กระปุกออมสิน Money Literacy

คิดจะสร้างฐานะ ก็อย่าเริ่มสร้างหนี้ (กรณีศึกษาจากบัตรเครดิต)


Mr.Messenger
สนใจติดตามข่าวสารการลงทุนได้ที่ http://twitter.com/MrMessenger

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กสาวจบปริญญาหมาดๆคนหนึ่ง ได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนย่านใจกลางกรุงเทพฯ งานนี้ถือเป็นงานแรกสำหรับเธอ เธอตั้งใจไว้ว่า เงินเดือนเดือนแรกของเธอจะให้ผู้ซึ่งเป็นบุพพการีทั้งจำนวนเพื่อถือเป็นการตอบแทนที่ท่านได้เลี้ยงดูจนมาถึงทุกวันนี้ ความฝันของเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากหนุ่มสาวในวัยเดียวกันมากนัก แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจ ในช่วงแรกๆเธอคิดจะหาประสบการณ์จากการทำงานไปซักพัก ค่อยเริ่มคิดว่า ในอนาคตข้างหน้าอาจจะออกไปเปิดร้านกาแฟเล็กๆ เป็นนายตัวเอง ไม่ต้องทำงานให้ใคร แต่ไปๆมาๆก็ลังเลว่าพนักงานเงินเดือนก็ไม่ได้มีความเสี่ยงมากเท่ากับการประกอบกิจการของตัวเอง ถึงจะไม่รวยล้นฟ้า แต่ก็ไม่น่าจะเครียดกว่าออกไปทำธุรกิจส่วนตัวแน่ๆ คิดไปคิดมา เธอก็ดึงสติกลับมาได้ว่า มันเป็นเรื่องของอนาคต ในเมื่อตอนนี้ยังมีเวลา ก็ใช้เวลาในวันนี้ให้ดีที่สุดไปก่อน แล้วค่อยไปว่ากันทีหลังเมื่อถึงเวลา

ผ่านไป ๓ ปี จากเด็กสาวก็กลายเป็นหญิงสาว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือ เธอยังคงทำงานที่เดิม และยังตั้งใจจะใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีที่สุดเหมือนวันนั้นที่เคยตั้งใจไว้ สิ่งที่ยังเหมือนเดิมในวันแรกที่เธอเข้าทำงานก็คือ เธอยังไม่มีเงินเก็บ แต่ตอนนี้เธอยังไม่รู้สึกว่าเดือดร้อนอะไรครับ สาเหตุที่เธอไม่ได้เดือนร้อนอะไรก็เพราะ เธอคิดว่าในช่วงแรกของการทำงาน ใครๆก็บอกว่าเงินเดือนยังน้อย ไม่จำเป็นต้องรีบเก็บ ไม่จำเป็นต้องรีบออม พอโตขึ้น ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น เดี๋ยวเราก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเอง พอรายได้เพิ่มขึ้น วันนั้นเราต้องเก็บเงินได้เพิ่มขึ้นแน่ๆ

จากโพลสำรวจของตัวผมเอง ได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เงินเดือนเพิ่มขึ้น แล้วเงินเก็บจะเพิ่มขึ้นตามเงินเดือนนะ เช่นเดียวกัน ไม่มีใครการันตีได้ว่า การที่เราทำความดี แล้วเราจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะทั้งการมีเงินเก็บ และการบรรลุธรรมขั้นสูง ต่างก็ไม่ได้เกิดจากเหตุและปัจจัยเพียงแค่อย่างเดียว แต่เกิดจากเหตุและปัจจัยหลายอย่างรวมกัน

ทำไมเงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่เงินเก็บในบัญชีธนาคารยังไม่เพิ่มขึ้น? หนึ่งตัวอันตรายที่คอยดึงเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ของเราโดยไม่รู้ตัวก็คือ บัตรเครดิต (Credit Card) นั้นเอง ผมไม่ได้บอกว่าบัตรเครดิตมีแต่ข้อเสียนะครับ ข้อดีของบัตรเครดิตก็มีเยอะแยะ

๑. ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่มีราคาสูงๆ โดยไม่ต้องพกเงินสดให้ตุงกระเป๋า
๒. ใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน กรณีที่เราเกิดปัญหาและต้องการเงินสดทันที
๓. มีระยะเวลาให้ชำระเงินที่จ่ายผ่านบัตรเครดิตโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ไม่คิดดอกเบี้ยสูงสุดนานถึง ๔๕ วัน ต่างจากการซื้อสินค้าและบริการโดยใช้เงินสด เพราะจะต้องชำระค่าสินค้าทันที
๔. ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในกรณีเดินทางไปต่างประเทศ (เพราะต่างประเทศส่วนใหญ่ เขาไม่รับชำระสินค้าด้วยสกุลเงินบาท) แต่บัตรเครดิต เมื่อชำระค่าบริการจะถูกแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลประเทศที่เราไป ให้เป็นสกุลเงินที่ได้รับการยอมรับให้ชำระได้ตามกฎหมายของประเทศนั้น
๕. สะสมคะแนนเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไว้แลกส่วนลด หรือของสมนาคุณ โดยที่เราเองจะต้องการหรือไม่ต้องการของสิ่งนั้นก็ตามแต่

นับข้อดีไปๆมาๆก็ได้ถึง ๕ ข้อ งั้นตกลงใจสมัครบัตรเครดิตวันนี้เลยก็ถือว่าโอเคใช่มั้ย?

หญิงสาวกลับไปสำรวจตัวเองว่า ผ่านไป ๓ ปี ทำไมเหมือนเดินย้ำอยู่กับที่ ถ้าไม่มีเงินเก็บ แล้วจะออกมาทำธุรกิจส่วนตัวได้อย่างไร หรือถ้าจะทำงานกินเงินเดือนต่อไปโดยใช้ชีวิตแบบเดิม ก็เหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่ดี คิดได้ดังนั้นก็เปิดกระเป๋าสตางค์และสำรวจทันที สิ่งที่พบในวันนี้คือสิ่งเดิม แต่การรับรู้ของเธอกลับเปลี่ยนไป เธอพบว่า ตัวเองพกบัตรเครดิตถึง ๔ ใบ จากหลายๆสถาบันการเงิน ...หรือเป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้เธอไม่เคยเก็บเงินอยู่เลย

ถ้าลองดูข้อดีของการพกบัตรเครดิตที่ผมยกตัวอย่างมาทั้งหมด ๕ ข้อข้างต้น จะพบว่า การพกบัตรเครดิตถึง ๔ ใบ ไม่ได้ช่วยให้เราได้รับประโยชน์จากมันเพิ่มขึ้นมากนัก จะยกเว้นก็แต่ข้อ ๕. ที่แต่ละใบให้ส่วนลดและของสมนาคุณที่แตกต่างกันไปบ้าง แล้วทำไมต้องพกถึง ๔ ใบ ทั้งๆที่เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลแล้ว ใครๆก็รู้ว่า มันคือการเพิ่มภาระชัดๆ เหตุผลง่ายๆก็ยกตัวอย่างเช่น สมัครง่าย ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี, ได้ของแถมตอนสมัครครั้งแรก, เผื่อๆไว้เพราะบัตรนั้นลดอันนี้ไม่ได้ ส่วนบัตรนี้ไปเอาส่วนลดอันนั้นได้ ฯลฯ มันคงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับถ้าเราแค่พกไว้เฉยๆแล้วไม่ได้ใช้อะไร แต่ที่เก็บเงินไม่อยู่ ก็เพราะเรายอมเป็นหนี้บัตรเครดิตต่างหาก สิ่งนี้สำคัญนะ

บัตรเครดิต ทำให้เราสามารถซื้อสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเกินกว่ารายได้ของเรา ยกตัวอย่างเช่น ซื้อกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ซื้อมือถือ iPhone รุ่นใหม่ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ครบชุดมาไว้ในห้องรับแขก สิ่งเหล่านี้ บัตรเครดิตให้คุณได้ด้วยการดูดรายได้ในอนาคตของคุณมาใช้ก่อน ผู้ขายสินค้าก็แสนจะฉลาด อนุญาตให้เราแบ่งจ่ายรายเดือน คิดดอกเบี้ยน้อยๆ หรือบางทีก็ไม่คิดดอกเบี้ยเลยก็มี ยอดชำระก้อนใหญ่ๆ พอแบ่งเป็น ๖ งวดบ้าง ๑๒ งวดบ้าง ก็ดูน้อยลงทันที ใครบ้างล่ะจะไม่อยากซื้อ จ่ายเงินไปยังไม่เต็มจำนวน แต่ได้สินค้ามาใช้ก่อน โอ้ว... ฉันฉลาดจริงๆ

หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นห้องนอน หาใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตมากางดู แทบจะเป็นลม เพราะตอนนี้ยอดค้างชำระเดือนหน้า สูงกว่าเงินเดือนที่เธอได้รับเสียแล้ว สาเหตุเป็นเพราะ เธอใช้จ่ายเกินตัวในบางเดือน และพอถึงรอบการชำระหนี้บัตรเครดิตที่ผ่านมา เธอชำระไม่เต็มจำนวน เมื่อชำระไม่เต็มจำนวน เงินส่วนที่ค้างชำระจะถูกคิดดอกเบี้ยและรวมไปจ่ายในรอบบัญชีถัดไป ด้วยดอกเบี้ยทบต้นที่สูงกว่า ๑๕%!! ทำผิดพลาดแค่ครั้งสองครั้ง กลับกลายเป็นมีหนี้ก้อนโต สินค้าที่หรูหราราคาแพง ที่เหมือนจะมาสร้างความสุขให้กับเราแน่ๆ หากเราได้มาเป็นเจ้าของ มาตอนนี้กลับกลายเป็นนำทุกข์มาให้แทน มาถึงตรงนี้ อนาคตที่หญิงสาวคิดไว้ว่าจะหาทางเก็บเงิน สร้างฐานะ เพื่อสะสมไว้เปิดร้านกาแฟของตัวเอง กลับกลายเป็นต้องมาทำงานชดใช้หนี้บัตรเครดิตที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแทน ข้อเสียของบัตรเครดิตจากเหตุการณ์นี้ก็คือ

๑. บัตรเครดิตไม่เคยเตือนเราว่า ตอนนี้เราได้ใช้จ่ายไปเกินกำลังของเราแล้วหรือไม่ มีแต่เราที่ต้องเตือนตัวเอง

๒. การใช้บัตรเครดิตในการซื้อสินค้า บ่อยครั้งเราตัดสินใจง่ายกว่าการใช้เงินสดซื้อ ทำให้เรามีโอกาสที่จะซื้อสินค้าหรือบริการที่ไม่จำเป็นเพิ่มขึ้น

๓. หากชำระค่าใช้จ่ายไม่เต็มจำนวน ดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณจากยอดค้างชำระจะสูงมาก ทำให้แบกภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เหมือนกับเราซื้อสินค้าในราคาที่แพงกว่าปกติจากดอกเบี้ยที่ต้องชำระไป

ถ้ามองในเชิงปริมาณ ข้อดี ๕ ข้อ หักลบข้อเสีย ซึ่งมีแค่ ๓ ข้อ ก็เท่ากับยังเหลือข้อดีอีกตั้ง ๒ ข้อ เพราะฉะนั้น บัตรเครดิตมีข้อดีกว่าข้อเสีย คิดอย่างนี้ได้ไหม? ไม่ได้นะครับ อย่าเข้าข้างตัวเองเด็ดขาด ข้อดี ๕ ข้อ บางคนก็ไม่ได้ทั้งหมด ๕ ข้อนั้นนะ ต่างประเทศก็แทบไม่เคยได้ไป คะแนนสะสมก็ไม่เคยรู้ว่าตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่ แถมข้อเสียของการใช้บัตรเครดิตนั้น กระทบกับการวางแผนการเงินในอนาคตอย่างมากนะ ตกลงหญิงสาวต้องทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี?

ประการแรกเลยคือ ลดจำนวนบัตรเครดิตในกระเป๋าลง เพราะการมีบัตรเครดิตหลายใบ บางครั้งเวลาใบแจ้งหนี้ส่งมาถึงบ้าน ตัวเราเองจะไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือนเป็นเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เห็นพร้อมๆกันทั้ง ๔ ใบ จนอาจคิดเข้าข้างตัวเองได้ว่า ตัวเองยังมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยเหมือนเดิม แต่เรื่องจริงคือ ยอดหนี้เกินเงินเดือนไปแล้ว

ประการที่สองคือ เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายใหม่ทันทีครับ การใช้บัตรเครดิตให้มีประสิทธิภาพและไม่กระทบกับแผนการเงินของเราก็คือ ชำระเงินค่าบัตรเครดิตครบทั้งจำนวนให้ตรงวันครบกำหนดชำระ เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยอันใหญ่โตมโหฬารที่จะตามมา

ประการสุดท้าย มีสติ จริงๆถือว่าสำคัญที่สุดใน ๓ ประการ หากเราระลึกรู้ถึงผลของการใช้จ่ายตามใจสุรุ่ยสุร่าย และมองเห็นข้อเสียที่จะตามมาหลังจากยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานเขาเอาไปรูดแล้ว อย่างน้อยเราก็ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า อยากซื้อ หรือไม่อยากซื้อ แต่เราจะใช้เหตุผลในการตัดสินใจว่า ควรซื้อ หรือไม่ควรซื้อ ถ้าหมั่นเจริญสติบ่อยๆ ก่อนจะได้นิพพาน ผลข้างทางที่เกิดจากการเจริญสติ ยังทำให้เราใช้จ่ายอย่างมีเหตุมีผลด้วย ใครที่เห็นว่าวางแผนการเงินเป็นเรื่องยาก เก็บเงินยาก จริงๆมีแค่ตัวเดียว ก็เปลี่ยนชีวิตเราทั้งชีวิตเลยครับ สตินั้นเอง ดังคำกล่าวที่ว่า สตินั้น จำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP