วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๒๐


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



ริวตื่นนอนเกือบเที่ยง เขาพยายามท่องมนต์ให้ขึ้นใจ แต่ทุกครั้งที่ลองเปล่งอานุภาพของมันกายจะร้อนรุ่ม กระแสพลังในตัวปั่นป่วนยากควบคุม ต่อให้จำมนต์ทั้งหมดได้ก็ไม่กล้าใช้กำราบสิงหานาคราช คงต้องรอให้มีตบะเข้มแข็งอยู่เหนือมนตราเสียก่อนตามคำเตือนของกุมภนาคราช

อรุณสวัสดิ์พี่เธียร ริวทักทาย

จะเที่ยงแล้วไอ้น้อง เธียรบอกเวลาให้

ขอโทษครับทีแรกว่าจะตื่นให้เร็วกว่านี้

ไม่เป็นไรหรอกเห็นรอยบอกว่าเพิ่งนอนตอนหกโมงเองนี่

รอยไปทำงานแล้วเหรอ

ไปแต่เช้าแล้ว

เฮ้อ ผมมัวแต่ท่องคัมภีร์ลืมตัวจนเช้า

แล้วเป็นยังไงบ้าง เธียรถามด้วยความอยากรู้

ริวยื่นคัมภีร์อาลัมพายน์ให้ มันหมดความจำเป็นสำหรับเขาแล้ว แต่กับเธียรมันอาจมีประโยชน์

ผมท่องมนต์ได้ แต่ยังใช้ไม่ได้ ริวตอบตรงๆ

ทำไมอย่างนั้นล่ะ

มนต์บทนี้มีไว้ปราบนาค ส่วนผมมีพลังของนาคมันเลยตีกัน เขาอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด

แล้วทำยังไงดี

พี่เธียรต้องฝึกเองแล้วละ ริวบอกง่ายๆ

เธียรไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาอ่านคัมภีร์นี้ไม่ต่ำกว่าสองสามเที่ยวแต่ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ต่อให้ท่องมนต์ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนก็ไม่น่ามีฤทธิ์เดชอะไร

บอกตรงๆ พี่ไม่เข้าใจข้อความหลายอย่างในคัมภีร์ ถ้าให้ท่องมนต์เฉยๆ นี่พอทำได้ แต่คิดว่าไม่น่ามีประโยชน์

ท่องอย่างนั้นมันก็ไม่มีจริงๆ นั่นแหละพี่ ริวบอก มนต์อาลัมพายน์ไม่สำคัญเท่าผู้ใช้มนต์ คาถาเป็นเพียงเครื่องกำกับจิต กำหนดแนวทางว่า จะใช้พลังอำนาจไปในทิศทางใด แต่ถ้าจิตผู้ใช้ไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ต่อให้ท่องได้ก็เหมือนนกแก้วนกขุนทอง

เนื้อหาในคัมภีร์บอกถึงวิธีสร้างพลังเพื่อใช้มนต์นี้มั้ย เธียรถาม

บอก แต่พี่คงอ่านไม่เข้าใจหรอก ผมสรุปให้สั้นๆ เลยคือต้องมีความตั้งมั่นและเจตจำนงที่รุนแรงพอ

ขยายความหน่อยสิ

ความตั้งมั่นคือฐานกำลังของใจ ส่วนเจตจำนงคือการกำหนดพลังเพื่อใช้งาน

ยิ่งพูดพี่ยิ่งไม่เข้าใจ เธียรท้อ

ริวก็อ่อนใจไม่รู้จะใช้คำพูดแบบไหนอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้ เขาอ่านรอบเดียวเข้าใจ ไม่ต้องการคำอธิบาย จะให้บอกเล่าง่ายๆ ด้วยภาษาพื้นๆ กับคนไม่เคยฝึกจิตเลยอย่างเธียรมันก็เกินกำลัง

เอาอย่างนี้ ผมรู้จักคนที่น่าจะพอช่วยพี่ได้ ริวนึกถึงคนผู้หนึ่ง

ใคร

คุณพันเกลียว

สตรีผู้ครั้งหนึ่งเคยได้ฉายาเป็นแม่มดแห่งวงการไฮโซ ซ่อนตัวเร้นกายถือศีลบำเพ็ญเพียรอยู่ในวัดป่า จำเป็นต้องออกมาช่วยริวเพราะคำสัญญาของบิดาตน...ไม่รู้หล่อนยังอยู่ที่บ้านหรือไม่

บ้านของพันเกลียวปิดเงียบไม่มีวี่แววผู้คน ไม่มีกระทั่งเงาผู้ดูแลร่างใหญ่ รอบบ้านสงบงันไร้การเคลื่อนไหว

ท่าจะเหลว ริวบ่น ไม่รู้คุณพันเกลียวเธอไปไหน จะถามผู้ดูแลก็ไม่อยู่

คุณพันเกลียวเธอเป็นยังไง เธียรยังไม่เคยพบ

เป็นผู้หญิงที่เก่งมาก ขนาดสิงหานาคราชยังเกรงใจบ้าง ริวไม่ได้เล่ารายละเอียดการต่อสู้ในคืนวันงานให้ฟัง

ถ้างั้นเราน่าจะขอให้เธอช่วยออกหน้าให้

ผมพูดแล้ว เธอว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเธอ แล้วอีกอย่างต่อให้ขังสิงหานาคราชได้อีกรอบ เดี๋ยวก็มาอาละวาดลูกหลานของพี่อีก

พวกเราก็คงทำได้ไม่ดีไปกว่าเธอหรอก เธียรแสดงความเห็น

ผมก็ไม่แน่ใจ ริวลังเล เธอเคยบอกต้องสยบสิงหานาคราชทั้งกายและใจ คนที่จะได้อย่างนั้นมีไม่มาก ผมก็อาจเป็นคนหนึ่ง และทายาทอย่างพี่ก็น่าจะใช่เหมือนกัน

ตอนนี้พี่ยังจับทางอะไรไม่ถูกเลย

ใจเย็นสิครับ หนุ่มรุ่นน้องเตือน ลองใหม่อีกที อย่าคิดว่านี่เป็นคัมภีร์ คิดว่าเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง นอกจากใช้ตาดูแล้วต้องใช้ใจอ่านด้วย

พี่จะพยายาม

ไม่ต้องพยายาม มันจะเป็นอุปสรรคต่อความรู้สึกเปล่าๆ ทำก็คือทำ อ่านก็คืออ่าน จำก็คือจำ...ลองดูนะครับ ริวสามารถอธิบายเนื้อหาในคัมภีร์ได้เพียงเท่านี้

โอเค เธียรรับปาก ไม่แน่ใจสำเร็จหรือไม่

หลังสองหนุ่มกลับ ในบ้านพันเกลียวค่อยมีการเคลื่อนไหว ประตูหน้าบ้านเปิดออก หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของก้าวมายืนกลางแสงตะวัน ดวงตาเร้นลึกมองยังทิศทางที่รถแล่นจาก มีเสียงแผ่วๆ แว่วถามราวกระซิบ

ทำไมคุณถึงไม่ยอมพบพวกเขา เป็นเสียงผู้ดูแล

ฉันต้องการให้เขาเติบโตด้วยตัวเอง ริวเหมือนต้นไม้ที่หยั่งรากแล้ว การแตกกิ่งผลิดอกใบต้องทำด้วยตัวเอง พึ่งใครอีกไม่ได้ ส่วนเธียรเหมือนผ้าขาวในแดนมนตรา ถ้าจุดประสงค์ของเขามีเพียงแค่ใช้มนต์อาลัมพายน์ เขาก็ต้องค้นหามันจากคัมภีร์ไม่ใช่ฉัน

แต่คุณก็มีหน้าที่ดูแล ประคับประคองพวกเขา

การประคับประคองไม่ใช่ต้องเดินตามประกบไม่ห่าง แค่ยืนดูอยู่เฉยๆ ว่าพวกเขาไม่หลงทางก็เพียงพอแล้ว

เสียงผู้สงสัยจางหายไปกับสายลม พันเกลียวทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ ใจเบาโล่งเย็น หน้าที่ของเธอนอกจากคอยดูแลริวกับเธียรแล้ว ยังต้องคอยประคับประคองดูจิตของตนเช่นกัน ว่ามีอารมณ์ใดเกิดขึ้นดับลงบ้าง เป็นงานที่ต้องมีสติพร้อมกับตัวตลอดเวลา ไปวุ่นวายเรื่องนอกตัวแทบไม่ได้ งานแห่งการมีสติรู้ตัวเช่นนี้ยากและเหนื่อยกว่าที่ใครจะคาดคิด แต่เป็นงานที่หล่อนมุ่งมั่นปฏิบัติเพื่อหวังผลอันงดงามในบั้นปลาย


-----000-----


คฤหาสน์หลังใหญ่เงียบเหงาวังเวงไม่ผิดกับป่าช้า ผู้คนที่มีอยู่คึกคักต่างแยกย้ายทำงานของตนเงียบๆ และเข้าห้องหับโดยไม่ตั้งวงสนทนา เจ้าของบ้านทั้งสองอยู่เพียงเธียร ส่วนก้องฟ้าไม่กลับบ้าน สมาคมคนใช้ต่างรับรู้นายใหญ่ไปอยู่บ้านเล็ก

เธียรหยิบคัมภีร์อาลัมพายน์มาอ่านอีกครั้ง ทำใจคิดว่ามันเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ไม่คาดหวังจะได้เห็นอิทธิฤทธิ์ใดจากมัน ทำตามคำแนะนำของริว ปล่อยใจสบายๆ อ่านไปเรื่อยๆ พลิกผ่านแต่ละหน้าเริ่มบังเกิดความเข้าใจทีละน้อย ไม่ลึกซึ้งนัก แต่ไม่เครียดเหมือนอ่านรอบแรก

กระทั่งถึงส่วนมนตรา ลองอ่านช้าๆ พยายามทำความเข้าใจกับภาษาที่ไม่รู้คำแปล พออ่านไปรู้สึกมันมีจังหวะ ต่อให้ไม่เข้าใจมันเลย แต่จังหวะที่เป็นช่วงๆ กลับช่วยให้มนต์บทนี้ซึมเข้าสมองอย่างไม่รู้ตัว

ผ่านไปค่อนคืนไม่รู้อ่านมนต์บทนี้ย้อนไปย้อนมากี่เที่ยว ลองปิดหนังสือแล้วสาธยายทบทวนช้าๆ ช่วงแรกตะกุกตะกักอยู่บ้าง พอนึกถึงจังหวะของมันเขาก็เริ่มทวนคำได้คล่องลิ้นจนกระทั่งจบ

วางคัมภีร์บนโต๊ะ อดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้ ไม่น่าเชื่อ เขาไม่มีเจตนาท่องมนต์แท้ๆ แต่กลับสาธยายออกมาได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

ริวพูดถูก ไม่ต้องพยายาม ทำก็ทำ อ่านก็อ่าน รู้ตัวกับงานที่ทำอย่างเดียวพอ

เมื่อพลิกดูคัมภีร์หน้าแรกๆ ถึงได้รู้ เขาผ่านขั้นตอนที่หนึ่งในการฝึกมนต์อาลัมพายน์แล้ว

สิงหานาคราชนั่งอยู่บนแท่นหินในถ้ำเดิม แสงจันทร์ยังเป็นโคมดวงเดียวให้ความสว่างแก่สถานที่นี้ ใบหน้าเขาดูราวหน้ากากอันประณีต เย็นชา โหดลึก ดวงตาทอประกายเยือกเย็น เสียงสาธยายมนต์อาลัมพายน์ของเธียรแว่วกระทบหู มันไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาใดนอกจากความขุ่นใจเล็กๆ เมื่อได้ยินมนต์ที่เคยทำให้ตนไร้อิสรภาพมานานนับร้อยๆ ปี

เธียรยังห่างอีกไกลนักหากคิดใช้มนต์นี้กำราบเขา มนตราสามารถสำแดงเดชได้มากน้อยขึ้นอยู่กับผู้ใช้มนต์ อยู่ที่จิตตั้งมั่นทรงพลานุภาพ ทายาทนาคพิทักษ์ไม่อาจทำให้สิงหานาคราชกังวลใจ

นาคราชในร่างชายหนุ่มเหยียดยิ้มหยัน เขาจะไม่รอให้ถึงวันพวกมันสำเร็จมนต์หรอก แผนการทำลายล้างตระกูลนาคพิทักษ์ดำเนินมาเป็นปีๆ แล้ว และมันจะเคลื่อนต่อไปจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของทายาทมันจะขาดสะบั้น

...ข้าแต่เจ้าปู่...ข้าน้อยจะให้ท่านได้เห็นความพินาศของทายาทผู้บังอาจไม่นับถือท่าน ให้พวกมันได้รู้ ผู้ทรงฤทธิ์แท้จริงคือใครกันแน่


ก้องฟ้าสะดุ้งตื่นกลางดึก ห้องสลัวรางเสียงแอร์ครางเบาๆ ความเย็นฉ่ำกระจายทั่วห้องแต่เขากลับร้อนรุ่ม หวาดหวั่น สืบเนื่องจากฝันอันน่าสะพรึง

จิญยานีนอนหลับอยู่ข้างกายใบหน้าเป็นสุขจนเขาไม่กล้าขยับตัวแรง กลัวรบกวนการนอนอันรื่นรมย์ ความเป็นห่วงผู้อื่นเช่นนี้ห่างหายจากใจนานแล้วนับแต่ผู้หญิงคนเดียวในชีวิตจากไป

ความรักครั้งใหม่ช่วยชูใจให้เป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวย ขนาดนอนโรงพยาบาลยังออกมาได้ภายในวันสองวัน ขนาดมรสุมธุรกิจใหญ่ๆ ยังหาหนทางแก้ไขได้

ชีวิตก้องฟ้าเป็นสุขแล้ว ได้พบผู้หญิงที่ถูกใจในวัยกลางคน มีลูกชายที่น่าภูมิใจ มีฐานะมั่นคง อีกไม่นานหลังจากแก้ไขวิกฤตทั้งหมดเรียบร้อย เขาจะแต่งงานกับจิญยานี เป็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่จนชาวสังคมเลื่องลือกันข้ามปี

เสี้ยนเล็กๆ ในใจมีอย่างเดียว งู...ประวัติของต้นตระกูล คำเตือนที่ได้รับในฝันสองครั้งไม่อาจทำให้เขาปักใจเชื่อเต็มร้อย หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธียรฟังก็ทิ้งปัญหานี้ทันที

เมื่อครู่เขาฝันเห็นงู...งูตัวใหญ่มากกำลังเลื้อยพันคฤหาสน์นาคพิทักษ์อย่างย่ามใจ ดวงตาของมันจ้องมองมาราวกับผู้ยิ่งใหญ่แลดูข้าทาส จากนั้นก็บีบรัดคฤหาสน์ทั้งหลังจนย่อยยับและพ่นเพลิงใส่เขาอย่างรุนแรง

ก้องฟ้าตกใจตื่นนั่งเหงื่อโชกร้อนวูบใจเต้นกลางห้องนอน ตอนนี้ค่อยสงบใจลง ย้ำกับตนก่อนนอนอีกครั้งว่าฝัน...ความฝันเท่านั้นเอง


-----000-----


สวนสาธารณะยามสายไม่ค่อยมีผู้คน อากาศกำลังสบายไม่ร้อนมาก เนินหญ้าเขียวๆ กับต้นลั่นทมที่ออกดอกพราวชวนมองสบายตา ริวปล่อยอารมณ์รอคอยน้ำฝน

เมื่อคืนเขากับรอยจันทร์ต้องอยู่งานเลี้ยงปิดกล้องละครจนดึกดื่น ยังดีที่ไม่เที่ยวต่อ หญิงสาวให้รางวัลกับตัวเองด้วยการนอนเต็มอิ่มหนึ่งวัน ริวโดนน้ำฝนโทรศัพท์ชวนไปเที่ยวตามเคย

ดีใจจังวันนี้พี่ริวมารอน้ำฝนก่อนได้ เสียงใส ๆ ทักทาย

พูดอย่างนี้ประชดที่พี่ชอบมาเลทหรือเปล่า

นิดหน่อยค่ะ แต่น้ำฝนรู้นี่หน่าว่าพี่ริวเป็นผู้จัดการดาราใหญ่ ไม่ค่อยมีเวลา

แล้วว่ายังไงจ๊ะ วันนี้จะชวนพี่ไปเดทมูลนิธิไหนดี เขาล้อ

อืมม์ วันนี้อยากเปลี่ยนบ้าง เราลองไปเที่ยวแบบแฟนกันดีมั้ยคะ

เอ๊...คราวก่อนใครน้า บอกว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน ริวยังจำได้

พูดแบบนี้เด็กสาวหน้าแดงซ่านนัยน์ตาแจ่มแจ๋วมองเขาตรงๆ

ถ้างั้นน้ำฝนขอเป็นแฟนพี่ริวตอนนี้เลยได้มั้ยคะ

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ชอบความตรงไปตรงมาของเด็กสาว มิน่าคราวก่อนถึงกล้าไปเถียงกับเด็กช่างกล

คนเป็นแฟนเขาขอกันง่ายๆ แบบนี้เหรอ เขาสนุกที่ได้แกล้งแหย่

ไม่ได้เหรอ น้ำฝนหน้าม่อย งั้นแบบนี้ได้มั้ย

เด็กสาวเริ่มต้นใหม่ นั่งตัวตรงจ้องตาเขาเป๋งก่อนค้อมตัวเล็กน้อยแบบเด็กญี่ปุ่น

สวัสดีค่ะหนูชื่อน้ำฝน หลงรักพี่ริวมานานแล้ว พี่ริวเป็นคนใจดี รูปหล่อ น่ารัก กรุณาเป็นแฟนกับหนูได้มั้ยคะ

ริวหัวเราะก๊าก โยกหัวเด็กสาวเบาๆ ท่าทางเหมือนเอ็นดูแต่จิตใจกำซาบลึกซึ้ง

เอาใหญ่แล้วเรา อ่านการ์ตูน ดูละครญี่ปุ่นมากไปหรือเปล่า

ขอคำตอบด้วยนะคะ น้ำฝนยังรุกต่อ

ชายหนุ่มยิ้มละไม ดวงตาพราวระยับจ้องตอบเด็กสาว

ตอบยังไงดี เอาแบบพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นแล้วกัน ว่าแล้วเขาก็นั่งตัวตรงยืดไหล่ทำหน้าเชิดพูดขรึมๆ อืมม์...ขอเก็บไว้พิจารณาไตร่ตรองสักระยะนึงนะ

ไม่ได้ เด็กสาวทุบไหล่เขา พี่ริวต้องตอบว่า ด้วยความยินดีครับ’ ”

อ้าว...จริงเหรอ แสดงว่าเราอ่านกันคนละเล่ม เขาหัวเราะเสียงใสคว้าข้อมือเล็กๆ มากุมไว้ นัยน์ตาคมฉายความรู้สึกเด่นชัด จนไม่จำเป็นต้องใช้วาจามาบอกกล่าว เราตกลงเป็นแฟนกันแล้วนะ ฉะนั้นวันนี้พี่จะพาไปเที่ยวแบบแฟน...กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง โอเคมั้ย

แต่น้ำฝนกลับบ้านดึกไม่ได้ เด็กสาวเสียงอ่อยแต่ใจพองฟู ริวเพิ่งนึกได้บ้านนี้หวงลูกสาวขนาดหนัก ตายแล้วยังตามมาดูแล...คิดถึงตรงนี้ก็ฉุกใจแอบมองรอบๆ ตัว วันนี้ไม่ยักพบคุณยายไม่รู้หายไปไหน ติดธุระหรือแอบไปเกิดเสียแล้ว

กริ๊ง...เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ ริวเห็นชื่อเธียรโชว์เบอร์อยู่จึงรีบรับ มั่นใจต้องมีเรื่องด่วนสำคัญ

สวัสดีครับพี่เธียร ริวทักทาย เด็กสาวได้ยินชื่อนี้ก็ชะงักมองอย่างสงสัย

ริวว่างมั้ย พี่มีเรื่องจะปรึกษา น้ำเสียงบอกมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา

คุยทางโทรศัพท์ได้มั้ยครับ ชายหนุ่มนึกสงสารเด็กสาวที่นั่งใกล้ๆ

ได้...คืออย่างนี้นะ พ่อพี่จะพาคณะกรรมการบริษัทไปตรวจสต๊อกสินค้าที่โรงงานปทุมธานี

แล้วมันเป็นยังไงหรือครับ ริวยังนึกปัญหาไม่ออก

พี่กลัวจะเกิดเรื่องร้าย ริวไปกับพี่ได้มั้ย ถึงเป็นคำถามแต่ยากปฏิเสธ

กี่โมงครับ เขาถามพลางเหลือบมองน้ำฝนที่หน้าหม่นลงเรื่อยๆ

สักบ่ายสองบ่ายสาม พี่จะไปรับเอง

ริวใช้เวลาตัดสินใจสองสามวินาที

โอเคครับ ใกล้เวลาพี่โทร.หาผมอีกทีแล้วกัน

ได้เลย ขอบใจมากนะ

ริวเก็บโทรศัพท์มองหน้าจ๋อยๆ ของเด็กสาวอย่างนึกขันแกมเอ็นดู

น้ำฝน...พี่ขอโทษด้วยนะ พอดีติดธุระกับพี่เธียร เขาทำเสียงอ่อยๆ

ไม่เป็นไรค่ะ พี่เธียรนี่เป็นใครคะ เด็กสาวพยายามฝืนทำเสียงแจ่มใส

แฟนเก่าเจ๊รอยน่ะ

ใช่เธียร นาคพิทักษ์หรือเปล่า เด็กสาวอยากรู้

เก่งจัง น้ำฝนรู้จักด้วยเหรอ ริวตอบรับ

น้ำฝนไม่อยากบอก นอกจากรู้จักแล้วยังเป็นคู่หมายกันด้วย

พี่ริวรีบไปเถอะ หล่อนพูดอย่างงอนๆ

จะให้พี่รีบไปไหน นัดเขาตั้งบ่ายโน้นแน่ะ ริวรีบบอกก่อนเจ้าหล่อนจะใจเสียมากกว่านี้

น้ำฝนค่อยยิ้มออก

แต่สงสัยไปตามโปรแกรมเดิมไม่ได้แล้ว ต้องยกดูหนังฟังเพลงไว้คราวหน้า เอางี้พี่จะพาไปเที่ยว แล้วกินอาหารราคาแพงกัน เขาบอก

กินอะไรคะ

อืมม์...ไก่ทอดเคเอฟซีกับไอศกรีมสเวนเซ่นส์

เด็กสาวหัวเราะคิก

นี่หรือคะอาหารราคาแพงของพี่ริว ไม่อยากพูด ขนาดอาหารระดับโรงแรมห้าดาวสุดหรูคุณหนูพราวพิรุณยังไม่รู้สึกว่าแพงสักนิด

ใช่สิจ๊ะ ปกติพี่กินแต่ไก่ย่างไม้ละสิบบาทกับไอติมกะทิถ้วยละห้าบาท ของขึ้นห้างอย่างนี้แพงสุดแล้ว ไม่รักกันจริงไม่เลี้ยงนะเนี่ย

น้ำฝนไม่ขัด การได้อยู่ใกล้ชิดกันเป็นความสุขอย่างยิ่ง ต่อให้เขาพาไปกินบะหมี่จับกัง ข้าวแกงข้างทาง หล่อนก็พร้อมตามไปโดยไม่คัดค้าน ไม่ลำบากใจ

เวลาแห่งความสุขเช่นนี้อาจเหลือไม่มาก ผลการตรวจครั้งล่าสุดออกมาแล้ว อาจารย์หมอมีสีหน้าวิตก น้ำฝนไม่อยากสนใจ หล่อนยืนยันไม่ยอมผ่าตัดอีก แต่พ่อแม่ขอร้องมันอาจยืดชีวิตออกไปได้อีกระยะ ขณะเดียวกันมันก็อาจทำให้เวลาที่เหลือหดสั้นลง

เด็กสาวเห็นทุกวินาทีมีค่า สิ่งใดอยากทำจะไม่รั้งรออีกต่อไป เหตุนี้จึงกล้าเป็นฝ่ายบอกรักริวก่อน อยากอยู่ใกล้เขาเพื่อซึมซับช่วงเวลาความสุขเหล่านี้ไว้ โดยไม่ยอมเสียใจภายหลัง

เดทครั้งนี้ค่อยเหมือนคู่หนุ่มสาวทั่วไป ริวพาน้ำฝนเดินเที่ยวเล่นในสวนสาธารณะ จากนั้นเดินห้างชี้ชวนชมโน่นชมนี่เรื่อยเปื่อย มือต่อมือ จับจูงเกี่ยวก้อยก้าวเคียงข้าง พูดคุยหยอกล้อด้วยเรื่องไร้สาระ สิ่งรอบตัวดูสวยงามไปหมด ผู้คนรอบข้างยิ้มแย้มแจ่มใส รู้สึกหัวใจพองโตคับอก จนอยากตะโกนบอกใครต่อใครให้รับรู้กันทั่ว

หัวใจน้ำฝนกำลังอิ่มเอมมากกว่าทุกครั้งที่มาเที่ยวกับริว อาจเป็นเพราะครั้งนี้หล่อนตั้งใจเก็บทุกวินาทีอย่างมีค่า ใบหน้าของเขา รอยยิ้ม เสียงพูด วาจาหยอกล้อ ทั้งหมดล้วนถูกบันทึกในความทรงจำ สัมผัสมือต่อมือเชื่อมโยงสู่จิตใจ เวลาผ่านไปเร็วเท่าไหร่นึกไม่ออก รู้สึกตัวอีกทีที่ป้ายรถเมล์ ริวมาส่งขึ้นรถตามปกติ

ครั้งนี้แน่ใจนะว่าไม่ให้พี่ไปส่งที่บ้าน เขาถาม

ไม่ต้องหรอกค่ะ น้ำฝนยังยืนยัน ไม่กล้าให้เขารู้จักตัวจริงของเธอ

คราวก่อนไม่ยอมให้ส่งเพราะยังไม่เป็นแฟน แต่คราวนี้เป็นแฟนกันแล้วก็ไม่ได้หรือจ๊ะ

บอกแล้วไงว่าคุณพ่อดุ เด็กสาวทำเสียงจริงจัง

ไม่เป็นไรพี่มีคาถาปราบพ่อตา เขาแกล้งตีหน้าขรึม

น้ำฝนหน้าแดง หัวเราะเขิน พี่ริวนี่ พูดอะไรไม่รู้

ริวยิ้มน้อยๆ ดึงมือเด็กสาวมากุมแล้ววางของบางอย่างลงบนมือข้างนั้น

ที่ระลึกในการเดทจริงครั้งแรกของเรา ดวงตาเขามีประกายอบอุ่น

สิ่งที่อยู่ในมือเด็กสาวเป็นดอกไม้ประดิษฐ์เล็กๆ สีสันสวย จัดเป็นช่อติดเข็มกลัดเคลือบด้วยเรซินรูปหัวใจ

ดอกไม้ดอกอื่นอาจแห้งเหี่ยวร่วงโรย แต่ดอกไม้ที่พี่ให้จะสดสวยเบ่งบานคงทนตลอดกาล

น้ำฝนขอบตารื้น ตื้นตันในอก

ชื่อดอกอะไรคะ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นถาม

อืมม์... ริวอมยิ้ม ทำท่าคิดหนัก ชื่อดอกหัวใจราเมศว์ ก็แล้วกัน

คุ้นๆ นะคะเหมือนเคยได้ยินในหนังเรื่องข้างหลังภาพ

นั่นมันดอกหัวใจนพพร คนละดอกกัน ของพี่สวยกว่าเยอะ เขามั่นใจ

ขอบคุณค่ะ น้ำฝนพูดเบาๆ ดวงตาถ่ายทอดแทนวลีใจ น้ำฝนจะเก็บรักษาอย่างดี

เด็กสาวขึ้นรถเมล์ไปแล้วแต่ริวยังนั่งอยู่ที่เดิม หัวใจคล้ายจะโบยบินตาม โชคดีที่ป้ายรถเมล์ไม่มีคนอื่น เขาจึงไม่เขินตอนพูดจาภาษาคนรัก

ดอกหัวใจราเมศว์ ริวอมยิ้ม คิดไม่ถึงเขาจะทำอะไรหวานๆ แบบนี้เป็น ความรักสร้างความรู้สึกอันงดงามขึ้นในจิตใจ จนสามารถทำสิ่งที่ไม่เคยทำก็ได้

นึกว่าหนีไปเกิดใหม่แล้ว ยังตามมาคุมหลานสาวอีกหรือคุณยาย ริวพูดเบาๆ ทั้งที่ดวงตามองถนน

บนที่นั่งรอรถเมล์ข้างๆ มีวิญญาณคุณยายนั่งตัวตรงเหมือนไม่เคยไปไหนเลย

วันนี้ไม่ได้ตาม คุณยายเถียง

นั่นสิ ไม่มีคุณยายมาคุม ผมเลยเหงาพิกล เขาล้อ

ขอบใจมากนะ กระแสเสียงพุ่งตรงสู่ใจ

เรื่องอะไรครับ เขาหันมาถาม

ที่ทำให้น้ำฝนมีความสุข คุณยายตอบ

น้ำฝนมีความสุข ผมก็มีความสุข

ใบหน้าคุณยายแจ่มใสฉายราศีเรืองๆ พันธนาการความหวงห่วงคลายลง

วันนี้ระวังตัวด้วย คุณยายบอก

ริวขมวดคิ้ว แสดงว่าสิงหานาคราชจะลงมือจริง

ฉันไม่รู้ละเอียดหรอก แค่สังหรณ์

ขอบคุณครับ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่คุณยายเตือนผม น้ำเสียงริวบอกความจริงใจ

คุณยายเลือนหายไป คงตามดูแลหลานสาวของตนเช่นเคย วิญญาณดวงนี้น่าจะเคยสร้างบุญกุศลมากมาย ดูจากแสงราศีเมื่อครู่น่าจะบอกได้ แต่ความรัก สายใยผูกพันฉุดรั้งดวงวิญญาณไว้ไม่ให้ไปไหน ราวกับตรวนดอกไม้ที่พันธนาการดวงวิญญาณโดยเจ้าตัวยินยอมพร้อมใจ




บทที่ ๑๖


เธียรสีหน้าเครียดขับรถค่อนข้างเร็วบนทางยกระดับ เขาต้องการไปถึงโรงงานก่อนพ่อและคณะกรรมการ ระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกันเธียรอธิบายสาเหตุที่ก้องฟ้าจะพากรรมการไปตรวจสต๊อกสินค้า ว่าจะใช้มันเพื่อระดมทุนกู้วิกฤตบริษัท

ริวลองคิดหากเป็นสิงหานาคราชคงต้องขัดขวางงานนี้แน่ๆ

ถ้าพ่อของพี่คิดจะใช้สต๊อกสินค้าเป็นหลักประกันพันธบัตร ผมว่างานนี้โดนสิงหานาคราชเล่นงานแน่

โชคดีที่เธียรฉุกใจเช่นกันจึงโทร.ตามริวชวนไปโรงงานด้วย

รถวิ่งบนทางยกระดับดอนเมือง ช่วงเวลานี้รถวิ่งน้อยแต่ละคันเร่งเต็มกำลังคุ้มกับค่าบริการ แรกๆ เธียรก็อัดจี๋เต็มแรงเครื่องยนต์เจ้าปอร์เช่ เพื่อถึงจุดหมายให้เร็วสุดแต่โดนริวติง

พี่เธียรขับรถเร็วอย่างนี้ ถ้าใครดักเล่นงานเรารับรองเสร็จแน่

เธียรฉุกคิด ก่อนจะช่วยเหลือคนอื่น ต้องระวังตัวเองให้รอดก่อน ไม่อย่างนั้นความพยายามก็เสียเปล่า

รถแล่นช้าลงเป็นจังหวะเดียวกับเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง...ฟ้าสว่างใสยามบ่ายกลับอึมครึมครึ้มด้วยเมฆฝน ถนนเบื้องหน้ายืดยาวกว่าเดิม ด้านข้างแลเห็นหมู่เมฆขาวลอยเรี่ย

ทางยกระดับสูงกว่าพื้นถนนก็จริงแต่ไม่มีทางสูงใกล้เมฆขนาดนี้ รอบด้านไม่เห็นรถคันอื่น เบื้องหน้ามีเมฆสีเทาลอยต่ำลงมาปิดกั้น

ขับช้าๆ ไว้พี่เธียร ริวเตือนสติหรี่ตามองรอบๆ สิ่งเหล่านี้เป็นภาพมายาหรือเกิดจากอำนาจบันดาลของจอมนาคราช

เอายังไง ถ้าขับพลาดอาจตกไปข้างล่างได้นะ เธียรพูดเหมือนเตือนสติตนเช่นกันว่าขับอยู่บนทางยกระดับ

หยุดก่อนดีมั้ย ริวออกความเห็น

ถ้าหยุดเราจะเสียเวลา ตรงตามความต้องการมันพอดี เธียรอ่านเกมออก

งั้นขับตรงไปเรื่องๆ ผมจะเปิดทางเอง

ริวหลับตาสำรวมใจมั่นกำหนดเรียกอำนาจลม เบื้องหน้าบังเกิดกระแสลมหมุนควะคว้างตะลุยไล่เมฆหมอกให้ไกลห่างมองเห็นเส้นทางชัดเจน เธียรเร่งความเร็วอีกนิดประคองพวงมาลัยนิ่งสายตามองตรง ไม่ยอมผิดพลาด ถ้าคำนวณไม่ผิดอีกไม่กี่กิโลเมตรจะถึงทางลง ขอให้พ้นช่วงนี้เขาน่าปลอดภัย

ทันใดนั้นเมฆขาวที่ลอยเรี่ยสองข้างทางก็ม้วนบิดตัวเป็นเกลียว กลายเป็นพญางูยักษ์ลอยฉวัดเฉวียนพุ่งเข้าใส่

รถสะเทือนพวงมาลัยสั่น เธียรเกร็งข้อมือแน่นไม่ยอมให้รถหลุดถนน พญางูเมฆขาวประจันหน้าแถเข้าชนตรงๆ สะท้านเยือกรถเกือบลอยจากพื้นทรงตัวลำบาก ถึงเวลานี้หยุดรถไม่ได้ด้านหน้าด้านหลังถูกโอบล้อมด้วยนาคาอาคม มันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่องัดรถให้ตกถนน

ริวเค้นสมองคิดจะตอบโต้อย่างไร เห็นเธียรนิ่งมองถนนจึงไม่กล้าเอ่ยปากให้เขาเสียสมาธิ

กึก...กึก...

มันพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง รถเป๋เบนออกนอกเส้นทาง ริวสงบใจมองลึกเข้าสู่ความทรงจำของทัตตะนาคา อำนาจบางอย่างใช้ออกเองโดยอัตโนมัติแต่พลังบางชนิดต้องมีเจตจำนงจึงปล่อยออกมาได้

พอคิดออกชายหนุ่มกัดปลายนิ้วจนมีเลือดซึม เปิดกระจกยื่นมือไปข้างนอก สายลมกรรโชกรับเลือดหยดนั้น ใช้อำนาจแห่งลมสร้างพญางูอีกตัวโดยมีเลือดเขาผสานสร้าง

พริบตาเดียวเหนือรถปอร์เช่ก็ปรากฏพญางูสีแดงขนาดใหญ่ลอยลำพองจู่โจมเข้าใส่งูเมฆาทั้งสอง เกิดการต่อสู้หักหาญโรมรันรุนแรง สองพญางูสีขาวกับหนึ่งพญางูสีแดงพัวพันรุกรบจนก่อให้เกิดกระแสลม กระแสพลังวูบวาบ รถแทบทรงตัวไม่อยู่ ริวและเธียรไม่กล้าเอ่ยปาก ฝ่ายหนึ่งกำลังสำรวมสมาธิควบคุมนาคาโลหิต อีกฝ่ายก็คุมสติรักษาพวกมาลัยไม่ให้รถเสียการทรงตัว

ฟิ้ว...ฟิ้ว...

เสียงสายลมปะทะเกิดลมหมุนเล็กๆ กระจัดกระจายปุยเมฆลอยเกลื่อนเป็นริ้วๆ สุดท้ายฟ้าใสมองเห็นถนนเป็นดังเดิม

ริวถอนใจเอนหลังพิงเบาะอย่างเหน็ดเหนื่อย เธียรแอบปาดเหงื่อ ทั้งที่ในรถไม่ร้อนสักนิด

ลงจากนี่ได้คงไม่มีอะไรแล้วละ เธียรเห็นทางลงอยู่ข้างหน้า

รถลงเลยรังสิตไปหน่อย ถนนกว้างรถแล่นมากขึ้น ท้องฟ้าปกติจนไม่น่าเชื่อเมื่อครู่จะผ่านเหตุการณ์หวุดหวิดหวาดเสียว

อีกไกลมั้ยครับ ริวเริ่มรู้สึกแปลกๆ

ออกจากทางด่วนนี่ได้ก็เข้าไปถนนเส้นตัดใหม่ ไม่ไกลก็ถึงโรงงาน

เธียรปลอดโปร่งใจขึ้น เขาคัดค้านการมาของก้องฟ้าแต่มันไม่มีประโยชน์ กำหนดการถูกวางไว้แล้ว นัดกรรมการเรียบร้อย ก้องฟ้าไม่มีทางยกเลิกเพียงแค่การสังหรณ์ใจของลูกชาย

ชายหนุ่มตัดสินใจชวนริวตามสังเกตการณ์คุ้มครอง เขายังไม่มีโอกาสพูดเรื่องพวกนี้จริงๆ กับพ่อสักที ก้องฟ้าจึงไม่อาจรู้ว่าตำนานต้นตระกูลมันน่ากลัวกว่าที่คิด การถูกขัดขวางเมื่อครู่ทำให้รู้ก้องฟ้าตกอยู่ในอันตราย

เจอทางออกแล้วเดี๋ยวก็ถึง เธียรพูดอย่างยินดี

ตึง...ไม่ทันขาดคำท้ายรถก็โดนชนจนสะเทือนทั้งคัน

ฉิบหายแล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP