วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๑๑


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


ก้องฟ้ายืนเคียงคู่กับจิญยานี แขกผู้ร่วมงานเข้ามาทักทาย ชื่นชมความสมบูรณ์พร้อมของงาน เจ้าภาพยิ้มรับพลางยกความดีความชอบให้กับหญิงสาวผู้จัด

ใบหน้าแต่ละคนแช่มชื่น สนุกสนาน สีสันรูปแบบงานบนเวทีจับตาจับใจ กล้องจับภาพการเดินแบบภายใต้ละอองน้ำหลากสีสันออกมางดงามราวกับฝัน ผู้แสดงแบบทุกคนล้วนเป็นมืออาชีพชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งลูกๆ ชาวไฮโซที่ร่วมเดิน ทำให้งานดูไม่ธรรมดา รวมกับไวน์นอกชั้นดีที่สั่งเสิร์ฟโปรโมตไม่อั้น ยิ่งส่งให้งานนี้สามารถกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ในวันรุ่งขึ้นไม่ยาก

ขอบใจมากนะ ก้องฟ้าพูดกับจิญยานี

เพื่อท่าน ดิฉันทำเต็มที่ค่ะ หญิงสาวตอบ

นึกไม่ออกเลยนะ ถ้าไม่มีเธอช่วยจัดการเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้แล้วฉันจะเป็นยังไง คำพูดยกย่องเช่นนี้ไม่น่าหลุดจากปากผู้มีอิทธิพลแห่งยุคครอบครองธุรกิจมหาศาลอยู่ในกำมือ

โธ่ ดิฉันแค่ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น ท่านต่างหากเป็นคนวางแผนทั้งหมด

คำพูดถ่อมตัวกึ่งยกย่องฝ่ายตรงข้ามทำให้ก้องฟ้าใจพองคับอก เหมือนกลับเป็นหนุ่มอีกครั้ง

รอดูชุดสุดท้ายนะคะ จิญยานีพูดพร้อมรอยยิ้มหยาดเยิ้ม

การเดินแบบถูกแสดงหมดชุดแล้ว เหลือเพียงชุดสุดท้ายฟินาเล่ที่ไม่เหมือนใครและไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ไฟดับ...ขณะเดียวกันประกายระยิบระยับก็ปรากฏขึ้นตามจุดต่างๆ ดูราวกับมวลหมู่ดาราที่กะพริบพรายเต็มฟ้าในคืนเดือนแรม

เสียงปรบมือดังกึกก้อง ก่อนแว่วเสียงดนตรีแปลกๆ สอดแทรกขึ้นมาเชื่องช้า เนิบเนือย เส้นเสียงสะท้อนกังวานทั่วห้อง มาจากเครื่องดนตรีที่ยากแยกแยะเครื่องสายหรือเครื่องเป่า บางช่วงของท่วงทำนองหวีดหวิวโหยหวน บางช่วงกังวานขับใส ระรื่นหู

บนเวที ละอองน้ำถูกฉีดดังฟู่ แสงสีฟ้าอ่อนส่องจับระเรื่อเล่นลวดลายพลิ้วพรายดูคล้ายแม่น้ำสายใหญ่กำลังไหลละล่องเริงระบำ จากนั้นทำนองดนตรีเปลี่ยนเป็นอืดเอื่อยสอดคล้องกับเงาภาพแม่น้ำที่ไหลช้าลงเสมือนคนชราที่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง

ฉับพลัน เสียงดนตรีกลับกลายกระชั้นเร่งเร้า ภาพที่ปรากฏเป็นนางแบบเดินนำขบวนด้วยชุดสีทองอร่ามตาประดับด้วยเพชรส่องประกายวูบวาบ มองเผินๆ คล้ายเศียรนาคประดับประดาพร้อมด้วยเครื่องทรง

นางแบบคนต่อมาแต่งกายเหมือนกัน เป็นชุดสีทองที่มีลวดลายคล้ายเกล็ดปลา เมื่อเดินเรียงกันหลายคนตามจังหวะดนตรีที่เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว จะมองคล้ายพญานาคกำลังเล่นน้ำอย่างรื่นเริง...เป็นชุดฟินาเล่ที่ใช้นางแบบทั้งหมดใส่เดินเรียงกันจึงสามารถเห็นภาพนาคราชล่องแม่น้ำ

ก้องฟ้าตัวชาวาบ ชุดนาคราชที่เห็นประกอบกับบรรยากาศรอบๆ ทำให้เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก ความเชื่อที่มีมาแต่ต้นตระกูลบอกว่าพวกเขามาจากนาคราช ผู้คนในครอบครัวจะได้รับการคุ้มครองจากพญานาค ไม่มีวันถูกทำร้ายจากอสรพิษ สัตว์ไม่มีเท้าทุกชนิด จนกลายเป็นชื่อสกุลนาคพิทักษ์



ชุดสุดท้ายที่จิญยานีจัดให้บ่งบอกถึงที่มาตระกูลเขาชัดเจน มันควรภาคภูมิใจแต่ก้องฟ้ากลับบังเกิดความกลัวที่บอกไม่ถูก ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ความหนาวยะเยือกเริ่มจากปลายเท้าแล่นสู่ปลายผม

งานเปิดตัวไวน์ครั้งนี้ไม่น่าเกี่ยวกับพญานาค ทำไมจิญยานีถึงจัดฟินาเล่ชุดนี้

ครืน...เสียงฟ้าคำรามดังก้อง แสงสว่างแวบๆ ผ่านเข้ามาในห้อง แขกทุกคนคิดว่านี่เป็นส่วนประกอบการแสดง จึงมีเสียงปรบมือดังมาอีกระลอก

ทันใดนั้นก่อนเสียงปรบมือจะซา...เปรี้ยง! ฟ้าผ่าดังลั่น เล่นเอาแก้วหูสะเทือน

ฟู่...ควันขาวกระจายออกมาทั่วห้อง มันไหลไม่หยุดหย่อนจนหนาแน่นเต็มบริเวณอย่างรวดเร็ว อากาศที่ควรเย็นฉ่ำกลับอุ่นระอุ กลิ่นแปลกๆ ลอยเอื่อยๆ มาตามควัน ผู้คนเริ่มมวนท้อง สมองเบลอภาพที่เห็นเลือนราง

เหล่านางแบบบนเวทีดูไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เงาพร่าสีทองกลายเป็นร่างนาคราชขนาดใหญ่กำลังโลดแล่นไปมากลางกลุ่มควัน แสงสีฟ้าอ่อนกระทบควันขาวดูราวมหาสมุทรกว้าง นอกจากนาคราชใหญ่ ยังมีนาคน้อยกำลังระเริงชลอีกเป็นขบวน

สายตาแขกผู้ร่วมงานเห็นสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ห้องจัดเลี้ยงแต่กลายเป็นมหานทีที่เกลื่อนกล่นด้วยเหล่านาคา นาคีเสียแล้ว


รอยจันทร์ไม่เป็นตัวของตัวเอง ชุดที่ใส่กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย พอก้าวนำขึ้นเวทีสติเริ่มเลื่อนลอย เดินไม่รู้เหนือใต้ ในหูมีเสียงดนตรีจังหวะแปลกๆ เร่งเร้าไม่อาจหยุดอยู่กับที่ ร่างกายอ่อนโอนคล้ายไม่มีกระดูก ท้องปวดมวนเกินระงับ ถึงกระนั้นก็ยังหยุดไม่ได้ จังหวะดนตรีดังกระชั้น ร่างกายไหลลื่นไม่อาจควบคุม ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากภายในโดยไม่อาจเยียวยาตัวเอง ฝืนสติพยายามมองรอบๆ ไม่เห็นใครสักคน ทั่วบริเวณกลายเป็นแม่น้ำสายกว้างแลสุดลูกหูลูกตา หล่อนกำลังตะเกียกตะกายไร้จุดหมาย

ขณะความรู้สึกจะขาดผึง หญิงสาวรวบรวมสติ คิดถึงอำนาจพุทธคุณ ระลึกถึงพ่อแม่ผู้ล่วงลับ สิ่งที่บุพการีปลูกฝังสั่งสอนตั้งแต่เด็ก ใช้อำนาจความเย็นแห่งกุศลปลุกสติตนเอง เรี่ยวแรงเหลือน้อยเต็มที สิ่งสุดท้ายที่พอกระทำได้คือส่งเสียงเรียกเบาๆ

ริว...


-----000-----


ริวกับเธียรเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง ทุกคนล้วนเคลิบเคลิ้มหมอกควันมายาปกคลุมทั่ว สายตาชายหนุ่มมองหาหญิงสาวนางแบบสวมชุดสีทอง แต่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ย่อมมองไม่เห็นใคร เกือบลุยเปะปะเข้าไปหา หูแว่วเสียงเบาๆ

ริว เสียงของรอยจันทร์

พี่เธียร ตามผมมา ริวบอกชายหนุ่มรุ่นพี่ก่อนเดินลุยตามทิศทางที่มั่นใจ ต้นเสียงอยู่ไม่ไกล เขาไม่สนใจเธียรจะตามมาหรือไม่ ใจจดจ่อต่อจุดหมาย ควันขาวแยกเป็นทาง

รอยจันทร์ฟุบอยู่กับพื้น ชุดแสดงแบบสีทองพร้อมเครื่องแต่งองค์ดูท่าหนักไม่ใช่เล่น ริวประคองหญิงสาวขึ้น ถอดหมวกเครื่องทรงออก ใบหน้าหล่อนซีดเผือดทั้งที่ตกแต่งเครื่องสำอาง ริมฝีปากแห้ง ร่างกายร้อนระอุ

พี่เธียรช่วยผมหน่อย ริวเงยหน้ามองหาผู้ช่วยเหลือแต่ต้องชะงัก

เธียรอยู่ในสภาพเกือบไม่แตกต่างจากรอยจันทร์ เขาทรุดฮวบอาศัยมือยันพื้น ใบหน้าเผือดขาวนัยน์ตาโรยซ่านคล้ายคนไข้หนัก

พี่...ไม่...ไหว... ชายหนุ่มฝืนเอ่ยปากสองสามคำก็กระตุก เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้า

ฉิบหายแล้ว ริวสบถ

ควันขาวที่ปกคลุมห้องมีปัญหา ไวน์ที่ทุกคนดื่มก็มีปัญหา เมื่อตัวปัญหาทั้งสองมารวมกัน ยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่

พี่เธียรมานั่งพิงเวทีตรงนี้ก่อน ริวบอกกึ่งสั่งพลางประคองรอยจันทร์พิงข้างเวทีจากนั้นช่วยลากเธียรให้นั่งเคียงข้าง

ฝืนตั้งสติไว้นะพี่ มันทรมานมากผมเข้าใจ แต่ทนอีกนิด ผมจะหาทางช่วยเอง เห็นสภาพสองหนุ่มสาวแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่เขาจะห่วงแค่สองคนไม่ได้ แขกในงานอีกร่วมร้อยตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เขาต้องช่วยทุกคน

ไม่รู้หมอกขาวพวกนี้คืออะไร กลิ่นไม่ต่างจากไวน์เพียงแต่เจือจางเบาบางกว่า ในห้องปรับอากาศปิดอับเช่นนี้ ฤทธิ์ของมันเมื่อรวมกับไวน์อาจทำให้ถึงตาย ถ้าช่วยเหลือไม่ทัน

...ต้องทำให้มันเจือจางก่อน...

ห้องนี้ติดกระจกรอบ แต่มีด้านที่เปิดออกได้ ริวพอจะรู้มันอยู่จุดไหนบ้าง


เสียเวลาวิ่งวุ่นอยู่ราวห้าถึงสิบนาทีก็สามารถเปิดหน้าต่างออกจนหมดควันขาวค่อยลอยออกไปอย่างเชื่องช้า

ริวกำลังจะไปดูเธียรกับรอยจันทร์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังสะเทือนแก้วหู

คิดว่าเอ็งกำลังทำอะไร

บรรยากาศห้องจัดเลี้ยงแปรเปลี่ยนฉับพลัน ควันขาวที่กระจายนิ่งกลับหมุนวนไม่ยอมออกนอกหน้าต่าง แสงไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงจ้าจับทะเลหมอกคล้ายย้อมด้วยเลือด

ผมทำในสิ่งที่สมควร ชายหนุ่มยืนหยัดตอบ

สิ่งสมควรของเอ็งคือการกล้าท้าทายข้า กระแสเสียงดุดัน

ถ้าท่านคิดอย่างนั้นผมก็จนใจ ริวตอบต่อผู้ไม่ยอมปรากฏกาย

สงสัยว่าการสั่งสอนคราวก่อนมันจะเบาเกินไป เอ็งถึงกล้าต่อคำกับข้าเช่นนี้ คำพูดนี้เนิบช้า ราบเรียบ แฝงกระแสคุกคามปิดไม่มิด

ความพรั่นพรึงผุดขึ้นกลางใจ ริวรู้ตัว อำนาจที่มีไม่อาจต่อต้านฝ่ายตรงข้าม คราวก่อนแค่สั่งสอนเบาๆ ยังเล่นจนไข้ขึ้นนอนซมเป็นวัน ถ้าครั้งนี้ปะทะกันจริงๆ ผลจะเป็นเช่นไร

ทะเลหมอกม้วนตัวบิดเป็นเกลียว หมุนวนเป็นเส้นลอยตัวสูงกลายเป็นลำตัวงูขาวขนาดมหึมา ริวเห็นผู้คนในห้องนอนเกลื่อนระเนระนาด มีเพียงเขากล้ายืนเผชิญหน้ากับภัยร้าย

ดูสิว่าคราวนี้เอ็งจะเอาตัวรอดได้อีกมั้ย

พร้อมคำประกาศก้อง ส่วนหัวของนาคราชก็ผุดขึ้นมากลางเกลียวหมอกพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว แรงปะทะทำให้ริวกระเด็นติดผนังกระจก

จุกเสียดแทบขาดใจ ฝืนกำลังยันกาย รวบรวมสติสมาธิเปล่งอำนาจนาคาในร่างขึ้นเต็มส่วนนัยน์ตาวาววับ จ้องเขม็งยังร่างแปลงพญานาคที่ลอยอยู่เบื้องบน

ผมไม่เคยมีความแค้นกับท่าน ถ้าจะเล่นงานกัน ผมก็ไม่ยอมถอยแน่

เป็นครั้งแรกที่เขาเปล่งวาจาท้าทายไม่กลัวเกรง สติ สมาธิสัมพันธ์กับร่างกาย ฤทธิ์อำนาจใดที่มีเตรียมพร้อมปะทะต่อสู้

นาคราชที่อาศัยหมอกพิษเป็นร่างกำลังเลื้อยวนอย่างอหังการ ท่าทางดูหมิ่นคู่ต่อสู้ชนิดไม่เห็นอยู่ในสายตา

ฉับพลันเสียงดัง เพล้ง! กระหน่ำกึกก้อง กระจกที่ติดรอบห้องจัดเลี้ยงแตกกราว เม็ดกระจกกระเด็นเข้ามาข้างในคล้ายพายุลูกเห็บ

ริวเบี่ยงตัวหลบทั้งที่มองไม่เห็นเบื้องหลัง ร่างโดนเศษกระจกบาดเป็นแผลหลายรอย เขาผุดรอยยิ้ม นัยน์ตากระจ่างจ้า กำหนดอำนาจเรียกลม

วู้...หวิว...ซู่...สายลมกรูเกรียวเข้ามาจากรอบทิศทาง พุ่งตรงสู่พญานาคเป็นจุดเดียว วายุเหมือนคมมีดกรีดไอหมอกจนขาดวิ่นแตกกระจาย ไม่สามารถประกอบเป็นร่างได้

ฮ่า...ฮ่า... เสียงกระหึ่มหัวเราะลั่น ร่างแห่งนาคราชปรากฏขึ้นใหม่เป็นร่างที่กอปรด้วยพลังมนตรา แต่ละเกล็ดเปล่งสีแดงจ้า ดวงตาพญาบาดาลใสกระจ่าง หงอนสูง แผงคอสง่าแสดงธาตุฤทธี

ชายหนุ่มเตรียมพร้อม นาคราชอ้าปากพ่นเพลิงพิษพุ่งตรงเป็นเกลียวสีส้มแดงเข้าใส่ ตั้งใจเผาคราเดียวให้เป็นจุณ

ริวรวมอำนาจนาคาสร้างกำแพงขวาง เพลิงพิษหยุดอยู่เบื้องหน้าห่างไม่เกินสามคืบ ไอร้อนและกลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนกระจายคลุ้ง ยิ่งต่อต้านนานเรี่ยวแรงยิ่งหดหายเพลิงอำนาจฝ่ายตรงข้ามกลับเพิ่มพูน

กำแพงมนตราร่นเข้าใกล้ บอกถึงความอ่อนด้อยไม่อาจต้านทาน ชายหนุ่มรวบรวมกำลังอีกครั้ง กระแทกเพลิงพิษนั้นกลับคืน

โครม...ปัง... แรงต่อต้านสลาย ริวเซถลากระแทกโต๊ะ จุกเสียดแทบกระอัก รีบพลิกร่างเพื่อเตรียมรับการจู่โจมอีกครั้ง แต่...ช้าเกินไป เพลิงพิษระลอกสองติดตามมาทันควัน เปลวสีส้มพุ่งมาถึงตรงหน้า ริวไม่มีกำลังแม้แต่จะเบี่ยงตัวหลบ

ทว่า...ฟู่...เพลิงพิษแตกเป็นสะเก็ดไฟเล็กๆ และดับในที่สุด

ใคร...ผู้ใดมีอำนาจสามารถดับไฟพิษพญานาคราช

ในห้องจัดเลี้ยงมีแขกเพิ่มอีกคน หญิงสาวร่างสูง สง่า ผมยาวถึงกลางหลังใบหน้ากระด้างคมสวย นัยน์ตาโตลึกทรงอำนาจริมฝีปากเรียว เรียบนิ่ง

...พันเกลียว...

นางผู้มีฤทธิ์ เหตุใดถึงมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่น เสียงกังวานแฝงความเกรงใจสามส่วน

สิงหานาคราช หญิงสาวเอ่ยชื่อเต็มๆ ท่านก็กำลังทำร้าย ผู้อื่น เช่นกัน

แต่มันเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้า

เขาทำไปเพราะมีเมตตาต่อมนุษย์ด้วยกัน ท่านดูสิ ผลงานของท่าน ผู้คนมากมายในห้องนี้ล้วนถูกท่านทำร้าย มันสมควรแล้วหรือ

สมควรยิ่ง คำตอบไม่กริ่งเกรง

พันเกลียวถอนใจ ดูท่าพูดไปไม่มีประโยชน์ หล่อนพยุงริวให้ลุกขึ้นยืนเงยหน้ามองนาคราชที่ลอยตัวเหนือห้องจัดเลี้ยง

ท่านกลับไปเสียเถอะ หญิงสาวกล้าออกคำสั่งต่อพญานาคผู้ทรงฤทธิ์

คิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงออกคำสั่งกับข้า น้ำเสียงหยิ่งผยองไม่ยอมใคร

ฉันขอร้องละ คืนนี้ท่านทำร้ายคนมากเกินไปแล้ว

คำขอร้องที่ปราศจากน้ำหนักแห่งอำนาจ ย่อมไร้ค่า

ถึงตอนนี้ริวพอจะฟื้นเรี่ยวแรงขึ้นบ้าง เขาแปลกใจที่พบพันเกลียวในสถานการณ์นี้ ในความแปลกใจก็ยินดี รู้สึกฮึกเหิมพร้อมเผชิญหน้าศัตรูร้ายอีกครั้ง

ได้สิ ถ้าจะใช้กำลังตัดสินกัน ก็ลงมือเลย เขาท้าทั้งที่รู้ว่าด้อยกว่า

ไม่มีคำพูดตอบโต้ นอกจากอาการสั่นสะเทือนของพื้นที่ยืน ดวงตาสิงหานาคราชฉายประกายลุกโชน ร่างสีแดงเปล่งแสงจัดจ้า

ครืน...ครืน ฟ้าร้องดังลั่นสะเทือน สายฟ้าแลบแปลบปลาบ สีแดงจากสิงหานาคราชยิ่งสุกสว่าง และแล้วร่างแปลงพญานาคก็แตกตัวลุกเป็นลูกไฟจำนวนมหาศาลสาดใส่พันเกลียวกับริวอย่างรุนแรง รวดเร็ว ไม่ผิดกับกระสุนเพลิงที่ยิงออกมาจากกองทัพอันเกรียงไกรมีแม่ทัพใจคออำมหิตเป็นผู้สั่งการ

พันเกลียวฉุดมือชายหนุ่มข้างกายให้ทรุดต่ำลง นัยน์ตาหล่อนเพ่งตรงฝ่าห่ากระสุนเพลิง สมาธิจิตแนบแน่นเป็นฐานมั่นคง ลูกไฟจำนวนมหาศาลพุ่งตรงมาโดยไม่อาจหลบเลี่ยง

ฟู่...ฟู่...ฟู่ กระสุนอัคคีเข้าใกล้ทั้งคู่ในรัศมีหนึ่งเมตรก็แปรเปลี่ยน ลูกไฟดับกลับกลายเป็นสายลมเย็นพัดพลิ้ว ริวยืดกายยืนเบื้องหลังพันเกลียวมองห่ากระสุนเพลิงอย่างแปลกใจ ทึ่งใน พลัง ของหญิงสาว

พายุแห่งเปลวอัคคีโหมซัดกรรโชกแรงเพียงแค่รอบนอก พอเข้าใกล้รัศมีพลังของพันเกลียวก็กลายแค่วาโยอ่อนๆ ไร้เปลว ไร้พิษสง ยิ่งโหมหนักเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่มีผลกระทบเพิ่มเติมแต่อย่างใด สีหน้าหล่อนเรียบสนิทราวภูผามั่นคง ไม่แสดงอาการหวั่นวิตกสักนิด ที่สุดกระสุนเพลิงดับสนิท รอบกายเงียบเหมือนป่าช้า สิงหานาคราชหายลับ คล้ายกับไม่เคยมีตัวตน ริวมองพันเกลียวด้วยแววตาขอบคุณ

ขอบคุณครับ เขาพูดแล้วถามต่อ

คุณมาได้ยังไงนี่

เก็บคำถามไว้ก่อนดีมั้ย พันเกลียวยังคงรักษาระยะห่างทางวาจาเช่นเดิม ไปดูพี่สาวคุณดีกว่า อาการเป็นอย่างไรบ้าง

พูดถึงตรงนี้ริวค่อยคิดถึงรอยจันทร์ เธียร และแขกในงานที่โดนพิษพวกเขาเป็นอย่างไรบ้างจะช่วยเหลือทันหรือไม่




บทที่ ๙


ตอนที่เธียรวิ่งฝ่าหมอกพิษตามริวเข้าห้องจัดเลี้ยง เขาเริ่มรู้สึกร่างกายผิดปกติ พอเห็นรอยจันทร์ฟุบตัวอยู่กับพื้น อาการทางกายปรากฏชัด ในท้องร้อนวูบทุรนทุราย ขับเหงื่อโซมตัว กระไอหมอกลอยเกลื่อนมีกลิ่นเหม็นฉุน หายใจไม่สะดวก ไม่สามารถประคองตัวเอง เสียงเรียกของริวฟังแสนไกล จำไม่ได้ร้องตอบอย่างไร

จากนั้นสติขาดๆ วิ่นๆ แทบไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สมองเลื่อนลอยภาพปรากฏวูบวาบเป็นระยะ ไม่อาจปะติดปะต่อเป็นเรื่องราว บางครั้งเห็นกองทัพงูตั้งแถวเลื้อยมาไล่ทำร้าย บางคราเห็นเสานาคราชคู่แตกทำลายต่อหน้า ยิ่งกว่านั้นยังเห็นนาคราชตัวมหึมาใช้ขนดหางมหายักษ์ ตวัดพันรอบบีบรัดคฤหาสน์นาคพิทักษ์อย่างย่ามใจ

จิตถอยหนีจากภาพคุกคามความรู้สึก พยายามระลึกถึงสิ่งสดใสที่พาจิตใจเบิกบาน...และไม่นานเลย ดวงหน้าหญิงสาวนัยน์ตาคม สวยจัด มีชีวิตชีวาก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับเขา...ชายหนุ่มเสื้อหนัง กางเกงยีน มีมอเตอร์ไซค์คู่ชีพขับพาหล่อนซ้อนทั่วมหาวิทยาลัย นั่งกินข้างแกงในโรงอาหาร น้ำแข็งเปล่าคนละแก้ว ไม่หวั่นต่อคำเหน็บแนม...เศรษฐีอยากเป็นยาจก

ความรักระบายโลกเป็นสีชมพู เสกก๋วยเตี๋ยวข้างทางให้กลายเป็นอาหารฮ่องเต้ เนรมิตมอเตอร์ไซค์เก่ากลางใหม่กลายเป็นราชรถเปิดประทุน

ช่วงเวลานั้นเธียรเคยคิด...ขอเพียงเคียงข้างรอยจันทร์ ต่อให้ทิ้งทุกอย่างที่มีก็ยินยอม

อารมณ์รักแผ่ซ่านไม่นาน ก็ถูกดึงมาอยู่อีกโลกหนึ่ง รอบตัวเป็นสนามหญ้าสีเขียวสุดลูกหูลูกตา เบื้องบนท้องฟ้าขาวสะอาดปราศจากปุยเมฆ เขายืนโดดเดี่ยวกลางที่โล่งกว้างเช่นนี้ไม่ผิดกับนักโทษในคุก เวิ้งว้างไร้ขอบเขต

...อยากให้รอยจันทร์อยู่ที่นี่จัง...

ความคิดเพิ่งสิ้นสุด หญิงสาวจากห้วงคำนึงก็ปรากฏขึ้นข้างกาย


รอยจันทร์กำลังงุนงง สับสนไม่รู้ตัว พอหันมาเห็นเขาแวบแรก นัยน์ตาสว่างฉายแววยินดี ชั่วไม่นานกิริยาห่างเหินก็กลับคืนมา

รอย... เธียรทัก เป็นอย่างไรบ้าง

หญิงสาวถอยหลังอย่างไว้ตัว สีหน้าเคร่ง

ที่นี่เป็นที่ไหน คำถามยังหมางเมิน

พี่ไม่รู้ คำตอบตรง

ขอโทษ หล่อนมองเขาราวคนแปลกหน้า เราไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น

เธียรสะท้านเยือกเจ็บลึก ต่อจากนี้เขาคงไม่ได้ยินเสียงเรียกขาน พี่เธียร ดังเก่าก่อน และคงไม่มีสิทธิ์เรียกแทนตัวว่า พี่ อีกแล้ว

ขอโทษครับ เขาทวนคำพูดหญิงสาว ต่อไปผมจะระวัง

รอยจันทร์ไม่สนใจ เบือนหน้ามองสนามหญ้ากว้างอย่างหวาดๆ ท้องฟ้าที่คลุมครอบดูน่ากลัว พยายามคิดทบทวน มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สำนึกสุดท้ายกำลังเดินแบบอยู่บนเวที ปวดมวนท้องรุนแรง สติไม่เป็นตัวของตัวเอง เคว้งคว้างจับต้นชนปลายไม่ถูก กระทั่งมายืนตรงนี้กับผู้ชายที่แสลงใจ

รอย เธียรเรียกเมื่อเห็นหล่อนนิ่งนาน

มีอะไร หญิงสาวถามเสียงเคร่ง ทั้งที่จริงก็อุ่นใจที่เขาอยู่เป็นเพื่อน

เราลองเดินไปเรื่อยๆ ดีมั้ย เผื่อจะมีทางออก

รอยจันทร์นิ่งคิด ที่นี่คงเป็นความฝัน มีแต่โลกความฝันจึงมีสถานที่เช่นนี้...ถ้าฝันจริงก็ไม่เห็นต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ รอเวลาตื่นก็พอ...แต่ให้อยู่เฉยๆ กับผู้ชายคนนี้ จิตใจคงระส่ำระสายไม่เป็นสุขแน่ๆ

นำไปสิ

เธียรพยักหน้าผายมือเดินนำ...ที่นี่คือโลกแห่งฝัน แต่ละก้าวเหมือนกินระยะทางแสนไกล ขณะเดินแนวหญ้าเขียวๆ ผ่านวูบวาบรวดเร็วทั้งที่ก้าวย่างช้าๆ

บรรยากาศสองข้างทางไม่เปลี่ยนสักเท่าไหร่ สีเขียวของพื้นหญ้ากับสีขาวของท้องฟ้าเป็นเพียงสองสิ่งที่มีในโลกนี้

เธียรเหลือบมองหญิงสาวข้างกาย อึดอัดใจอยากพูด อยากระบายความในใจแต่ยังเกร็งเกรง กระทั่งนึกได้ ที่นี่คือฝัน อยากพูดอะไรพูดเลย มีอะไรต้องกลัว

รอย คำเรียกขานหยุดการเดินของทั้งคู่ เธียรสูดลมหายใจรวบรวมความกล้า

ผมยังรักคุณอยู่


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP