ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ปรามาสพระอริยะ


Answer

โดย ดังตฤณ


ถาม: เคยอ่านหนังสือเจอเกี่ยวกับพวกสติปัฏฐาน เค้าบอกว่าถ้าเกิดเคยปรามาสพระอริยะ
เค้าบอกว่าจะห้ามสวรรค์ห้ามมรรคผล อันนี้จริงหรือเปล่าครับ


เอาจากที่พระพุทธเจ้าตรัสเองเลยนะ
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยตรัสเรื่องสวรรค์นรก เคยตรัสเรื่องเกี่ยวกับพรหมภูมิ
ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนิพพาน พูดง่ายๆว่าตรัสเกี่ยวกับเรื่องเหนือโลก
แล้วพระองค์ลงท้ายไว้นะครับว่า
ตรงนี้พระองค์รู้ด้วยสัพพัญญุตญาณ ไม่ใช่ด้วยการคิดเอา

ถ้าหากว่าใครนึกว่า ท่านตรัสเรื่องเหล่านี้ด้วยอาการคิดเอาด้นเดาเอานะครับ
คนนั้นก็พูดง่ายๆว่า ได้ชื่อว่าปรามาสพระพุทธเจ้า
แล้วถ้าไม่เปลี่ยนความคิดก่อนตาย ก็มีสิทธิได้ไปอบาย ไปทุคติภูมินะ


อันนี้ท่านตรัสไว้ในแบบเป็นพุทธพจน์ เป็นสัจพจน์นะ เป็นความจริงตามธรรมชาติ
ไม่ใช่ว่าท่านสาปแช่งใคร หรือยกตนเองว่าเป็นผู้วิเศษ ที่ไม่มีใครไปว่าได้ ไม่มีใครไปติเตียนได้
ถ้าใครติเตียน ใครตั้งตนเป็นศัตรูกับพระองค์หรือว่าอริยเจ้าสาวกของพระองค์ จะต้องไปอบายนะ
แต่ท่านตรัสไว้เป็นหลักของธรรมชาติว่า
อริยเจ้าอริยสาวก หรือแม้แต่พระองค์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ผู้อยู่สูงสุด เป็นประมุขของพระพุทธศาสนา
มีจิตที่พ้นแล้ว ปราศจากกิเลสแล้ว ไม่เบียดเบียนใครแล้ว
เพราะฉะนั้นจึงมีผลใหญ่ ถ้าหากใครไปปรามาสเข้า ใครไปติเตียนเข้านะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พระองค์กำกับไว้ด้วยว่า ถ้าหากไม่เปลี่ยนความคิด ก็จะได้ไปอบาย
แปลว่า ถ้าหากเปลี่ยนความคิดได้ทันก่อนตาย ก็ไม่ต้องไปอบาย
ไม่ต้องห้ามแม้แต่กระทั่งสวรรค์หรือนิพพานด้วยนะครับ


ลองคิดดูว่า อย่างคนที่พระองค์ไปสอน ก็มีที่บางคนมาติเตียนมาด่าว่าท่านอย่างรุนแรงเลย
บอกเป็นคนไม่เอาไหน เป็นคนไม่เอาถ่าน เป็นคนอะไรต่อมิอะไรต่างๆ
พูดง่ายๆว่า ใช้ภาษาที่แม่ค้าปากตลาดในปัจจุบันเค้าใช้กัน ด่าว่าพระองค์เลยนะ
แต่ว่าพระองค์ก็ไม่ได้ทรงโต้ตอบด้วยอาการโกรธเกรี้ยว
ตรงข้าม ท่านใช้เมตตาธรรมนะครับ แล้วก็คำสอนในแบบที่จะกลับใจคนๆนั้นได้
คนๆนั้นก็เปลี่ยนจากต้นทางไปอบาย กลายเป็นได้บรรลุมรรคผลเลยนะครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด จะเป็นในวันนั้นเลยด้วยซ้ำ
แต่ที่แน่ๆคือผมจำเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้
เอาเป็นสรุปว่าในภายหลังท่านได้เป็นพระอรหันต์ทีเดียว


เพราะฉะนั้นการปรามาสอริยเจ้าที่รองลงมาเป็นสาวกของพระองค์ ก็เหมือนกันนะ
อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน
คือว่าถ้าหากเรากลับใจ เราเปลี่ยนใจ เราไปขอขมาท่าน
หรือว่าเปลี่ยนจากคำด่าคำติฉินนินทาเป็นคำสรรเสริญ พูดจากร้ายกลายเป็นดีเสีย
ไอ้ที่จะห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานอะไรมันก็หายไป
ไอ้ที่จะต้องไปอบาย มันก็กลับเปลี่ยนเป็นสร้างทางที่จะได้ถึงพระนิพพานให้ตัวเองได้
เพราะว่ากราบอริยเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอรหันต์
ถ้าหากกราบด้วยใจ ถ้าหากว่ามีใจเคารพเลื่อมใสพวกท่านด้วยความบริสุทธิ์นะครับ
ตรงนั้นก็เท่ากับกราบนิพพาน เพราะพวกท่านถึงนิพพานแล้ว
เหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นตัวแทนนิพพาน เป็นประตูนิพพาน
การที่เราได้กราบท่าน การที่เราได้พูดดีๆกับท่าน หรือว่าการได้สรรเสริญท่านให้คนอื่นฟัง
มันก็คือการที่เราเข้าพวกกับนิพพานนั่นเอง พร้อมที่จะเข้ากระแสนิพพานนั่นเองนะครับ


ฉะนั้นสบายใจได้นะครับ ถ้าหากว่าเคยผิดพลั้ง เคยพลาดไปปรามาสไว้
ไม่ว่าจะเป็นอริยะที่ไหน หรือไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้ายังไงก็แล้วแต่
มันไม่ได้ปิดประตูมรรคผลนิพพาน หากใจจริงของเราหันกลับมานะครับ
มีความเคารพเลื่อมใสด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่เชื่อด้วยความงมงายนะ
เชื่อด้วยเหตุด้วยผลว่าพวกท่านมีทางไปที่ดีแล้ว มีคำสอนที่ดีแล้ว เป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว


ถาม: ถ้าเกิดอยากจะขอขมาตรงหิ้งพระที่บ้านได้ไหมครับ


การเปล่งวาจาขอขมา มันมีผลดีอยู่นะครับ
คือว่าทำให้เกิดความหนักแน่นขึ้นมา เพราะว่าใจของเราปกติมันจะเบา
แค่คิดเฉยๆมันยังเหมือนเลื่อนลอย เพราะความคิดมันซัดไปซัดมาเหมือนฝุ่นทราย
แต่ถ้าเมื่อไหร่เราหนักแน่นพอที่จะเปล่งวาจาขอขมาออกมา
นั่นแสดงถึงความชัดเจนนะ ว่าจิตมีทิศทางที่ตั้งมั่นแน่วแน่แล้ว
ว่าเราคิดอย่างนี้ เราถึงพูดอย่างนี้ นะครับ


ฉะนั้นจะเป็นที่ตรงหน้าโต๊ะหมู่บูชา
หรือว่าหน้ารูปเคารพของพระที่เราเคยปรามาสอะไรก็แล้วแต่ มันได้ทั้งนั้นแหละ
เพราะว่ามันได้ที่ใจเราแน่ๆ มันได้ที่ปากเราแน่ๆนะครับ
กรรมที่เกิดจากใจ แล้วก็กรรมที่เกิดจากปากนั่นแหละ
ตัวนั้นแหละของจริงที่จะติดตัวเราไป
ส่วนองค์ท่านจะมรณภาพไปแล้ว หรือว่าจะไม่อยู่แล้ว
หรืออยู่ห่างไกลในประเทศไกลๆไป ตรงนั้นมันไม่ได้มีความหมายเท่า


เพียงแต่ว่า คือถ้าพูดถึงอะไรแบบที่ครบวงจร แล้วทำให้เคลียร์จริงๆ ทำให้ดีจริงๆ
ควรจะไปขอขมาต่อหน้า
ทีนี้ถ้าในเมื่อไม่มีท่านให้ขอขมาแล้ว เราก็ใช้ใจของเรานั่นแหละ
เป็นที่พึ่ง เป็นหลัก เป็นตัวตั้งกรรมใหม่


(จาก
คุยกับดังตฤณ 6 - ช่วงนิพพานมีจริง )



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP