ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

มีอกุศลจิตเกิดขึ้นระหว่างวัน แต่ถ้ารู้ทันจะบาปไหม


ถาม - แต่ละวันผมมีทั้งกุศลจิตและอกุศลจิต ในส่วนอกุศลนั้น เช่น ถ้าเห็นผู้หญิงสวยๆ ก็คิดอยากจะเชยชม แต่พออกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วก็เกิดความรู้ทันขึ้นมา แบบนี้ถือว่าอกุศลแรงไหมครับ แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร

ตามในพระคัมภีร์เลยนะ ในอภิธรรมปิฎกกล่าวไว้ชัดเจนว่า
คือเราอย่าดูโดยความเป็นบุคคลก็แล้วกัน
อย่าดูโดยความเป็นตัวเรา แต่ดูโดยความเป็นจิต
ให้มองว่าจิตมีสองแบบคือกุศลกับอกุศล อันนี้เรารู้กัน
ทีนี้ในความเป็นจริงก็คือ อันนี้กล่าวไว้ในอภิธรรมนะ
เมื่อใดที่อกุศลจิตเกิดขึ้นแล้ว มีสติรู้เท่าทันอกุศลนั้น
จิตที่เกิดขึ้นในลำดับต่อมาคือมหากุศลจิต มหากุศลจิตได้อย่างเดียวนะ
พูดง่ายๆ ว่าถ้าหากอกุศลเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือว่าความรู้สึกร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม มืดขนาดไหนก็ตาม
เมื่อสติรู้เท่าทันได้ เห็นอาการของอกุศลนั้น ลักษณะของอกุศลนั้นๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นในลำดับต่อมาคือมหากุศลจิตทันที

ถามว่าเราทำบาปไปหรือเปล่า ไม่ได้ทำเพราะว่ามันแค่คิด
คือความคิดเป็นอกุศล แต่ไม่มีความจงใจตั้งใจที่จะทำอะไรผิดศีลผิดธรรม
แม้แต่ในเรื่องของศีลธรรมนะ ศีล ๕ ท่านก็ยังว่าไว้ว่าขอบเขตนี่มีแค่กั้นกายกับกั้นวาจาเท่านั้น
ไม่ได้กั้นที่ใจนะ ใจผิดแค่ไหนไม่ผิดศีลนะ ตราบเท่าที่ยังไม่ได้ตั้งใจเอาจริง
สมมุติว่าเราแค้นเหลือเกิน อยากจะฆ่าให้ตาย
แค่มีความรู้สึกอยากจะฆ่าให้ตายนี่นะ
อย่างนี้ยังไม่ถือว่าผิดศีลนะ แต่มันเริ่มด่างๆ พร้อยๆ ขึ้นมา
เพราะว่ามันเป็นชนวนเหตุให้เกิดความจงใจขึ้นมา มีความพยายามฆ่าขึ้นมาจริงๆ
คือมันเป็นอกุศลจิต แต่ยังไม่เป็นบาปที่ติดตัวเราไป
เพราะว่ายังไม่เกิดความพยายามที่จะทำให้เกิดขึ้นจริง
สัตว์ยังไม่ตายไป สิ่งมีชีวิตยังไม่ได้หายไปเพราะฝีมือของเรา บาปยังไม่เกิดขึ้น

เหมือนกัน เราเห็นผู้หญิง เกิดมีความกำหนัดยินดี
อยากจะไปเอามา อยากจะไปฉุดคร่ามา
ไอ้ความอยากนี่ บางทีมันมีความอยากแบบเล่นๆ ขึ้นมาก็ได้
ขึ้นมาชั่ววูบ แต่เรารู้ว่าเราไม่เอาจริง
อย่างนี้เรียกว่าเจตนาไม่เกิดขึ้น มันแค่คิดเล่นๆ เฉยๆ
ถามว่าถ้าไม่เกิดเจตนาแล้ว ผู้หญิงจะเป็นภัย จะเป็นอันตรายได้ไหม
จะถูกฉุดคร่าข่มขืนได้ไหม มันไม่ได้
นี่แหละตรงนี้แหละเป็นตัววัด เป็นเครื่องวัด
ว่าบาปอกุศลยังไม่เกิดขึ้นเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ
มันแค่เกิดอกุศลจิต แต่ยังไม่ได้เกิดบาปเกิดกรรม

ขอให้จำไว้นะครับว่าสิ่งที่เรียกว่ากรรมบถ หรือว่าการกระทำกรรมเต็มรูปแล้ว
จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเรามีเจตนาที่จะทำจริง ลงมือทำจริง
ในเรื่องของศีล ๕ เรามีเจตนาที่จะฆ่า เจตนาที่จะลักทรัพย์ มีเจตนาที่จะไปฉุดคร่าข่มขืนใคร
มีเจตนาที่จะโกหกหลอกลวงใคร มีเจตนาที่จะกินเหล้าเมายา ตัวเจตนานี้จะเป็นตัวตั้งต้น
แต่กรรมยังไม่สำเร็จ ยังไม่เป็นกรรมบถ ตราบเท่าที่ยังไม่มีความพยายามทำจริง
และถึงแม้ว่าพยายามทำจริงแล้ว แต่ผลยังไม่สำเร็จ
ก็ยังไม่เป็นกรรมบถอยู่ดี ยังไม่เป็นบาปเป็นกรรมเต็มครบวงจรอยู่ดี

ยกตัวอย่างเช่นเราเกิดความเคียดแค้นแล้วว่า ไอ้คนนี้ทำร้ายเรา เราจะต้องฆ่ามัน
นี่ตัวตั้งต้น เจตนาอันเป็นประธานของบาปเกิดขึ้นแล้ว
แล้วเรามีความตั้งใจว่า เดี๋ยวจะไปซุ่มลอบตีหัวเขา ในเวลาที่เขาเผลอ
นี่เกิดความพยายามแล้ว เกิดความพยายามเอาจริง
แต่ในขณะที่กำลังจดจ้องรอคอยอยู่นั้น บังเอิญชะตาเขายังไม่ถึงฆาต
เขาเกิดเปลี่ยนใจไม่มายังเส้นทางที่เราดักรออยู่
อย่างนี้เขาก็ไม่ตาย ไม่ต้องตายด้วยฝีมือของเรา
นี่ก็คือปาณาติบาตยังไม่เกิดขึ้นครบวงจร
บาปอันเกิดจากการฆ่ายังไม่เกิดขึ้น ผลที่เกิดจากการฆ่า ยังไม่เกิดขึ้น
แต่อกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วเต็มๆ แล้วมันเป็นราก เป็นเชื้อที่จะต่อไปในวันข้างหน้า
เดี๋ยวมันต้องมีความพยายามซ้ำอีก

เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆ ก็คือเมื่ออยู่ในรูปของความคิดเฉยๆ ยังไม่เป็นไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิดเล่นๆ ไม่เป็นไร
ยิ่งถ้าคิดเล่นๆ แล้วสามารถมีสติรู้ทันได้ว่าอกุศลเกิดขึ้น
อย่างนี้นอกจากจะไม่เป็นบาปแล้ว
ยังมีการยืนยันด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบุญต่างหาก
บุญที่เราได้รู้ ได้เท่าทัน ไม่ให้อกุศลมันงอกเงยขึ้นในจิตของเรา
ตรงนั้นมันจะเป็นมหากุศลจิต เกิดขึ้นสืบต่ออกุศลจิตทันทีนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP