สารส่องใจ Enlightenment

พิจารณาความเสื่อมสิ้นไปของร่างกาย


พระธรรมเทศนาโดย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


วันนี้จะเทศน์เรื่องความแก่ให้ฟัง เรามาอยู่จำพรรษา ๓ เดือนนั้นเป็นเกณฑ์ของพระ
แต่ชาวบ้านจะนับถือปฏิบัติอยู่จำพรรษาด้วยก็ได้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เวลาก็ล่วงมาได้กว่าครึ่งแล้ว
เวลามันหมดไปสิ้นไปทุกคนนั่นแหละ มันหมดไปกับปีกับเดือนกับวันกับคืนทุกปีทุกเดือน
อย่างปัญหาที่ท่านพูดว่า ยักษ์มีตา ๒ ข้างหนึ่งริบหรี่ ข้างหนึ่งสว่าง
มันมีฟันอยู่ ๓๒ ซี่ ขยี้เคี้ยวกินสัตว์อยู่ทุกวันเวลา ยักษ์นั้นหมายถึงอะไร
ท่านเปรียบให้เห็นว่า วันคืนเดือนปีล่วงไปๆ ชีวิตทุกคนจะต้องหมดไปด้วยกัน
คือตาข้างที่สว่างเปรียบเหมือนกลางวัน ตาที่ริบหรี่เปรียบเหมือนกลางคืน
ฟัน ๓๒ ซี่ ได้แก่วันที่ทั้ง ๓๐ กว่าวันในเดือนปี กาลเวลาได้ขยี้เคี้ยวกินสัตว์อยู่ทุกวัน

ความแก่ไม่มีกำหนดและหากฎเกณฑ์ไม่ได้ว่า คนไหนจะแก่ไปถึงขนาดไหน
ทุกคนต้องแก่ไปด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ทราบว่า คนไหนจะแก่ไปถึงขนาดไหน
ทุกคนต้องแก่ไปด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ทราบว่าคนไหนจะถึงกำหนดหมดอายุเวลาใด
เราอยู่ด้วยกันดีๆ และอยู่อย่างสบายนี่แหละ จึงไม่ค่อยรู้สึกตัวว่าแก่
ความแก่ของคนไม่เหมือนกับลูกไม้ ผลไม้ๆ ที่มันสุกก็เรียกว่ามันสุก
แต่ความเป็นจริงไม่ใช่มันสุกแต่มันเน่าพอดีฉันได้ มนุษย์เราจึงเอามากิน
มนุษย์เรามันฉลาดที่เห็นว่ามันเน่าพอฉันได้ก็เอามากินเสีย
ลูกไม้ผลไม้ก็แก่เหมือนกัน แก่ไปหาความเน่า

แต่ลูกไม้แก่ยังดีกว่าคนแก่ ที่กินได้ ทานได้ แต่คนแก่ทานไม่ได้
อย่างมากที่สุดก็จะอยู่ได้ราว ๖๐-๗๐ ปี เท่านั้น เลยไปแล้วทิ้งเลย ถึงจะแก่ไป ๕๐-๖๐ ปี
ก็ไม่ใช่กินความแก่ แต่กินแรงของคนที่มีกำลังทำได้ ทำการทำงานเอาไว้ได้กินอันนั้นแหละ

ท่านยังเทศนาว่า โย จวสสสตํ ชีเว อปสสํ อทํยพยํ แปลว่า คนที่มีอายุตั้ง ๑๐๐ ปี
ถ้าหากไม่พิจารณาถึงความเสื่อมความสิ้นไปของร่างกายสังขารนี่แหละ ก็ไม่มีประโยชน์
เอกาหํ ชีวิตํ เสยโย ปสสโต อุทํยพพยํ หากว่าผู้ใดเกิดมาในวันนั้นก็ตาม เห็นความเสื่อมสิ้นไป
ของสังขารร่างกาย ได้ชื่อว่ามีอายุมากกว่า มีประโยชน์มากกว่าคนอายุ ๑๐๐ ปีนั่นเสียอีก

คนที่ไม่พิจารณาอายุของตน ไม่พิจารณาความสิ้นเสื่อมไปของตน อยู่ไปทำไม อยู่สักแต่ว่าอยู่
เหมือนกับลูกไม้ เช่น ฟัก แฟง แตง เต้า ที่แก่ไปๆ
เกิดมาเป็นคนแล้วไม่คิดพิจารณาอะไรเลย ไม่คิดถึงตัวเองเลย ท่านว่าไม่มีประโยชน์อะไรหรอก
ผู้มีปัญญาเกิดมาในวันนั้นก็เอาเถอะ หากได้พิจารณาความเสื่อมสิ้นไปของร่างกายของตน
ได้ชื่อว่าประเสริฐกว่า ดีกว่าผู้มีอายุตั้ง ๑๐๐ ปีนั่นอีก

การพิจารณาเห็นความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารร่างกายมันดีอย่างไร
มันดีที่จะรีบเร่งประกอบคุณงามความดี สิ่งที่ตนจะต้องทำ รีบทำเสีย
อะไรที่ยังไม่ทำก็จะต้องรีบทำ กิจที่จะต้องทำๆ เสีย
พระองค์เทศนาว่า จเรยยาทิตตสีโสว เหมือนกับไฟไหม้ผมของเราที่บนศีรษะ รีบดับ
ความดีก็ให้รีบทำอย่างนั้นแหละ ความดีของเรามีอะไรบ้างให้คิดพิจารณาถึงตัวเรา
วันหนึ่งๆ เราทำความดีแค่ไหน ได้อะไรบ้าง พิจารณาดูว่าเราทำความดีอะไรบ้าง
ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงที่เราอยู่กลางวันๆ ไม่ได้นอน มีความดีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง
หรือหลับทิ้งเสียเปล่าๆ นอนทิ้งเสียเฉยๆ ในวันหนึ่งๆ อย่าให้เวลาล่วงเลยไปเปล่าๆ
คิดถึงคุณงามความดีของตน แล้วก็คิดถึงกิจที่ตนจะต้องทำ เกิดมาต้องหาเลี้ยงชีพ หาอยู่หากิน
มีแต่กินไม่หาก็ไม่ได้ หามากมันเหลือกินเหลือใช้ มันก็มี ก็รวยนะซี
นี่เรื่องอาชีพวันนี้หาได้เพียงแต่พอกินเท่านั้น มันก็มีประโยชน์

หากินมันก็หาบำรุงความตาย เลี้ยงไว้ท่าตาย ตายแล้วมันได้อะไร
คนตายแล้วต้องเกิดอีก จิตของเรายังมีกิเลสก็ต้องเกิดอีกเป็นธรรมดา
เพียงแต่หากินแล้ว ก็นอนท่าตายอยู่อย่างนั้น มันจะมีประโยชน์อะไร
คิดได้อย่างนี้ก็มาคิดถึงคุณงามความดีอะไรจึงจะทำให้เราไปเกิดในที่ดีๆ ไปดีๆ ขึ้นไปโดยลำดับ
ทาน ศีล ภาวนาของตนมีไหม เราเกิดขึ้นมาในโลก เรานี้ได้ชื่อว่าเป็นหนี้สินของโลก
เราจะต้องใช้หนี้สินของโลก ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง คุณงามความดีเราก็ต้องทำ
อาชีพของเราๆ ก็ต้องเลี้ยงเราก็ต้องหา มันจึงได้ประโยชน์แก่ตนของตน
ถ้าหากทำอย่างนั้นแล้วได้ประโยชน์ก็จะอิ่มใจ พอใจ ได้ทำทานเป็นประจำ มีศีลข้องดเว้นจากโทษ
ทำสมาธิภาวนาให้เจริญแล้วก็จะมีปัญญาความรู้ต่างๆ ครบบริบูรณ์
ถึงหากไม่ได้มาก ได้นิดเดียวก็เอา ได้แต่อาการกิริยาที่ทำก็เอานั่นแหละเป็นนิสัยที่ดี
ดีกว่าที่เราจะทำชั่ว ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดมิจฉาจารนั้นชั่วมาก
ตายไปแล้วไม่มีที่พึ่ง ตายไปแล้วตกนรกหมกไหม้หาที่พึ่งไม่ได้

ให้พิจารณาถึงความดีของตนอย่างนี้ จึงจะรักษาตนให้เจริญรุ่งเรืองไปได้
ชีวิตของเราที่เป็นมาถึงวัยเช่นนี้หมดไปแล้วเท่าไร เหลือเท่าไรก็ยังไม่ทราบ
ไม่มีใครกำหนดได้สักคนเดียว เราจะประมาทอย่างไรอยู่
พระองค์เทศนาว่าความประมาทเป็นทางแห่งความตาย เรียกว่าตายจากคุณงามความดี
คือไม่ทำความดีนั่นเอง เรียกว่าประมาท คอยท่าให้แก่ซะก่อน เฒ่าซะก่อน ชราซะก่อน จึงค่อยทำ
เวลาความแก่ เฒ่าชรามา ทำไม่ได้หมดแล้วคราวนี้ เมื่อยังหนุ่มยังแน่น ไม่พากันรีบเร่งทำ
คอยให้แก่เฒ่าจึงค่อยทำ ถึงเวลานั้นก็หมดเวลาแล้ว เหตุนั้นจึงว่าทำเสียในบัดนี้ วันนี้
พระองค์เทศนาไว้ว่า อชเชว กิจจมาตปปํ โก ชญญา มรณํ สุเว
ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้ ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้
เพราะจิตเรามันกลับกลอกได้ เวลานี้มีความคิดว่าเราจะทำดี
ครั้นหากว่าเราล่าช้าไปจนกระทั่งพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มันสามารถจะกลับกลอกได้
นั่งทำสมาธิก็รู้ได้หรอก ทำสมาธิก็รู้จักหรอก เวลานี้ทำสมาธิดี วันนี้ดี
พรุ่งนี้ก็กลับไปอีกแล้วเรื่องอื่นอีกแล้ว ไม่ดีเสียแล้ว

ฉะนั้นจึงควรที่จะรักษาสมาธิ เมื่อทำได้แล้วได้เพียงขั้นไหนก็ให้รักษาขั้นนั้นไว้
ให้หาอุบายปัญญาในการที่จะรักษานั้น ให้พิจารณาให้มันแยบคายด้วยปัญญาของตนเอง
เราทำอย่างไรจึงค่อยดี พิจารณาอย่างไรจึงค่อยดีอย่างนี้ เรารักษาอุบายปัญญานั้นไว้
ท่านอุปมาไว้หลายอย่าง คนที่รักษาความดีเหมือนกับมารดามีลูกคนเดียว รักที่สุด ถนอมที่สุด
หรือเหมือนกับ คนที่มีตาข้างเดียว รักที่สุด ถนอมที่สุด ความดีอันนั้นที่จะไม่ให้เสื่อมสูญไป
ที่จะรักษาตาดีข้างเดียวนั้นแหละ ข้างหนึ่งบอดแล้ว อีกข้างหนึ่งบอดก็หมดท่า จึงต้องรักษาให้ดีที่สุด
ของอื่นๆ ที่เราเคยทำมามากมายล้นหลายไม่เป็นประโยชน์หรอก ความชั่วที่ทำไปไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ความชั่วที่ทำไปไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่สะสมกิเลส ไม่ใช่การชำระกิเลส
กิเลสในที่นั้นหมายความว่าความยุ่งเหยิง ความวุ่นวาย ความเกี่ยวข้องพัวพัน
ความคิดความนึก ความปรุงความแต่งสารพัดทุกอย่าง
จิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส จึงได้เพลิดเพลินลุ่มหลงมัวเมา
จิตที่เราชำระสะสางด้วยการชำระเอาของไม่ดีออก ของน่าเกลียด ของสกปรกจึงค่อยละค่อยถอนทิ้งไป
เมื่อทิ้งของสกปรกออกไปแล้วให้รักษาของดีนั้นไว้ อย่าให้ของสกปรกเข้า
นี่แหละการรักษาความดีของตน ต้องรักษาอย่างนี้

จึงว่าคนมีอายุร้อยปี แต่หากไม่พิจารณาถึงความเสื่อมสิ้นของสังขารร่างกาย
สู้คนที่เกิดในวันนั้นแต่พิจารณาความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารไม่ได้
ให้คิดดูก็แล้วกันคนเราเกิดมาแล้ว ทุกคนแหละ ตกอยู่ในสภาพของความประมาททั้งนั้น
เมื่อพิจารณารู้สึกว่าตนประมาทแล้วควรรีบเร่งทำความดีเสีย
ความดีเป็นของทำง่าย
ถ้าหากทำถูกต้องแล้ว ทำง๊ายง่าย ยืนเดินนั่งนอนเป็นความดีของตนทั้งนั้นเป็นสมาธิทุกเมื่อ
นั่นจึงว่าทำง่าย หากทำไม่ถูกทำอย่างไรก็ไม่ถูก นั่งตลอดวันยังค่ำมันก็ไม่เป็นให้
เหตุนั้นการที่เราทำดีได้แล้วนั้น จึงรักษาไว้ให้ดี จึงจะเป็นประโยชน์แก่ตน เอาละอธิบายแค่นี้


sathu2 sathu2 sathu2

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก "ความแก่"

ที่มา http://www.thewayofdhamma.org/page3_2/patum72.html



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP