วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๒๓


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


หลังฟื้นจากอาการเจ้าชายนิทรา หมอก็รีบมาตรวจ ทุกคนแปลกใจที่ผู้ป่วยนอนหลับบนเตียงตลอดหนึ่งเดือนจะลุกมาปลุกคนเฝ้าไข้ได้ แถมยังแขนขาแข็งแรงไม่มีความจำเป็นต้องทำกายภาพบำบัด ริวร้องขอกลับบ้าน แต่หมอสั่งให้พักฟื้นดูอาการอีกสองสามวัน

ผมแข็งแรงดีแล้ว เขายืนยัน

อาการบอบช้ำภายในคุณยังไม่หายสนิท ตะกี้คุณยังพูดเองว่าเสียดที่หน้าอกและเอว

โธ่...เรื่องเล็กน้อยครับ เขายังไม่ปกติร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ฝืนทำเก่ง เพื่อจะได้ออกจากโรงพยาบาล

ขอให้หมอดูอาการอีกสองวันแล้วกัน ประกาศิตจากนายแพทย์

ริวหน้ามุ่ยบ่นแช่งชักหักกระดูกหมอตามหลัง รอยจันทร์ส่ายหน้าอยากเขกกะโหลกคนป่วยสักที ทำท่าเหมือนเด็กดื้อเอาแต่ใจ

แกจะรีบออกไปไหน นอนเป็นเดือนยังอยู่ได้ นี่แค่สองวันทนเอาหน่อยเถอะ

มีธุระสำคัญน่ะสิเจ๊ ริวถอนใจ

บอกได้มั้ยเรื่องอะไร

ริวชั่งน้ำหนักในใจ ถ้าต้องการความช่วยเหลือจากรอยจันทร์จำเป็นต้องพูดความจริง

น้ำฝนป่วยหนัก นอนอยู่โรงพยาบาลผมต้องไปเยี่ยม เขาบอก

แกรู้ได้ยังไง รอยจันทร์สงสัย ริวไม่ตอบ ถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจ เห็นเรื่องแปลกๆ กันมาเยอะ ไม่ต้องซักไซ้มากความ

แล้วจะทำยังไงดี หญิงสาวเปลี่ยนคำถามใหม่

เสื้อผ้าผมอยู่ที่นี่หรือเปล่า ริวใส่ชุดคนป่วย

อยู่ รอยจันทร์เตรียมเสื้อผ้าทิ้งไว้ หวังเขาจะตื่นมาได้ใส่กลับบ้าน

เสื้อผ้าก็มี รถก็มี คนขับก็พร้อม ไปกันได้แล้วละชายหนุ่มสรุปง่ายๆ

คนเป็นพี่สาวได้แต่ส่ายหน้า ถ้าไม่มีความเชื่อมั่นในตัวน้องชายขนาดนี้ คงไม่บ้าพอพาเขาหนีออกจากโรงพยาบาลแน่ๆ

เพราะความมั่นใจและเป็นห่วงว่าที่น้องสะใภ้จริงๆ ความผูกพัน เห็นใจซึ่งกันและกันตลอดระยะเวลาที่ริวนอนป่วย ทำให้รอยจันทร์กล้าเสี่ยงช่วยเหลือ

น้ำฝนป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล การได้พบริวคงช่วยให้หล่อนดีขึ้น


-----000-----


รอยจันทร์จอดรถที่หน้าโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ไม่แน่ใจว่าน้องชายบอกผิดหรือเปล่า แต่เจ้าตัวดูท่ามั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ลงรถก้าวเขยกๆ เข้าโรงพยาบาล หญิงสาวมองตามอดขันไม่ได้...เก่งไม่ตลอดนี่หว่า ออกมาอย่างนี้ถึงรู้ร่างกายยังไม่แข็งแรงจริงๆ

ใช่แน่หรือวะ รอยจันทร์ถามย้ำเมื่ออยู่หน้าลิฟต์

ชัวร์ ริวให้ความมั่นใจ

ทั้งคู่สวมเสื้อผ้าธรรมดาค่อนข้างโทรมเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่มาโรงพยาบาลแห่งนี้ รอยจันทร์ไม่แต่งหน้า รวบผมง่ายๆ แถมยังผอมกว่าเดิมแทบไม่มีใครจำได้ ขนาดคนมาเยี่ยมไข้ขึ้นลิฟต์พร้อมกันยังมองผ่านไม่สะดุดตา

ลิฟต์หยุดชั้นบนสุด สองพี่น้องก้าวออกมาอย่างไม่แน่ใจ ริวชักเลือนๆ ครั้งก่อนมาในสภาพวิญญาณกับคุณยาย ไม่ได้กดลิฟต์ อาศัยตามอย่างเดียวจนถึงห้องน้ำฝน

เฮ้ย...ชั้นนี้มีแต่แขกวีไอพีทั้งนั้น แน่ใจนะ รอยจันทร์ลังเล

ริวมองสถานที่อีกครั้ง ทบทวนความจำ ชั้นนี้มีห้องผู้ป่วยไม่มาก แยกเป็นสัดส่วนดูคุ้นตา เขาเดินตามทางที่คุณยายนำเมื่อคืน ไม่น่าพลาด

หยุดยืนที่ห้องเห็นหมายเลขก็จำได้ ใช่แน่นอน แต่พอดูชื่อผู้ป่วยนางสาวพราวพิรุณ...เริ่มลังเล มองรอยจันทร์เหมือนถามความเห็น

ว่ายังไงใช่ห้องนี้หรือเปล่า หญิงสาวย้ำ

ห้องน่ะใช่ ริวพูด แต่ชื่อน่ะสิ

รอยจันทร์มองเห็นชื่อที่ติดหน้าห้องเหมือนกัน พราวพิรุณ...ชื่อใครก็ไม่รู้ แต่นามสกุลสิคุ้นตามาก เป็นนามสกุลคนดังระดับไฮโซ มหาเศรษฐีของประเทศไทยทีเดียว ไม่น่าแปลกใจที่ใช้ห้องผู้ป่วยวีไอพีแบบนี้

มาถึงนี่แล้วก็เสี่ยงไปเลยแล้วกัน หล่อนตัดสินใจให้เสร็จ

ริวเคาะประตู เสียงไม่ดังนัก ภายในไม่มีการตอบรับ จึงเคาะอีกครั้งก่อนเปิดเข้าไปอย่างเบามือ คิดว่าในห้องคงมีคนป่วยกับพยาบาลพิเศษอย่างที่เห็นเมื่อคืน

ผิดคาด ในห้องผู้ป่วยนี้ นอกจากคนป่วยกับพยาบาล ยังมีบุคคลอีกสองคนท่าทางเหมือนเป็นพ่อแม่

รอยจันทร์คุ้นหน้าคนทั้งสอง จำได้สมัยเป็นแฟนกับเธียรเคยเข้าแวดลงสังคมไฮโซพักหนึ่ง ได้รับการแนะนำให้รู้จักคนคู่นี้

ท่านชัยกาลและคุณหญิงเรือนอร มหาเศรษฐีที่รวยไม่แพ้ตระกูลนาคพิทักษ์

ถ้าสายตาของมนุษย์เป็นเหมือนดาบ ทั้งรอยจันทร์และริวคงถูกฟันยับตั้งแต่แรกที่สบตาบุคคลทั้งสอง การมองเช่นนี้ไม่ใช่ดูถูกเหยียดหยามการแต่งตัวสุดโทรมแล้วทะเล่อทะล่าเข้าห้องส่วนตัว แต่เป็นการมองผิวเผินคล้ายแลทะลุผ่าน

ขอโทษครับ ผมคงเข้าห้องผิด ริวเอ่ยปากหลังตั้งสติ

คุณต้องการเยี่ยมใคร ท่านชัยกาลถาม เริ่มสังเกตชายหนุ่มตรงหน้ามากขึ้น

เอ่อ... ริวยังไม่ตอบ สายตาเก็บรายละเอียดในห้องเปรียบเทียบกับเมื่อคืน

ถ้าผิดห้องก็ออกไปก่อนเถอะ รอยจันทร์รีบบอกน้องชายก่อนยิ้มหวานให้เจ้าของห้อง ขอโทษนะคะที่มารบกวน

พอหญิงสาวพูดสองสามีภรรยาก็ชักคุ้นตา เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

เดี๋ยวสิจ๊ะ หนูรอยจันทร์ใช่มั้ย คุณหญิงเรือนอรจำได้

ค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ ว่าแล้วแทบลากเจ้าริวออกจากห้อง แต่เขากลับขืนตัวดวงตากระจ่าง มองเห็นภาพคุ้นตา

ผมขอมาเยี่ยมน้ำฝนครับ ชายหนุ่มหลุดปากแล้วนึกถึงชื่อที่หน้าประตู เอ่อ...คุณพราวพิรุณ

ความมั่นใจของริวปรากฏเมื่อเห็นคุณยายยืนข้างเตียง


-----000-----


พอคำว่า น้ำฝน หลุดจากปากหนุ่มแปลกหน้า สองสามีภรรยาก็สะดุ้งไม่มีใครเรียกชื่อนี้นานแล้ว ตั้งแต่คุณย่าของพราวพิรุณเสียชีวิต

อ้อ...เชิญสิคุณ คุณหญิงเรือนอรตอบรับ สายตามองชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วน แม้เขาจะแต่งตัวง่ายๆ ใส่เสื้อผ้าไม่มีราคา แต่ราศีบางอย่างก็ฉายบนใบหน้า กิริยามั่นใจ ไม่ใช่แค่ผู้ชายหน้าตาดีธรรมดาทั่วไป

ริวก้มศีรษะกล่าวขอบคุณก่อนค้อมตัวเดินไปข้างเตียง เด็กสาวคนเดิมยังนอนหลับสนิท ขนตายาวงอนเหมือนตุ๊กตา ใบหน้าซูบ ริมฝีปากแห้งซีดเห็นด้วยตาอย่างนี้เกือบอดใจไม่ไหว อยากเข้าไปกอด พูดจาปลอบประโลมอยากให้เจ้าหล่อนรับรู้ เขายังอยู่ใกล้ๆ ขอเพียงลืมตาขึ้นมาก็จะได้พบรอยยิ้มจากหัวใจเฉกเช่นเคยมา

รอยจันทร์ตามริวมาถึงข้างเตียง เห็นสภาพเด็กสาวแล้วต้องถอนใจ ขณะเดียวกันก็แอบเหลือบมองเจ้าของไข้ อดคิดไม่ได้...เรื่องในนิยายน้ำเน่ามันดันเกิดขึ้นมาจริงๆ เสียด้วย เจ้าหญิงโฉมงามผู้ปลอมตัวหารักแท้ กับหนุ่มหล่อใจสะอาดแต่ยากจน เรื่องมันจะลงเอยอย่างไร

ริวไม่สนใจครุ่นคิดไร้สาระอย่างรอยจันทร์ เขาอยากเพียงเอื้อมมือไปลูบแก้มผอมซูบนั้นเบาๆ ถ่ายทอดไออุ่นความรัก ฝากรอยจากหัวใจ แต่ต้องยั้งมือ คิดถึงการควรไม่ควร

ท่านชัยกาลและคุณหญิงมีปัญหามากมายอยากถามอาคันตุกะแปลกหน้า ขณะจะเอ่ยปากประตูก็ถูกเคาะอีกครั้ง พร้อมกับเปิดออก ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา

สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า เธียรยกมือทำความเคารพเจ้าของห้อง ก่อนสายตากวาดมาพบรอยจันทร์

รอย ชายหนุ่มอุทาน เวลานั้นยังไม่เห็นริวที่ยืนค่อนไปทางหัวเตียง มาได้ยังไงใครไปบอก

พูดจบก็สาวเท้ายาวๆ เข้ามาหาโดยลืมสามีภรรยาเจ้าของไข้ชั่วคราว

เธียรรู้จักพวกเขาใช่มั้ย ท่านชัยกาลเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบๆ ความงุนงงแปลกใจแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นใจนิดๆ

ครับ เธียรตอบรับ รู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันที

ป้าอยากรู้จังว่าลูกพราวรู้จักกับคุณสองคนนี้ตอนไหน เด็กสาวที่ถูกเลี้ยงเหมือนไข่ในหิน มีกรอบสังคมเพื่อนฝูงในระดับหนึ่ง ไม่น่ารู้จักดาราสาวกับผู้ชายมอซอคนหนึ่งได้

พอคุณหญิงพูดถึง คุณทั้งสอง เธียรก็หันกลับที่เตียง คราวนี้พบริวยืนยิ้มรอทักทาย ความยินดีพลุ่งขึ้นระงับไม่อยู่ ลืมตัวว่ามีผู้ใหญ่อีกสองคนในห้อง

ริว เขาร้องอย่างปีติ ตบไหล่ดึงหนุ่มรุ่นน้องมากอดแรงๆ เหมือนไม่เชื่อสายตา ฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่...เป็นยังไงบ้าง มาที่นี่ได้ยังไง

ให้ผมตอบคำถามไหนก่อนดีครับ ริวคนเดิม ถามย้อนคืนจนอดขันไม่ได้

ถึงเวลาแนะนำตัวกันแล้ว เธียรเป็นคนกลางเชื่อมความรู้จักระหว่างสองสามีภรรยากับสองพี่น้อง เขาค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อต่อหน้าที่นี้ไม่น้อย รอยจันทร์มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ส่วนครอบครัวไฮโซก็มองเขาอย่างระแวง

ท่านชัยกาลและคุณหญิงไว้ตัวในระดับหนึ่ง ไม่ถึงขั้นดูถูกคนจน คบแต่คนระดับเดียวกัน ทว่ากับคนแปลกหน้าที่ด้อยกว่า ทั้งคู่จะทอดระยะห่างช่วงหนึ่ง

รอยจันทร์สงสัยความสัมพันธ์ระหว่างเธียรกับน้ำฝน ถ้าเอาสไตล์ละครน้ำเน่ามาจับ หล่อนสามารถวาดภาพได้เป็นฉากๆ ทั้งคู่อาจเป็นคู่หมั้นกัน ถูกจับคู่เพราะความเหมาะสมด้านฐานะสังคมแต่สองฝ่ายไม่มีหัวใจต่อกันจึงแสวงหารักแท้ด้วยตัวเอง

คิดอย่างนี้ก็มองเห็นริว...น้องชายหล่อนไม่แสดงท่าแปลกใจผิดปกติ แววตาที่มองน้ำฝนยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้รู้สึก...หล่อนคิดมากเกินไป กับคนที่ใช่...แค่มั่นใจก็พอแล้ว


-----000-----


พราวพิรุณรู้สึกตัวขึ้นมาเหมือนทุกวัน ร่างกายอ่อนเพลียแทบไม่มีเรี่ยวแรง พยายามขยับลุกขึ้นนั่งรู้สึกมีแขนแข็งแรงคอยประคองหนุนหลัง น่าจะเป็นพี่เธียร...เขาสัญญาจะมาเยี่ยมทุกวันเพื่อบอกข่าวคืบหน้าอาการพี่ริว

พี่ริวเป็นยังไงบ้างคะพี่เธียร นี่คือประโยคแรกที่เอ่ยถามยามเธียรมาถึง

สงสัยอาการหนัก เสียงตอบคุ้นหู เด็กสาวรีบเงยหน้ามองคนที่คิดว่าเป็นเธียร

พี่ริว

ว่ายังไง เจ้าหญิงทิงนองนอย ตื่นบรรทมแล้วหรือจ๊ะ วาจาหยอกล้อดังเดิม

พี่ริว คำพูดครั้งนี้มาพร้อมกับแขนที่โอบรัดเขาแน่น ใบหน้าเล็กๆ ซุกอกร้องไห้สุดกลั้น

น้ำฝนไม่ได้ฝันไปนะคะ น้ำฝนไม่ได้ฝันจริงๆ นะพี่ริว

เด็กสาวสะอื้นจนตัวโยน แรงยินดี ตื้นตัน ความรักล้วนหลั่งไหลดุจกระแสน้ำไร้ทำนบกั้น ริวปล่อยให้หล่อนร้องไห้จนพอใจก่อนจะกระซิบเบาๆ

เจ้าหญิงกันแสงอย่างนี้ เดี๋ยวเสด็จแม่จะเป็นห่วงนะจ๊ะ มือแตะไหล่เบาๆ ดันตัวออกห่างอย่างสุภาพนิ่มนวล หล่อนจึงนึกได้ว่าอยู่โรงพยาบาลในสภาพนางสาวพราวพิรุณ

พอได้สติก็เห็นพ่อแม่ยืนอยู่ใกล้ๆ สีหน้าแปร่งแปลก ห่างออกไปคือเธียรกับรอยจันทร์

พ่อแม่ พราวพิรุณพึมพำหน้าซีดกว่าเดิม ทุกคนอยู่ในห้องแสดงว่าความลับถูกเปิดเผย มิน่าริวถึงเรียกหล่อนเป็นเจ้าหญิงทิงนองนอย ที่เขาเคยแซวว่าเป็นพวกปลอมตัวหารักแท้

พ่อ แม่ พี่ริว น้ำฝนขอโทษ เด็กสาวพูดอย่างเกรงๆ

น้ำฝนไม่ได้ทำอะไรผิดนี่จ๊ะ ริวตอบ

สองสามีภรรยาส่งยิ้มปลุกปลอบใจแก่ลูกสาว เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่จะตัดสินถูกหรือผิด ไม่ว่าทั้งคู่จะมีความคิด ความต้องการอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือช่วยประคองหัวใจดวงน้อยให้มีความสุขที่สุด...อะไรเป็นความสุขของลูกสาวพ่อแม่ย่อมไม่ขัดคัดค้าน


-----000-----


ริวกลับมานอนโรงพยาบาลอีกรอบทั้งที่เจ้าตัวดึงดันไม่ยอม เธียรกับรอยจันทร์ลงทุนขู่ ลากจนเขาต้องมานั่งหน้ามุ่ยบนเตียงคนไข้ดังเดิม

เรียบร้อยแล้ว งั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ ใบหน้าเธียรคล้ำลงเห็นได้ชัด พาริวมาส่งเสร็จก็รีบไปเหมือนมีไฟลน

ขอบคุณค่ะพี่เธียร รอยจันทร์ยิ้มส่ง

เธียรลับร่างจากห้อง ริวถึงยิ้มกริ่ม เปรยลอยๆ

เอ...กลับมาเป็นพี่เป็นน้องกันตั้งแต่เมื่อไหร่น้า...

รอยจันทร์สะดุ้งกึก ตวัดสายตาวับๆ ถ้าไม่คิดว่าเป็นคนป่วยคงส่งบรรณาการอย่างแรงไปสักหลายตุบ

พอฟื้นก็ปากเสียเชียวนะ หล่อนทำเสียงดุ

เจ๊ใจอ่อนอย่างนี้ผมก็ดีใจ เขาทำตาเจ้าเล่ห์ จะได้มีพี่เขยกับเขาสักที

ไอ้ริวปากเสีย เดี๋ยวเถอะ รอยจันทร์แกล้งทำโมโหเข้าข่ม

ความรัก มันไม่เกี่ยวกับใจอ่อนใจแข็ง ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ต้องทนทรมานกับความหวังอันเลื่อนลอย หล่อนมีเธียรอยู่เคียงข้าง ทั้งที่เขายังต้องเผชิญกับความทุกข์และปัญหามากกว่านับร้อยเท่า

ความจริงใจมองเห็นกันยามทุกข์ยาก สองคนต่างเผชิญทะเลทุกข์อย่างหนัก แต่ยังไม่ยอมท้อถอยทอดทิ้ง คอยอยู่เป็นกำลังใจให้กันและกัน จนต่างฝ่ายว่ายถึงฝั่ง

ความรู้สึกเช่นนี้ลึกซึ้งกว่าความรักชั่วแล่น มันเป็นสัญญาณบอกว่า ทั้งคู่สามารถอยู่ร่วมกันจนถึงวันตาย


-----000-----


ข่าวริวฟื้นจากเจ้าชายนิทรารั่วไหลทางไหนก็บอกยาก มันทำให้บ่ายวันนั้นมีเพื่อนฝูงมาเยี่ยมเยียนกันไม่ขาดสายจนเย็น แขกสุดท้ายเป็นพี่แพทกับป้าแดง

อย่างนี้รอยคงทำงานได้เต็มที่แล้วสินะ พี่แพทพูดอย่างโล่งใจ

ชัวร์ครับพี่ ถ้าเจ๊แกเบี้ยวงานผมจะจัดการเอง ริวรับรอง

หน็อย...กลับมาเป็นผู้จัดการจอมโหดแล้วเหรอแก รอยจันทร์ขึ้นเสียง

ไม่ได้สิ เจ๊เล่นงดรับงานตั้งเดือน ผมก็ขาดรายได้แย่ เขาบ่น

ถ้าสนใจทำงานป้าแนะนำให้เอามั้ย ป้าแดงเสนอ

โอเคเลยป้า แต่หน้าตาเจ๊แกโทรมขนาดนี้จะไปถ่ายแบบไหวเหรอ ริวสงสัย

โธ่...โทรมที่ไหนกัน ผอมลงอย่างนี้สิดีแต่งหน้าขึ้น จะได้มีลุคใหม่ๆ บ้าง

ถ้าขอขึ้นค่าตัวแลกกับลุคใหม่ๆ แบบนี้พอได้มั้ยป้า ชายหนุ่มเริ่มบทผู้จัดการ

รอยจันทร์กลั้นหัวเราะ ไม่คิดเจ้าริวจะเริ่มทำงานเร็วขนาดนี้

ไม่มีปัญหา แต่มีข้อแม้อย่างนึง ป้าแดงพูด

เกี่ยวกับเรื่องถอดเรื่องรีทัชหรือเปล่า ริวดักคอ

ไม่ใช่ ข้อแม้ที่ว่าคือริวต้องถ่ายด้วยเป็นภาพคู่ ป้าเป็นสไตลิสต์วางคอนเซ็ปต์เอง รับรองเกิดแน่

ถ่ายเจ๊คนเดียวไม่ดีกว่าเหรอ ริวอ้อมแอ้ม ผมเป็นผู้จัดการคอยอยู่เบื้องหลังดีแล้ว

สงสัยริวจะอยู่เบื้องหลังไม่ได้แล้วละ พี่แพทพูด

ใช่จ้ะ ริวนอนอยู่นี่ไม่รู้อะไร เรื่องที่ริวเสี่ยงไปช่วยคุณก้องฟ้าน่ะ เป็นข่าวดังจะตาย มีรูปลงหน้าหนึ่งเชียวนะ จำเพื่อนป้าที่จะออกนิตยสารเล่มใหม่ได้หรือเปล่า เขาเห็นแล้วยิ่งชอบใหญ่บอกป้าเลยว่า ถ้าริวฟื้นเมื่อไหร่จับมาถ่ายปกประเดิมให้ได้

อ๋อ...งั้นรอยก็เป็นตัวแถมสิคะ รอยจันทร์เพิ่งรู้ตัว

ไม่ช่ายจ้า ป้าแดงตีแขนหล่อนอย่างแต่งจริต โธ่...ป้าวางคอนเซ็ปต์ไว้สุดเริ่ดภาพคู่เป็นเหมือนซีรีส์บันทึกความสัมพันธ์พี่น้อง ส่วนภาพเดี่ยวของริวกับรอยนี่จะทำออกมาให้เดิ้น อย่างริวนี่ ป้าขอเล็มผมให้สั้นนิ๊ดนึง จะได้ออกมาดูเท่แมนมากๆ แล้วความใหม่สดของริวก็โดนใจคนดูอยู่แล้ว ส่วนลุคใหม่ของรอยตอนนี้ใช้ได้เลย ผอมเพรียวหญิงแกร่ง สวย คม ดุ รับรองหนังสือเล่มนี้ต้องฮิตเปรี้ยงแน่ๆ

สองพี่น้องฟังเพลิน กระทั่งพี่แพทยังเคลิ้มเห็นภาพตามป้าแดงบรรยาย ฟังไปชักสงสัยที่ป้าแดงหมั่นแวะมาเยี่ยมดูอาการริวสม่ำเสมอนั้นเพราะเป็นห่วงหรือมีเหตุผลแอบแฝง

ว่าไงจ๊ะสนใจมั้ย นายทุนป้ายอมจ่ายเต็มที่แล้วแต่จะเรียกเลยนะ

แหม...มันน่าสนตรงบอกว่าจ่ายเต็มที่แล้วแต่จะเรียกนี่แหละครับ ริวทำท่าสนใจ

งั้นโอเคเลยนะ ป้าจะได้นัดช่างภาพ ป้าแดงตีขลุมสรุปเรื่อง

เดี๋ยวครับป้า ขอเวลาผมคิดก่อน แหมตอนนี้ผมยังไม่หายดีเท่าไหร่ยังเจ็บๆ เสียดๆ อยู่เลย หมอให้พักฟื้นรอดูอาการอีกสักระยะ ริวทำท่าเจ็บหนักขึ้นมาทันที

จริงสิ ตามข่าวริวก็โดนมาหนักเหมือนกัน ถึงจะฟื้นแล้วแต่ร่างกายยังไม่เข้าที่อยู่ดี พี่แพทเสริม

แหม เพิ่งรู้ผมก็เป็นคนดังกับเขาเหมือนกัน เขาใช้อารมณ์ขันเปลี่ยนเรื่อง

ก็คนที่ริวเสี่ยงเข้าไปช่วยไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหนนี่จ๊ะ ป้าแดงออกความเห็น

นั่นสิ ถึงจะช่วยไม่ได้แต่ก็มีคนชื่นชมเยอะเหมือนกัน พี่แพทบอก

เออจริงสิ เห็นเขาว่าจะเผาศพคุณก้องฟ้าพรุ่งนี้แล้วนี่ คืนนี้สวดวันสุดท้าย ป้าแดงพูดอย่างนึกได้ รอยจันทร์เอ่ยปากขัดไม่ทัน

คุณก้องฟ้าสวดคืนนี้สุดท้ายหรือครับ ริวถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

ใช่สิจ๊ะเขาลงประกาศในหนังสือพิมพ์ออกอย่างนั้น ป้าแดงยืนยัน

รอยจันทร์ถอนใจเฮือกใหญ่ ตั้งใจไม่ให้ริวรู้เรื่องนี้แท้ๆ กลับมีคนหลุดปากบอกจนได้และตามนิสัยเขารับรองต้องชวนหนีออกจากโรงพยาบาลไปฟังสวดแน่ๆ ดูท่าคืนนี้เจ้าริวต้องเล่นบทมนุษย์ล่องหนอีกรอบ


-----000-----


ศาลาสวดศพคืนนี้ผู้คนคลาคล่ำ ชุดสีขาวดำกระจัดกระจายอยู่เต็มงาน ผู้คนมากมายหลากหลายจากแวดวงต่างๆ เดินแทบชนกัน หากมีใครสักคนสังเกตจริงๆ จะสงสัยรู้สึกว่าผู้มาฟังสวดมีน้อยกว่าที่ควร ก้องฟ้าเป็นบุคคลระดับไหน เคยมีกิจการใหญ่โตถึงต่างประเทศ บริวารลูกน้องมากมาย เคยแผ่พระคุณกับผู้คนไม่ใช่น้อย ไม่นับการบริจาคกับมูลนิธิการกุศลต่างๆ แต่งานสวดคืนสุดท้ายนี้ ถ้าเทียบกับงานคนอื่นก็นับว่าบางตาอยู่บ้าง

เธียรยืนรับแขกหน้างาน แววอิดโรยฉายชัดในดวงตา ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสีดำยิ่งข่มให้ตนเองดูหมองกว่าปกติ ไตรคุมพวกลูกน้องและเด็กคนงานบริการแขกแต่ละระดับรวดเร็วเรียบร้อยไม่มีข้อบกพร่อง

แขกสำคัญเข้ามาเตรียมรอฟังสวดกันแล้ว เธียรกำลังเข้าไปนั่งเก้าอี้ด้านใน พอดีเห็นรอยจันทร์กับริวเดินมาที่ศาลาจึงยืนรอ

แอบหนีมาอีกแล้วเหรอริว เธียรพูดอ่อนใจแกมยินดี พี่อุตส่าห์ไม่บอกแล้วนะ

ไม่ยอมบอกอย่างนี้แสดงว่าไม่รักกันจริงนี่พี่เรา ริวทำงอน

รอยไม่เกี่ยวนะ หญิงสาวรีบปฏิเสธเมื่อโดนเธียรมอง ป้าแดงแกไปเยี่ยม คุยไปคุยมาเลยหลุดปากบอก ห้ามยังไงก็ไม่ฟังเลยต้องตามใจมัน

ริวเอ๊ยต้องโขยกเขยกมาเชียวนะ น้ำเสียงผู้พูดตื้นตัน

เอาน่าเฮีย ไม่ถึงกับหามมาหรอก รีบเข้าไปเถอะ ผมกับเจ๊พวกโลโซจะนั่งแอบอยู่รอบนอกนี่ละ

เธียรส่ายหน้าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี แต่ด้วยหน้าที่จึงต้องรีบเข้าไปร่วมพิธีฟังพระสวด งานดำเนินเข้ารูปแบบ พระสี่รูปมาสวดบังสุกุล แขกต่างพนมมือรับเป็นแถว

ระหว่างพระสวดมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยร่างสูงเกินมาตรฐานชายไทย โครงหน้าคมงาม ดวงตากลมยาวลึก จมูกโด่งเป็นสันชัด ริมฝีปากหนาหุบสนิทราวหมิ่นคนทั่วโลก ผิวออกสีทองแดงไม่คล้ำไม่ขาว เป็นรูปโฉมดึงดูดสายตาทุกกคน แขกในงานมองตามจนเสียกิริยา คนผู้นั้นเดินผ่านเก้าอี้ที่ริวกับรอยจันทร์นั่งอย่างเฉียดฉิว

ริวเงยหน้ามองพลางสะท้านเยือก...สิงหานาคราชมาที่นี่...รอยจันทร์มองตามขนลุกซู่ หล่อนเคยเห็นครั้งเดียวแต่จำแม่นติดตา

ร่างแปลงนาคราชทรุดตัวบนเก้าอี้ว่างด้านหลังชุดโซฟาประธาน เธียรเสียวต้นคอวาบจนต้องหันหลังกลับ เมื่อประสานสายตาขนทั้งร่างลุกซู่ เหมือนโดนไฟดูด ฝ่ายตรงข้ามเพียงเหยียดมุมปากนิดๆ จงใจเลื่อนสายตามองโลงศพที่ตั้งเด่น ไม่ยอมยกมือพนมฟังพระสวด

ในใจเธียรมีกองไฟโทสะลุกโชน ดวงตาฉายแวววับบาดลึก ความแค้น อาฆาต โกรธ เหมือนระเบิดรอทำลายได้ทุกเมื่อ ศัตรูร้ายที่ฆ่าพ่อ ทำลายล้างทรัพย์สินสมบัติตระกูลนั่งอยู่เบื้องหลัง แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลย ร่างกายเป็นอัมพาต แขนขาชาดิกมีแต่หัวใจร้อนรุ่ม แผดเผาภายใน



บทที่ ๑๙


เสียงพระยังสวดต่อโดยไม่คาดคิดใส่ใจต่อมารร้ายที่นั่งเด่นกลางกลุ่มคน...ริวไม่เป็นอัมพาตเช่นเธียรแต่เขาไม่สามารถลุกทำอะไรได้ คนมากมายอย่างนี้ขืนผลีผลามไม่ระวังจะเกิดเหตุร้ายเกินคาดคิด

รอยออกไปจากศาลาก่อนดีมั้ย เขากระซิบบอก

ไม่ ฉันจะอยู่กับแกที่นี่ หญิงสาวยืนยัน

อันตรายนะ เขาย้ำ

ฉันจะอยู่ หล่อนอยู่เพราะชายที่ตนรักทั้งสองอยู่ที่นี่

ริวสงบใจตั้งสติ เตรียมกำลังพร้อมหากเกิดการปะทะกัน สำรวมใจไม่ให้แส่ส่าย ลองคิดในมุมกลับ ถ้าเป็นสิงหานาคราชจะมาคืนสวดศพเพื่ออะไร...ใช่จงใจมาหาเรื่องหรือไม่...ไม่น่าใช่สิงหานาคราชเป็นพวกมิจฉาทิฐิก็จริงแต่ไม่ใช่อันธพาล จะทำอะไรต้องมีจุดประสงค์แน่นอน ถ้าตั้งใจอาละวาดก็มาพิธีเผาพรุ่งนี้ไม่ดีกว่าหรือ

คิดข้อนี้ได้ใจคลายกว่าครึ่งจากนั้นค่อยใช้สมองไตร่ตรอง พอนึกเหตุผลได้สองสามข้อ ข้อหนึ่งอาจเป็นแค่อวดศักดาต่อคนเป็นและคนตาย มันอาจไม่น่ากลัวเท่าที่คิด

เสียงพระสวดดังต่อมาเรื่อยๆ ในศาลามีหมอกขาวลอยเรี่ยตามพื้นกระจายรวดเร็ว ไม่นานเริ่มมีกลิ่นแปลกๆ โชยชายไม่ฉุนแต่ไม่หอม ทำให้ผู้คนเกิดอาการวิงเวียนมึน ไม่ได้สติ จู่ๆ เสียงสวดก็ขาดหายเหมือนเทปหยุดเดิน แขกในงานนั่งเหมือนหุ่นกระบอก สิงหานาคราชลุกยืนสง่าผ่าเผย ปรายสายตาดูหมิ่นผู้คนทั้งศาลา ก้าวช้าๆ ไปหยุดหน้าโลงศพ รอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้น

ไปบอกบรรพบุรุษของเอ็งด้วยนะว่าข้าจะไปตามลากคอมันลงยังเมืองบาดาล

คำพูดอหังการไม่สนใจใคร เธียรคั่งแค้นแทบระเบิดแต่ร่างกายไม่ยอมขยับต้องทนดูนาคราชแปลงแสดงกิริยาดูหมิ่นบิดาตนโดยทำอะไรไม่ได้

พูดอย่างนี้อาจไม่ได้ยิน ดูท่าฝาโลงหนาไม่ใช่เล่น งั้นข้าจะเปิดออกพูดกรอกหูให้ชัดๆ

สิงหานาคราชก้าวขึ้นไปเหยียบแท่นด้วยฝีเท้าเบาตัวลอยวูบดุจขนนก พอก้าวอีกครั้งเท้าทั้งสองก็เหยียบบนฝาโลง แสดงการหมิ่นหยามผู้ตายอย่างที่สุด

เธียรโกรธแค้นแทบกระอัก ปากไม่สามารถพูด ร่างกายไม่อาจขยับ มีแต่ความคิดที่จะเอาชนะ เขาต้องทำให้นาคราชร้ายลดความอหังการลงบ้าง...มีสิ่งใดใช้ปราบได้

มนต์อาลัมพายน์ ความคิดรวดเร็วยิ่ง จิตกำหนดบทสวดยิ่งเร็วกว่า จังหวะแห่งมนต์สะท้อนชัดในความทรงจำ ความโกรธแค้นพุ่งสู่จิตเป็นหนึ่งก่อให้เกิดเจตจำนงแน่ว เพียงแค่วรรคแรกแห่งมนต์ก็ทำให้สิงหานาคราชชะงักมือที่จะกระชากฝาโลงหยุดกึก หันขวับ นัยน์ตาเจิดจ้า ดุร้าย

เธียรลุกขึ้นยืนเต็มร่าง พันธนาการถูกปลด มนต์อาลัมพายน์ที่เหลือถ่ายทอดสู่ปากดังก้องกังวานทั้งศาลา

สิงหานาคราชกระโดดลงมาจากโลง ยืนประจันหน้ากับเธียรด้วยท่าทางยิ่งใหญ่ สงบฟังมนต์อาลัมพายน์จนกระทั่งจบ

เอ็งมีสิ่งที่จะต่อกรกับข้าเพียงเท่านี้หรือ น้ำเสียงเยาะหยัน

ก็สิ่งนี้ไม่ใช่หรือที่กักขังคุณมานับร้อยๆ ปี ชายหนุ่มสวนคำ

ไอร้อนแผ่วูบจากนาคราชแปลง จู่โจมเข้าใส่เธียรจนแทบตั้งตัวไม่ติด ร้อนแทบตายแต่ฝืนทนสงบใจ ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูร้ายเห็น

เอ็งคิดว่าจะใช้สิ่งนี้จองจำข้าได้อีกครั้งงั้นหรือ คำตอบไม่ซ่อนรอยดูถูก

เธียรไม่ตอบ ไม่กล้าเอ่ยปาก กระแสไอร้อนที่ได้รับกดดันจนอ่อนแอ ขืนพูดอะไรออกไปน้ำเสียงคงประจานตัวเอง

มันต้องลองดู ผู้ตอบคือริว


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP