ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

อุปาทานหมู่หมายความว่าอย่างไร


ถาม- อุปาทานหมู่หมายความว่าอย่างไรคะ

คือทุกวันนี้ จริงๆ แล้วเราก็ตกอยู่ภายใต้อุปาทานหมู่นะ
เอาที่ใกล้ตัวที่สุดเลยก็แล้วกัน ตรงที่คุณรู้สึกว่ากายนี้เป็นของคุณ
คุณรู้สึกว่ากายนี้มันเป็นกรรมสิทธิ์ของเรา มันเที่ยง มันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
อย่างสาวๆ คือ จะมีอุปาทานหมู่กันเยอะเลย
ว่าตัวเองจะต้องเป็นสาวอยู่ตลอดไป
ถ้าเมื่อไหร่ที่มันเหี่ยวย่น ส่องกระจกแล้วไม่เหมือนเดิม
มันจะเกิดความทุรนทุรายเดือดร้อน ยอมเสียเงินเท่าไหร่ก็ได้
ขอให้มันเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด
แล้วอุปาทานตรงนี้ ทำไมผมเรียกว่าเป็นอุปาทานหมู่
สมมติว่าคุณไม่มาคลุกคลีอยู่กับหมู่ชนนะ
คุณอยู่เกาะอยู่คนเดียวตลอดชีวิต คุณไม่เห็นเงาตัวเองเลย
แต่มีความรู้สึกตามจริง ตามธรรมดาวันต่อวัน
ว่า เออ มันค่อยๆ โรยราลงไป คุณจะไม่เดือดร้อนนะ
แต่ไอ้ที่เดือดร้อนก็เพราะว่ามารวมอยู่กับสังคม
แล้วก็เกิดค่านิยมขึ้นมา เออ นี่จะต้องเป็นสาวตลอดไปนะ
จะต้องคงความเป็นหนุ่มไว้ตลอดไปนะ และถ้าใครทำได้ก็ โอ้ นี่เก่ง
หรือคุณเห็นตัวอย่างว่าใครสามารถทำสำเร็จก็จะไปถามสูตรเขา
ว่า เออ ไปทำหน้าเด้งที่ไหนมา หรือว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ อะไรแบบนี้นะ
แล้วมันก็เกิดเป็นการตามกันว่าถ้าใครทำไม่ได้ไม่เก่ง
ถ้าใครทำไม่ได้ถือว่ามันตกยุคหรือว่าล้าสมัย ปล่อยให้เหี่ยวย่น ไม่รู้จักดูแลตัวเอง
คือสังคมเรานี่เชื่อไปยังไง เชื่อตามกันยังไง มันก็ถูกหลอกไปแบบนั้น
ถูกหลอกไปว่ามันต้องสาวอยู่ตลอด มันต้องหนุ่มอยู่ตลอด
นี่ก็คืออุปาทานหมู่แล้ว

คุณสังเกตดู ผลของอุปาทานหมู่คืออะไร
ความเดือดเนื้อร้อนใจ ความวุ่นวายใจเหมือนๆ กัน
ทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะวุ่นวายใจเลย
มันเป็นความผิดของเวลา แต่เราเอามาเป็นความผิดของเรา
แล้วจนในที่สุดนะพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านก็ประกาศ อุปาทานหมู่ที่น่ากลัวที่สุด ก็คือไปนึกไปยึดมั่นถือมั่น
ว่าสิ่งที่มันไม่เที่ยงว่ามันเที่ยง เป็นสาวจะต้องให้เป็นสาวตลอดไป
สิ่งที่มันบังคับไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ จะเอาให้มันบังคับได้ ควบคุมได้
สิ่งไหนที่มันไม่ใช่ตัวตนจะไปนึกจะไปสำคัญผิดว่าเป็นตัวตน เหมือนๆ กันหมดทั้งโลก
ขนาดทางจิตวิทยาที่ใกล้เคียงกับทางพุทธที่สุดแล้วนะ
ศึกษามาเรื่ององค์ประกอบของกาย องค์ประกอบของจิต
เขาแยกแยะออกเป็นว่านี่มีร่างกายนะ
มีความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ มีความจำได้หมายรู้ มีความปรุงแต่งเป็นดีเป็นร้าย
นี่รู้เหมือนกับพุทธเราเลยนะ ที่พุทธเราเรียกว่าขันธ์ห้า
เขารู้แบบเดียวกันหมดเลย แยกแยะออกมาเป็นแบบเดียวกันหมดเลย

แต่ความเข้าใจตั้งต้นมันอยู่ที่ตรงไหน
มันอยู่ตรงที่ว่าเขามองว่าขันธ์ห้า ทำอย่างไรให้มันดี
ทำอย่างไรให้มันเป็นปกติสุข หรือพัฒนาอย่างไร
พัฒนาความจำ พัฒนาความรู้สึกอย่างไรให้มันมีชีวิตที่เป็นสุข
เลิศลอยยิ่งไปขึ้นกว่านี้ ยังยอมรับความยึดมั่นถือมั่น
ว่ามีตัวตนอยู่ น่าเอาและน่าเป็นสุขอยู่
ในขณะที่พระพุทธเจ้าแยกขันธ์ห้าออกมาเพื่อให้สังเกตเป็นขณะๆ
ว่าทุกขันธ์ไม่ว่าจะเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ
ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลงเป็นธรรมดา
ตรงนี้นะโดยใจความสรุปก็คือ ทุกอย่างมันตั้งต้นที่ความเข้าใจ การยอมรับตามจริง
ถ้าหากว่าเรายอมรับตามจริงได้นะ มันไม่มีทางถูกสะกด

แต่อุปาทานคืออะไร
บางคนนะมีความสามารถ เวลามีคนนั่งรวมๆ กันอยู่แบบนี้
แล้วก็พูดๆ พูดๆ พูดไป บอกว่า เอ๊ย มันอย่างนี้นะ มันอย่างนั้น
มีผีอยู่สิบเจ็ดตัว มีผีอยู่ เออ เขากำลังมาขอส่วนบุญนะ เออ อะไรต่างๆ
พูดไปพูดมาจนกระทั่งเกิดความรู้สึกเชื่อ
ความเชื่อพร้อมๆ กัน ตรงนั้นแหละที่มันอาจเกิดเป็นอุปาทานหมู่ขึ้นมาได้
อุปาทานหมายความว่ามันไม่มีอยู่จริงแต่ไปเชื่อ
แต่ถ้าเห็นตามจริงหมายความว่ามันมีอยู่จริงอยู่ก่อน
แล้วเราไปเห็นตามจริง ยอมรับตามจริงนะ อันนี้คือข้อแตกต่างนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP