สารส่องใจ Enlightenment

วิมุตติคือความหลุดพ้น


พระธรรมเทศนาเทศนาโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู

การทำความดี มีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา เป็นต้น
การทำความชั่ว มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นต้น
ครั้นเราทำความดี ความดีจะตามสนองให้เรามีความสุข มีสุคติเป็นที่ไป
ครั้นเราทำความชั่ว ความชั่วจะตามสนองให้เรามีความทุกข์ มีทุคติเป็นที่ไป
พวกเราได้อัตภาพร่างกายมาสมบูรณ์บริบูรณ์
ก็เป็นเพราะปุพเพกตปุญญตา บุญของเราได้ทำมาแต่ปางก่อน
พวกเราจึงไม่ควรประมาท ควรรีบทำคุณงามความดี ละความชั่ว
ความชั่วก็ให้เห็นว่ามันพาไปในทางไม่ดี
ทำแล้วได้รับความเดือดร้อน ตกนรกทั้งเป็นนั่นแหละ
พวกเรามีการมาทำบุญให้ทาน มีการสดับรับฟังธรรมะ
รักษาศีลภาวนา ก็พาให้เกิดความสบายใจ
นั่นแหละบุญ เห็นกันที่นี่แหละ ไม่ต้องรอตายแล้วจึงจะไปสวรรค์
ใจดีก็เป็นสวรรค์แล้ว ใจร้ายก็เป็นนรก เดี๋ยวนี้แหละ

เพราะเหตุนี้จงทำใจให้ร่าเริง อย่าไปทำให้เศร้าหมองขุ่นมัว
มันจึงจะมีความสบาย จึงจะมีความสุข เพราะฉะนั้นจึงควรทำความดี
อย่าประมาท ให้พากันทำสติสัมปชัญญะให้รู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ คือความรู้ตัวในการกระทำ
ก่อนทำอะไรลงไปให้คิดเสียก่อนว่า มันได้ผลดีหรืออย่างไรต่อไปข้างหน้า
ถ้ารู้ว่ามันไม่ดีให้ความทุกข์ เราก็ไม่ทำ ประกอบแต่คุณงามความดี
ให้ระลึกรู้ว่าเมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล ไม่ได้ทำเสียเปล่าหรอก
ทำเหตุลงไปแล้วไม่ได้รับผล ไม่มีหรอกในโลกนี้
เหตุดีก็ต้องได้รับผลดี เหตุชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว มันจะสูญหายไปไม่มี

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีโทษ มีแต่คุณคือจิตไม่ขุ่นมัว จิตผ่องใส จิตเบิกบาน
จะยืน เดิน นั่ง นอนก็มีความสุข ไม่มีความทุกข์ จะเข้าสู่สังคมใดๆ ก็องอาจกล้าหาญ
การทำความเพียร เมื่อสมาธิเกิดขึ้นมีขึ้นแล้ว
จะไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความเกียจคร้านต่อการงานทั้งทางโลกทั้งทางธรรม
จากนั้นก็เป็นปัญญาที่จะมาเป็นกำลัง เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้วรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์
จะเรียนทางโลกก็สำเร็จ จะทำทางธรรมก็สำเร็จ
พระพุทธเจ้าท่านจึงสั่งสอนอบรมให้เกิดให้มีขึ้นมา
เบื้องต้นตั้งแต่ศีล ศีลเป็นที่ตั้งของสมาธิ สมาธิเป็นที่ตั้งของปัญญา
ไม่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางมาแห่งวิมุตติคือความหลุดพ้นด้วยกัน

ธรรมทั้งหลายตกอยู่ในไตรลักษณ์ มีทุกขา มีอนิจจา มีอนัตตา
ทั้งสามนี้ให้สำนึก พึงรู้ ทุกขัง ชาติ ความเกิดมาเป็นทุกข์
อนิจจัง มันไม่เที่ยง มันแปรเป็นอื่น อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
บอกมันก็ไม่ฟัง บอกไม่ให้มันแก่มันก็แก่ ฟันบอกไม่ให้มันหลุดมันก็หลุด
หัวบอกไม่ให้มันหงอกมันก็หงอก หนังบอกไม่ให้มันเหี่ยวมันก็เหี่ยว
ผลที่สุดไม่นานก็นอนตายทับแผ่นดิน
ส่วนดินก็ไปเป็นดิน ส่วนน้ำก็ไปเป็นน้ำ ส่วนลมก็ไปเป็นลม ฯลฯ
เหลือแต่ดวงวิญญาณนี้เท่านั้น นี่ธาตุ ๔ ให้พิจารณาแยกออก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
ธาตุดินต่างหาก ธาตุน้ำต่างหาก ธาตุลมต่างหาก ธาตุไฟต่างหาก มารวมกันแล้วก็แตกดับไป
เป็นของไม่แน่นอน เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังมีแต่ทุกข์ ถ้าใครไปยึดไปถือ

ส่วนอริยสัจ ๔ ให้พิจารณาให้รู้ให้เห็นตามเป็นจริง
ทุกข์ ควรกำหนดรู้ สมุทัย ควรละเสีย นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรค ควรทำให้เกิดให้มี
ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ พยาธิ ความเจ็บ มรณะ ความตาย นี่ทุกขสัจ
ทุกข์มันเกิดมาจากไหน ทุกข์เป็นตัวผล สมุทัยเป็นตัวเหตุ
สมุทัย คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ความใคร่ในรูปที่สวยที่งามในวัตถุกามต่างๆ
มีเงินทองข้าวของ เป็นต้น เรียกว่า กามตัณหา
ความอยากมี อยากเป็น อยากเป็นโน่นอยากเป็นนี่
อยากเป็นเศรษฐี คหบดี เป็นต้น เรียกว่า ภวตัณหา
ความไม่พอใจ ของได้มาแล้วหายไปก็เกิดความไม่พอใจ
ร่างกายของตนก็ดี ของคนอื่นก็ดี เมื่อแก่ลงมามีความชำรุดทรุดโทรม
ผมหงอก ฟันหัก แก้มตอบ เป็นต้น เลยไม่พอใจ
หรือเสียงเขาด่า เขานินทา ได้ยินเข้าก็เกิดความไม่พอใจ นี้เรียกว่า วิภวตัณหา
ตัณหาทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นเหตุให้สัตว์ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร
ในภพน้อยภพใหญ่นับกัปนับกัลป์ไม่ได้

ตัณหามันเกิดขึ้นมาจากไหน ต้องค้นหาเหตุมัน
เหตุมันเกิดจากอายตนะภายในและอายตนะภายนอกมาสัมผัสกัน
ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรู้ธรรมารมณ์
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้สำรวมอินทรีย์ทั้งหก
คือสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ให้เพียรสำรวม เพียรละ ไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย
ทำจิตให้เป็นกลางวางเฉยต่ออารมณ์ นี่เรียกว่าการดับตัณหา
การทำความเพียร การสำรวมและการทำความดีทุกอย่างเพื่อละตัณหา นี้แหละเป็นทางมรรค
เมื่อมีปัญญา เห็นความเกิดขึ้น ความดับไปของสังขารทั้งหลายทั้งปวง
เห็นแน่ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เป็นเพียงธาตุ ๔ มาประชุมกันเข้า แล้วก็แตกสลายไปอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา
ฐิติธรรมมีการตั้งขึ้น มีอยู่ แล้วดับไป พิจารณารู้เท่าทันในสิ่งเหล่านี้ไม่หวั่นไหว
เรียกว่า นิโรธ คือผู้วางเฉยต่ออารมณ์ ดังนี้แหละ

 

sathu2 sathu2 sathu2


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก อนุสรณ์เนื่องในการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์และ
เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร วันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๕



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP