางานนี้เพื่อเยาะเย้ยทัตตะนาคาเท่านั้น เห็นทำเก่งอ้างคำศาสดามาเถียง ไหนล่ะคนเก่ง ทำไมวาจาที่ยกมาอ้างคราวนั้นถึงไม่สามารถช่วยชีวิตคนรักของเอ็งได้ ช่วยไม่ได้แม้แต่จะฉุดเอ็งขึ้นจากทะเลทุกข์

สุดสาแก่ใจ เป็นหุ่นกระบอกเช่นนี้หรือจะหาญสู้กับข้า กำหนดนัดเหลืออีกไม่ถึงเดือนทายาทกุมภก็ยังฝึกมนต์ไม่สำเร็จ ผู้ช่วยก็มีสภาพไม่ผิดกับซากศพ ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรเลย ศัตรูทั้งหลายต่างแพ้ข้าศึกในใจตัวเองจนหมดสิ้นแล้ว

ฮ่ะ...ฮ่ะ สิงหานาคราชอดหัวเราะย่ามใจไม่ได้ เสียงหัวเราะมีผลให้คนนั่งข้างต้องหันมอง

นาคราชผู้ทรงฤทธิ์ผุดลุกยืนเด่นหันหน้ามองคนทั้งสาม แววตานั้นไม่ต่างจากมองดูมดปลวกกระจิริดที่ไม่ควรค่าแม้แต่จะออกแรงบี้ด้วยซ้ำ

เธียรเตรียมรับเหตุการณ์พลิกผัน ถ้าสิงหานาคราชก่อกวนงานศพเขาต้องออกหน้าสู้เต็มที่ ผิดคาดนาคราชรูปงามกลับเดินออกจากศาลาอย่างเชื่องช้า หน้าเชิดตรง ไม่แลเห็นใครในสายตา


เสียงสวดจบ เตรียมการเคลื่อนศพ พิธีไหลลื่นไม่ติดขัด ไม่มีเหตุการณ์แปลกๆ เธียรกับรอยจันทร์ค่อยหายใจสะดวก

เสร็จจากการทอดผ้าบังสุกุล แขกผู้ใหญ่ ขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ จากนั้นนำโลงเข้าเตาเผาจุดไฟ เปิดโอกาสให้ญาติพี่น้อง รวมถึงแขกทั่วไปโยนดอกไม้จันทน์เป็นรอบสุดท้าย

รอยจันทร์กับเธียรฉุดให้ริวลุกขึ้นเดินตามแขกขบวนสุดท้ายไปโยนดอกไม้จันทน์ พอถึงบันไดหญิงสาวหยิบดอกไม้จันทน์ให้ แต่เขาไม่รับ ในมือมีดอกไม้พิเศษที่เตรียมส่งคืนให้แก่เด็กสาว

รอยจันทร์เห็นดอกไม้ในมือนั้นแล้วอดสะท้อนใจไม่ได้ ดอกหัวใจราเมศว์...

ขบวนเคลื่อนขึ้นบันไดเชื่องช้า ริวตั้งใจนำดอกไม้จากหัวใจ เผาคืนส่งต่อน้ำฝน คำพูดสุดท้ายก่อนเข้าห้องผ่าตัดกังวานแว่ว

น้ำฝนไม่ได้คืนนะคะ แต่ฝากพี่ริวไว้ก่อน ออกจากห้องผ่าตัดเมื่อไหร่จะมารับ

เด็กสาวไม่อาจมารับได้ เขาจำต้องส่งไปให้

บันไดแต่ละขั้นช่างดูสูงและไกลเหลือเกิน เดินมานานแต่ยังไม่ถึงจุดหมาย ในหูได้ยินเสียงพระสวดดังแว่วๆ มาจากที่ไหนกันนะ...


ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้

พยาธิธัมโมมหิ พยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้

มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้


เหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้วงสติสำนึก...ใครนะเคยออกปากอย่างห้าวหาญ ศรัทธาเปี่ยมล้นต่อหน้าจอมนาคราช

พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ทุกคนมีเกิดมีตายเป็นเรื่องธรรมดาไม่อาจล่วงพ้นได้

ข้าจะคอยดู ธรรมะของศาสดาเอ็ง จะช่วยชีวิตผู้หญิงคนนี้ได้หรือไม่

ธรรมะไม่อาจชุบชีวิตมนุษย์ แต่ธรรมะทำให้มนุษย์เข้าใจชีวิต...

เข้าใจอย่างไร เข้าใจว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาในโลก ทุกสิ่งอยู่ในวงจรนี้ทั้งนั้น


กายนี้เป็นทุกข์ ใจนี้เป็นทุกข์แท้ ๆ ไม่มีอื่น

เมื่อเกิดความเข้าใจเช่นนี้อย่างแท้จริง ความเข้าใจนั้นจะทำให้เกิดการยอมรับความจริงขั้นสูงสุด

สลัดคืนกาย ใจ แก่โลก

หยุดการเวียนว่ายตายเกิด เป็นหนึ่งเดียวกับธรรม


อย่างช้าๆ ทีละก้าว ริวตามขบวนผู้คนขึ้นไปเรื่อยๆ สติก่อตัวทีละน้อยมองเห็นเปลวไฟแลบเลียจากภายในเตาเผา จนกระทั่งยืนอยู่เบื้องหน้า ยื่นมือออกไปโยนดอกไม้ตัวแทนหัวใจที่ระลึกออกเดตจริงจังครั้งแรก กองอัคคีโอบรับมันไว้ แผดเผาจนไหม้ดำ

นัยน์ตามองโลงศพที่ปริแตก เห็นร่างที่นอนบนกองกูณฑ์...นี่สินะความตาย

ริวยืนนิ่งหน้าเตาเผา ไม่สนใจผู้อื่น ดวงตาจับจ้องกองไฟซากศพไม่กะพริบ สติเข้าจับ ความรู้ตัวเต็มพร้อม ขจัดรอยหม่นซึมออกจากจิตใจ

น้ำฝนที่เขารักกำลังมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน เนื้อหนัง กระดูกถูกพระเพลิงโหมซัดไม่ปรานี...นี่ใช่ไหมร่างหญิงในดวงใจ จากนี้อีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะกลายเป็นผงคลี ล่องลอยปะปนกับฝุ่นทราย มีอะไรหลงเหลือให้สัมผัสได้

สิ่งที่เขารักคืออะไร แล้วเขากำลังเศร้าเสียใจให้กับอะไร

แปลบ...ปลาบ ลำแสงพุ่งวาบในสมอง ชีวิต...ก็แค่ธาตุสี่มาประชุมกันเป็นสังขารร่างกายในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ความตาย...ก็ธาตุทั้งสี่นั้นถึงเวลาไม่อาจคุมกันอยู่ต้องแยกย้ายคืนสู่ธาตุเดิมของตนในที่สุด

เรื่องธรรมดาเหลือเกิน มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปวนเวียนนับครั้งไม่ถ้วน มีแต่อุปาทานจิตที่โยงยึดฝืนความจริง ไม่ยอมให้มันเป็นไปตามธรรมชาติแท้ จิตจึงเป็นทุกข์เช่นนี้

ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวเหยียด เดินลงจากเมรุด้วยอาการปกติจิตใจคล้ายพบบ่อน้ำอันเย็นชื่นได้ตักอาบดื่มกิน อำนาจสติและธรรมะเพียงน้อยนิดก็สามารถเยียวยาจิตใจที่แห้งผากให้สดชื่นได้

เขายังตัดตัณหา อุปาทานไม่ขาด แต่รู้ว่าควรไปหาใครเพื่อเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวเป็นหลักยามเคว้งคว้างเช่นนี้


-----000-----


รอยจันทร์ตื่นนอนแต่เช้าทั้งที่วันนี้ว่างงาน ลงมาข้างล่างพบน้องชายเตรียมกาแฟควันกรุ่นรอบนโต๊ะ มีอาหารเช้าพร้อม

อาบน้ำหรือยัง ริวถามด้วยใบหน้าแจ่มใสผิดเคย

อาบแล้ว หล่อนตอบงงๆ กึ่งแปลกใจ ไม่อยากเชื่อซากศพเดินได้จะมีชีวิตชีวาขึ้น

กินสิ กาแฟยังร้อนอยู่เลย เขาชวน

รสชาติกาแฟดีเหมือนเคย อาหารเช้าอร่อยถูกปาก คนทำมีเจตนาเอาใจ...รอยจันทร์นั่งดื่มกาแฟกับริวท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ แล้วเขาก็พูดง่ายๆ

ผมจะไปอยู่วัดสักพักนะ ไม่ต้องห่วง

วัดไหน ทำไมต้องไปด้วย หญิงสาวร้องถามตกใจ

ริวไม่ตอบ สีหน้าละมุน แววตานุ่มนวลซับไออุ่นตะวันรุ่ง รอยจันทร์บังเกิดความเชื่อมั่นลึกๆ ไม่ต้องถามอะไรอีก เมื่อเขาบอกว่าจะไป ย่อมผ่านการคิดไตร่ตรองรอบคอบเหมาะสม

ตามใจ หล่อนยอมรับ ให้ไปส่งมั้ย

ไม่ต้องหรอก ผมไปเองได้

รักษาตัวให้ดีนะ รอยจันทร์ยังเป็นห่วง

เจ๊ อย่าลืมของที่ผมฝากไว้ให้พี่เธียรด้วยล่ะ เขาพูดอย่างนึกได้

ได้ ไม่มีปัญหา

คืนที่เธียรอาละวาด ริวออกไปนอกบ้านกลางดึก และกลับมาค่อนรุ่งมีกระเป๋าใบหนึ่งฝากหล่อนไว้ บอกว่าเตรียมให้เธียร แต่ไม่ทันมีจังหวะให้ น้ำฝนก็เสียชีวิต ทุกคนตกอยู่ในความเศร้าจนลืมเรื่องนี้


-----000-----


เธียรมาถึงบ้านรอยจันทร์ตอนเที่ยงเศษ พบกระเป๋าที่ริวบอกให้หญิงสาวเตรียมไว้รอ

ข้างในมีอะไร เธียรสงสัย

ไม่รู้สิคะ ตั้งแต่ริวมันเอามาให้ก็เจอแต่เรื่องยุ่งๆ จนรอยแทบลืมไปแล้ว

เธียรเปิดกระเป๋าหยิบของในนั้นออกมากองบนโต๊ะ เห็นแล้วตะลึงคาดไม่ถึง พลิกดูละเอียดยิ่งพูดไม่ออก ไม่อยากเชื่อว่าริวจัดการปัญหาให้เขารวดเร็วขนาดนี้

อะไรคะ รอยจันทร์ไม่แน่ใจ

เอกสารสิทธิ ใบมอบอำนาจสมบัติทุกชิ้นของพี่ รวมถึงหนังสือสัญญาบางฉบับที่มีมูลค่าเป็นพันล้าน เธียรแจกแจงชัดถ้อยคำ

แสดงว่าริวมันไปเอามาจากสำนักงานทนายความ ข้อนี้รอยจันทร์ไม่สงสัย ฝีมือระดับริวจะแอบเข้าไปขโมยของเปิดเซฟไม่ใช่เรื่องยากสักนิด

เก่งจริงๆ เธียรพึมพำ จิตใจคลายลงไม่รู้ตัว ริวบอกมั้ยว่าอยู่วัดไหนและไปทำไม

ไม่ค่ะ คำตอบสั้น สามารถหยุดคำถามอื่นได้อีก

เธียรฉุกคิด เวลานัดกับสิงหานาคราชเหลืออีกไม่ถึงเดือน ริวมีเหตุผลบางอย่างถึงปลีกตัวอย่างนี้ เขามัวแต่วุ่นวายเรื่องไม่เป็นเรื่อง บ้าบอกับสมบัตินอกกายจนฝึกมนต์ไม่คืบหน้า ขืนเป็นอย่างนี้คงแย่ เขาควรเร่งตัวเองให้ก้าวหน้าไม่ใช่คอยหวังพึ่งริวคนเดียว

พี่ขอฝากของกับรอยก่อนแล้วกัน เธียรพูดง่ายๆ ราวกับมันเป็นกระดาษไร้ค่า

ตะกี้พี่บอกว่ามีสัญญาพันล้านอยู่ด้วย ทำไมไม่รีบจัดการให้เรียบร้อยก่อนล่ะ

ช่างมันเถอะ เขาไม่ใส่ใจ ถ้าพี่ชนะสิงหานาคราชไม่ได้ สัญญานั่นก็แค่เศษกระดาษ

สมบัตินอกกายมีคุณค่าอะไรเมื่อไม่มีชีวิต

ก็ได้ รอยจันทร์รับคืน

พี่ก็คงต้องหลบไปสักพักเหมือนกัน เธียรบอก

หญิงสาวเกือบหลุดปากถาม จะไปไหน...แต่เข้าใจ เขามีภาระสำคัญต้องทำเช่นเดียวกับริว ให้พวกเขามีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง...หล่อนคงทำได้เพียง...ให้กำลังใจ




บทที่ ๒๔


บ้านของพันเกลียว

เธียรยืนรอหน้าประตูเกือบห้านาที คิดไม่ออกควรเริ่มต้นอย่างไร ริวเคยออกปากรับรอง พันเกลียวสามารถช่วยได้ เท่าที่รู้หล่อนสามารถทำให้สิงหานาคราชเกรงใจ

คราวก่อนมากับริว ไม่ได้พบหญิงสาวเจ้าของบ้าน คราวนี้ขอให้มีโอกาสคุยกันสักสองสามนาทียังดี ไม่คิดให้หล่อนออกหน้า ขอแค่คำแนะนำ จะฝึกมนต์ให้สำเร็จอย่างไรภายในเวลาไม่ถึงเดือน

บ้านปิดเงียบดูท่าจะไม่มีคนอยู่ เห็นเงาวอบแวบในบ้านค่อยคลายใจ คิดตะโกนเรียกก็เกรงใจกลัวไม่เหมาะ อาจทำเจ้าของบ้านขุ่นเคือง

มาหาใคร เสียงผู้หญิงดังจากเบื้องหลัง

เธียรหันกลับไปมอง อดตะลึงไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้สวยคม นัยน์ตาโตลึกสูงเกินมาตรฐานหญิงไทย โครงหน้าเหมือนรูปปั้น และสีหน้าก็นิ่งเย็นแบบรูปปั้นเช่นกัน

มาหาคุณพันเกลียวครับ คำตอบสุภาพ คำนวณอายุหล่อนน่าจะแก่กว่าเขาอยู่บ้าง

มีธุระอะไร ดูท่าหล่อนชอบใช้คำถามสั้นๆ

มีเรื่องอยากให้เธอช่วยเหลือ เขาตอบพลางนึกสงสัย หรือหล่อนเป็นคนแถวนี้

งั้นหรือ พูดจบหญิงสาวไขกุญแจประตูเดินเข้าบ้าน

เธียรจึงคิดว่าหล่อนน่าจะอยู่กับพันเกลียว

เอ่อ...คุณพันเกลียวเธอไม่อยู่หรือครับ ดูจากการไขประตูเข้ามาแสดงว่าในบ้านไม่น่ามีคนอยู่

อยู่ หล่อนตอบโดยไม่หันหน้ากลับ


เธียรมองหญิงสาวที่เดินเข้าบ้านโดยไม่ใส่ใจเรียกแขก นิ่งฉงนชั่วขณะความคิดก็แจ่มใสผู้หญิงคนนี้คือพันเกลียว บุคคลที่สิงหานาคราชเกรงใจ เขาคิดว่าจะมีอายุมากกว่านี้ อย่างน้อยควรสี่สิบต้นๆ เก่งกาจเรื่องเวทมนตร์คาถา ไม่น่าใช่หญิงสาวและสวยมากขนาดนี้

พอเปรียบเทียบกับริวก็เชื่อได้ ริวยังหนุ่มอายุน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำยังเก่งกาจไม่ใช่ย่อย

ชายหนุ่มเดินตามเข้าห้องรับแขกโดยไม่รอคำเชิญ หญิงสาวเจ้าของบ้านนั่งรอพร้อมน้ำดื่มรับแขก

สวัสดีครับผมชื่อเธียร นาคพิทักษ์ ขอโทษด้วยที่ไม่ทราบว่าเป็นคุณ เขาเริ่มต้นอย่างมีมารยาท

บอกเรื่องที่จะให้ช่วยมาสิ พันเกลียวเข้าประเด็นไม่เยิ่นเย้อ

เอ้อ... ถึงตอนนี้เธียรเริ่มต้นไม่ถูก ไม่แน่ใจหญิงสาวคนนี้รู้ตื้นลึกหนาบางแค่ไหน

ผมกำลังฝึกมนต์อาลัมพายน์ เขาพยายามเข้าประเด็น แต่ยังไม่สำเร็จ

วิธีที่ราเมศว์แนะนำถูกต้องแล้ว หล่อนเอ่ยชื่อริวชัดเจน ยืนยัน

ได้ยินอย่างนี้ค่อยโล่งอก แสดงว่าพันเกลียวรู้รายละเอียดทั้งหมด ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเท้าความให้ยาว

ผมผ่านขั้นที่สองแล้ว แต่ทำยังไงก็ไม่ผ่านขั้นที่สาม ริวให้สวดมนต์เพื่อขัดเกลาอารมณ์ยกจิตให้มีกำลังผ่านขั้นที่สาม ผมรู้สึกมันเชื่องช้าเหลือเกินยิ่งช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆ รบกวนใจ จนเวลาเหลือน้อยเต็มที ผมกลัวไม่ทันคุณพันเกลียวพอจะมีวิธีลัดบ้างมั้ยครับ

ไม่มี คำถามยืดยาวกลับได้รับคำตอบเพียงสองคำ

เธียรอึ้งพูดไม่ออก ไม่รู้จะขอความช่วยเหลือต่ออย่างไร

ถ้าอย่างนั้นผมขอคำแนะนำอะไรก็ได้ครับ เขาหาทางออกไม่ได้

ดวงตาหญิงสาวฉายรอยเมตตา สีหน้ากระด้างคลายลง

ที่ฝึกน่ะถูกแล้ว เวลาเกือบเดือนไม่น้อยหรอก หากจะใช้มันทั้งหมดอยู่กับการเจริญสติและฝึกฝน

เธียรอึ้งเป็นคำรบสอง จริงสิในหนึ่งวันถ้าใจจดจ่อต่อการสวดมนต์และบทอาลัมพายน์เพียงอย่างเดียวก็นับว่าเป็นเวลาไม่ใช่น้อยเลย

คุณควรอยู่ที่นี่ จะได้ไม่มีใคร หรือ อะไร มารบกวน พันเกลียวบอกง่ายๆ

ขอบคุณครับ

เธียรตอบรับง่ายๆ เหมือนกัน ความมุ่งมั่นเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าใช้เวลาทุกวินาทีให้กับมนต์อาลัมพายน์ รวมทั้งบทสวดมนต์ที่ริวให้มาช่วยขัดเกลาจิตใจ เวลาเกือบเดือนมันก็น่าเพียงพอต่อการทุ่มเท

เอาเถอะ ขอสู้ให้เต็มกำลังสักครั้งต่อให้พ่ายแพ้ ไม่สำเร็จ เขาก็จะไม่มีวันมานึกเสียใจทีหลังเด็ดขาด


-----000-----


ริวก้มลงกราบหลวงพ่อเจ้าอาวาสด้วยใจเปี่ยมศรัทธา เขามีโอกาสพบท่านไม่กี่ครั้ง พูดจาไม่กี่คำแต่เกิดความอบอุ่นเย็นใจทุกครั้ง

ดวงหน้าท่านสงบเย็นมีรอยยิ้มละมุนติดจางๆ กระแสคลื่นความเย็นฉ่ำเจือในบรรยากาศรอบๆ ข้างกายท่านมีเณรน้อยสององค์คอยปรนนิบัติรับใช้ทำงานใกล้ๆ

ผมมากราบขอความเมตตาครับ ชายหนุ่มเริ่มต้น

ต้องการอะไรล่ะ คำถามนุ่มอ่อนโยน

ใจผมพลุ่งพล่านสิ้นดี เดี๋ยวก็มีสติ เดี๋ยวก็จมอยู่ในกองทุกข์วุ่นวายไปหมด จนผมไม่รู้จะจับจุดตรงไหนได้แล้วครับ ขณะพูดเขายังอ่านความต้องการตัวเองไม่ออก

ต้องการมีสติหรืออยากตกในกองทุกข์ล่ะ หลวงพ่อถามชี้นำ

ต้องการมีสติครับ คราวนี้พอตอบได้

อยากมีสติก็ต้องหมั่นเจริญสติ ท่านสอนง่ายๆ

ครับ ริวตอบ ทั้งที่ยังไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของการ เจริญสติ

ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ หลวงพ่อเอ่ยถาม

เอ้อ... เขางงคิดคำตอบไม่ออก

อย่ามัว คิด หาคำตอบอยู่สิ ดูกาย ดูใจตัวเองลงปัจจุบันไปเลย... ขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่

เท่านั้นสมองพลันเปิดโล่ง สติแจ่มชัด รู้คำตอบแล้ว

กำลัง นั่ง ตอบคำถามหลวงพ่ออยู่ครับ

ถ้าคนอื่นได้ยินเช่นนี้คงคิดว่าเป็นการตอบกวนอวัยวะเบื้องต่ำ แต่หลวงพ่อกลับยิ้มละไม

นั่นแหละ สติ ความระลึกได้ คอยตามระลึก รู้ กายไปเรื่อย ๆ ว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถใด...นั่ง เดิน ยืน นอน และคอยตามระลึกรู้ ความรู้สึก ในใจตนเองด้วย ว่ากำลังสุข ทุกข์ เฉย ๆ จิตเป็นกุศล หรืออกุศล...คอยตามรู้ ตามดู ด้วยใจที่ตั้งมั่น เป็นกลาง ไม่แทรกแซง

ครับ ชายหนุ่มรับคำมั่นเหมาะ ถ้าเช่นนั้นผมขออยู่ที่วัดนี้สักระยะได้มั้ยครับ

ได้สิ...อยู่ช่วยงานพระเณรไปก็แล้วกัน...เอ้า...เณรช่วยพาโยมคนนี้ไปที่พักที

หลวงพ่อบอกกับเณรที่ทำงานใกล้ๆ

ขอรับ เณรหนึ่งในสองรับคำ วางมือจากงาน ลุกขึ้นด้วยกิริยาเรียบร้อยก่อนพาอาคันตุกะหนุ่มลงจากศาลาไปยังที่พักฆราวาส

เณรอีกองค์วางมือจากงาน ดวงตาฉลาดเฉลียวมองตามเณรกับฆราวาสจนลับสายตาก่อนหันมากราบเรียนถามหลวงพ่อเจ้าอาวาส

หลวงพ่อขอรับ ทำไมไม่แนะนำให้โยมคนนั้นใช้สมถะภาวนาข่มความฟุ้งซ่าน เณรน้อยผู้ฝึกภาวนาจนมีความมั่นคงทางจิตพอสมควรเกิดความสงสัยในคำแนะนำของหลวงพ่อผู้เป็นอาจารย์

หลวงพ่อทอดตามองอย่างเมตตา

โยมคนนั้นมีพื้นจิตเดิมแบบโลดโผน ชอบส่งออกนอกไปแสดงฤทธิ์ ยิ่งแนะนำอุบายด้านสมถะ ให้เกิดความสงบมีกำลังเข้า เดี๋ยวจิตก็จะกระโจนออกไปรู้โน้นนี่ ไม่รวมลงมาดูตัวเอง ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ให้เขาหมั่นเจริญสติไปก่อนอย่างนี้ดีแล้ว...

สติ เป็นธรรมะข้อใหญ่ การปฏิบัติธรรมทั้งหลายทั้งปวง ต้องมีสติเป็นบาทฐานสำคัญ ไม่งั้นก็ง่ายต่อการออกนอกลู่นอกทาง

คำพูดเยือกเย็นอ่อนโยน กระแสธรรมรินไหลจากจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา เณรน้อยคุกเข่าฟังจนจบก็ก้มกราบด้วยใจเคารพ

แม้คำพูดจะเอ่ยถึงผู้อื่น ในจิตใจเณรก็รู้ รวมถึงตนเองด้วย จะมัวส่งจิตออกนอก เที่ยวรู้สิ่งไม่เป็นแก่นสารจะมีประโยชน์ใด สู้ย้อนดูกาย - ใจตนดีกว่า ธรรมะทั้งหลายรวมลงที่จิตดวงนี้ดวงเดียว


-----000-----


รูปสลักนูนสูงพญานาคผุดว่ายท่ามกลางทะเลเมฆติดสูงเด่นบนผนังถ้ำ สิงหานาคราชทำความเคารพด้วยกิริยานอบน้อม ร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำขับให้ลึกลับ น่าเกรงขาม

อีกไม่กี่วันแล้วเจ้าปู่ที่ข้าน้อยจะจัดการกับเศษทายาทเจ้ากุมภให้สิ้น จากนั้นด้วยบารมีแห่งเจ้าปู่ ข้าน้อยก็จะบุกสรวงสวรรค์ตามหาเจ้ากุมภลงมาดูความฉิบหายของทายาทมัน

รอยยิ้มสาสมใจปรากฏบนใบหน้า ลุกขึ้นนั่งบนแท่นสถิตเดิม แสงจันทร์ส่องอำไพจากปล่องถ้ำเบื้องบนฉายอาบใบหน้าเขา ดวงตาคมกล้าหรี่เรียวเพ่งมองหาคนสำคัญ

ไม่พบ! สิงหานาคราชค้นหาเธียรกับอดีตทัตตะนาคาไม่พบ พวกมันหลบซ่อนที่ใด หรือหนีการเผชิญหน้า

ไม่จริง ความคั่งแค้นในใจทายาทกุมภรุนแรงเพียงใดเขารู้ดี มันไม่มีทางซ่อนหน้าหางจุกตูดแน่ อีกทั้งหญิงคนรักมันก็ยังอยู่ ใช้ชีวิตปกติสามัญ ต่อให้มันห่วงชีวิตตัวเองแค่ไหนก็ไม่มีทางลืมผู้หญิงในดวงใจแน่

บางทีพวกมันอาจพบอาจารย์ดี ปกปิดอำพรางร่องรอยเพื่อฝึกฝนมนตราก็ได้

เอาสิ ข้าจะรอจนถึงกำหนดนัด เมื่อนั้นหากพวกมันยังไม่ออกจากรูหนู ข้าจะไปตามลากคอมาเอง

สถานที่เผชิญหน้ายังไม่ถูกกำหนด เมื่อถึงวันนั้น ผู้นัดหมายจะรู้กันเองต้องไปที่ใด สิงหานาคราชรู้การเคลื่อนไหวของศัตรู ขณะเดียวกันเธียรและริวก็รู้ ควรใช้ที่ใดเผชิญหน้าขั้นแตกหัก

ใต้จันทร์คืนเพ็ญอีกไม่กี่ราตรี ทั้งสามสามารถพบกันโดยไม่ต้องนัดหมายสถานที่ คู่แค้นย่อมรู้ทางของกันและกัน


-----000-----


ชีวิตในแต่ละวันของรอยจันทร์ดำเนินไปอย่างชืดชา ตั้งแต่ริวอยู่วัดหล่อนก็แทบงดรับงานใหม่ๆ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว คอยนับวันที่จะถึงกำหนดนัด

รอย...หมู่นี้ไม่เห็นหน้าน้องริวเลย หายไปไหนจ๊ะ ป้าแดงถาม

ลางานค่ะ หญิงสาวตอบ ขืนบอกว่าอยู่วัดเดี๋ยวซักไซ้กันยาว

เหรอ นี่นะเมื่อวานป้าเพิ่งไปดูสไลด์ที่ถ่ายแบบรอยกับริวน่ะ เยี่ยมมากรอยสวยผิดตาเชียวละ ส่วนริวก็หล่อเริ่ด หนังสือวางแผงเมื่อไหร่ รับรองได้เกิดแน่

รอยจันทร์ยิ้มแห้งๆ ใจคอวิบวับ นึกถึงการที่ริวถ่ายแบบครั้งนั้นแล้วอดคิดแปลกๆ ไม่ได้ เขาจงใจทำเพื่อสั่งลาหรือเปล่า เมื่อเผชิญหน้ากับนาคราชร้ายเขาจะยอมสละตัวเองเพื่อช่วยเธียรใช่หรือไม่

ถึงมันจะเป็นการคาดเดา ก็ทำเอาหวั่นใจ


-----000-----


ชีวิตในแต่ละวันของเธียรดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ทุกวันต้องท่องมนต์อาลัมพายน์นับเป็นร้อยๆ รอบ สลับกับการสวดมนต์ที่ริวให้มาเป็นการผ่อนคลาย

ความเป็นอยู่ กินนอนตามเวลาที่ตนกำหนดเอง งานที่ทำมีอย่างเดียวคือท่องมนต์

มันน่าเบื่อและอึดอัดแทบระเบิดในวันแรกๆ แต่เมื่อคิดถึงความแค้น บัญชีที่ต้องสะสาง ทำให้เขาอดทนกัดฟันสู้ต่อไป

เขาอยู่คนเดียว พันเกลียวไปอยู่ที่อื่น ยกบ้านให้พักชั่วคราว สองสามวันจะแวะเวียนมาดู ถามไถ่ความคืบหน้า แนะนำแก้ไขข้อบกพร่อง มันช่วยให้ความอึดอัดเหมือนติดคุกคลายออกไป และยังช่วยให้เขาก้าวหน้าพัฒนาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

วันสองวันมานี้เธียรเริ่มรู้สึกมนต์อาลัมพายน์ผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับใจ บทสวดมนต์ที่ริวให้มาช่วยขัดเกลาความโกรธ อาฆาตแค้นได้ดี ใจ - กายปลอดโปร่ง แต่ละอิริยาบถที่ดำเนินกลมกลืนกับมนตรา

จิตใจซึมซับเข้าใจความหมายถ้อยคำ แต่ละวรรคชัดเจน จนวันนี้เขาเริ่มต้นท่องมนต์รอบที่หนึ่งร้อยแปด จิตและอารมณ์พุ่งเข้าเกาะมนตรานับจากประโยคแรก แต่ละคำที่ท่องบ่น ริมฝีปากขยับสาธยายเป็นจังหวะความหมายกระจ่างเด่นชัด เจตจำนงแน่วแน่ กำลังของจิตเต็มพร้อม ท่องมาจนถึงคำสุดท้ายก็สว่างโล่ง เหมือนหลุดออกจากปล้องหญ้าที่อัดอั้นเนิ่นนาน


ชายหนุ่มชะงัก ยิ้มให้กับตัวเอง พันเกลียวปรากฏอยู่หน้าประตูบ้าน

ยินดีด้วย หญิงสาวพูดจาน้อยคำดังเคย

คำรับรองชัดแจ้ง เขาสำเร็จมนต์อาลัมพายน์แล้ว ภาระอันหนักหน่วงถูกวางจากบ่า

ขอบคุณครับ เธียรตอบอย่างยินดี

อย่าเพิ่งดีใจไป พันเกลียวขัด ถึงสำเร็จมนต์ก็จริง แต่อำนาจมนตราบทนี้อยู่ที่กำลังจิตผู้ใช้ ถ้ามีน้อยก็จะเปล่งอานุภาพได้ระดับหนึ่ง ถ้ามากก็จะเปล่งกำลังสูงสุดแทบจะไร้ขอบเขต

ความดีใจหดหายไปกว่าครึ่ง เธียรเอ่ยปากถาม

ถ้าเทียบกับต้นตระกูลผม กำลังของมนต์บทที่ผมใช้อยู่ห่างจากท่านมากมั้ยครับ

ไม่รู้สิ ฉันเกิดไม่ทัน

พันเกลียวตอบอย่างนี้ไม่รู้ควรหัวเราะหรือทำใจดี ฝึกฝนแทบเป็นแทบตาย พอสำเร็จไม่รู้จะใช้ได้ผลสักกี่เปอร์เซ็นต์

ใจจริงผมอยากให้คุณอยู่ถึงตอนกำหนดนัดด้วย เธียรลองเสี่ยงเผื่อมีหวัง

หมดหน้าที่ของฉันแล้ว พันเกลียวตอบด้วยแววตาตรง

ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่คุณช่วยพวกเรา ชายหนุ่มไม่เซ้าซี้ เท่าที่หล่อนทำให้ ก็ถือว่ามีประโยชน์มากแล้ว

ฉันสมควรหยุดแค่นี้ หล่อนพูดเรียบๆ จากนี้ไปฉันต้องทำหน้าที่ของตนเองบ้าง คุณกลับไปได้แล้ว พันเกลียวออกปากไล่ สีหน้ามีความเมตตา

เธียรไม่กล้าถาม หน้าที่ต่อตนเอง ของหล่อนคืออะไร...บางทีคำตอบที่ได้อาจเกินสติปัญญาของคนระดับเขาจะเข้าใจ

ชายหนุ่มเหลือบตาดูปฏิทิน มะรืนนี้จะเป็นวันอาสาฬหบูชา กำหนดนัดหมาย เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ อย่างไรเสียต้องมั่นใจตัวเอง ทำเต็มกำลังความสามารถไม่ยอมเสียใจภายหลังแน่นอน


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP