วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๙


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


รถยนต์ขับลับตามองเห็นไฟท้ายแดงวาบๆ อยู่ลิบๆ ริวดึงประตูรั้วปิดเตรียมเข้าบ้าน มือชะงักจมูกกระสากลิ่นแปลกๆ โชยฟุ้ง นัยน์ตาเขม้นมองความมืดรอบตัว สัมผัสการมาเยือนของอาคันตุกะเงามืด ขยับตัวก้าวขาช้าๆ เตรียมพร้อม เพียงสองก้าวต้องหยุดนิ่งเหมือนโดนรากยึด เบื้องหน้ามีงูเห่าตัวใหญ่ชูคอแผ่พังพานยกตัวสูงเกือบเมตร ข้างมันเป็นงูขนาดย่อม สีสันแปลกตาเรียงแถวหน้ากระดานเหมือนตั้งด่านสกัด

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักเดือน ริวอาจใจฝ่อต่อเหตุการณ์ข้างหน้า เขากล้าเผชิญสิ่งแปลกๆ ก็จริง แต่อันตรายที่สามารถคร่าชีวิตจริง ๆ เช่นนี้มันไม่ชวนเสี่ยงด้วย

ชายหนุ่มจ้องตาอสรพิษ สำรวมใจนิ่ง ก้าวช้าๆ เข้าหา งูเห่าตัวนั้นยังไม่ยอมขยับ ดวงตาจ้องตอบราวกับท้าทาย เมื่อระยะห่างร่นเหลือเพียงก้าวเดียวเขาก็หยุด อสรพิษร้ายยกตัวขึ้นสูงกว่าเดิมเตรียมจู่โจม

ชาติที่แล้วเขาเคยเป็นนาคา...ความคิดนี้ก่อให้เกิดความอหังการ จอมนาคามีหรือจะหวั่นต่องูดินน้อยเช่นนี้ มันต้อยต่ำจนคิดจะเหยียบให้จมดินเมื่อไหร่ก็ได้

กระแสอารมณ์ลุกโชนปลุกจิตใจฮึกเหิม อำนาจที่มีขณะนี้สามารถทำให้อสรพิษใหญ่น้อยดับดิ้นได้ในพริบตา จุดกึ่งกลางดวงตาริวสว่างโร่เป็นสีแดงเรืองเข้มจ่อประสานสายตากับผู้นำฝูงงู

ฝ่ายตรงข้ามชะงัก ความหยิ่งผยองลดลง บังเกิดความกริ่งเกรง ขบวนงูน้อยที่อยู่รอบๆ เริ่มถอยร่นลนลาน

อีกอารมณ์บังเกิดในใจ คล้ายสายลมอบอุ่นพัดผ่าน ความอหังการฮึกเหิมแปรเปลี่ยนเป็นเมตตามองงูเหล่านั้นด้วยจิตใจอ่อนโยน


วิรูปักเข หิเม เมตตัง เมตตัง เอรา ปะเทหิเม ริมฝีปากขยับภาษาบาลีที่เคยสวดท่องสมัยเด็กๆ

ฉัพยาปุตเต หิเม เมตตัง เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิจะ ประโยคต่อมาติดตามคุ้นลิ้น จิตใจกำซาบ เข้าใจความหมาย

จิตใจบังเกิดความเมตตา ครั้งหนึ่งเขาเคยเกิดเป็นอสรพิษเช่นนี้ แม้จะมีชาติตระกูลสูงกว่า มีฤทธิ์เดชอำนาจมากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็นับเป็นวงศ์วานญาติเครือ จะข่มเหงปองร้ายกันเพื่ออะไร

สิ้นเสียงบทสวด ขันธปริต งูใหญ่น้อยค่อยร่นขยับถอยหนี อาการกึ่งกริ่งเกรงกึ่งเคารพ

ริวระบายลมหายใจแผ่วๆ จิตใจโปร่งโล่งอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ พอสาวเท้าขยับตัวจะเดินเข้าบ้าน ก็ต้องชะงักเป็นครั้งที่สอง

รอบตัวตกอยู่ในความมืด มันมืดมิดเกินกว่าปกติของรัตติกาล เขามองเห็นแสงไฟส่องสว่างจากตัวบ้าน ทว่าแสงนั้นคล้ายจำกัดเขตแค่ภายใต้หลังคานอกบ้านบริเวณทางเดินสนามหญ้ากลับไม่มีแสงสว่างส่องมาถึง ทั้งที่ระยะห่างไม่กี่เมตร

ริวกวาดตามองพื้น เหล่าอสรพิษเลื้อยหายตามพงหญ้า สิ่งที่มาใหม่ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ เกร็งตัวด้วยความระแวดระวัง

เงาดำประกอบเป็นร่างสูงใหญ่กำยำนับสิบๆ ยืนล้อมเป็นชั้นๆ ไม่ใช่เงาดำทึบเช่นมนุษย์ เป็นเงาดำที่แลโปร่งเห็นรายละเอียดเบื้องหลัง พวกมันขยับตัวเข้ามาช้าๆ ริวถอยหลังกรูด หายใจขัด กลิ่นเอียนๆ กระจายออกมาแทนที่ พร้อมกันนั้นมีเสียงกระหึ่มดังก้องโสตประสาท

ฮ่ะ...ฮ่า...เก่งนักหรือ ไอ้หนุ่มหน้าอ่อน





บทที่ ๗



เสียงนั้นไม่ได้มาจากเงาดำที่เรียงซ้อนคุกคาม มันก้องกลางกะโหลก ทรงอำนาจ ยากมีผู้ต้านทาน แค่ได้ยินริวก็รู้ว่าเสียเปรียบ ตนด้อยกว่าเป็นช่วงตัว เจ้าของเสียงไม่ใช่ธรรมดา มีฤทธิ์อำนาจไม่น้อย เทียบกับตนอาจเหมือนกองดินกับภูเขาสูง

แต่ผู้ทรงอำนาจเช่นนี้ ต้องไม่ทำร้ายผู้ใดโดยไร้สาเหตุแน่

ท่านเป็นใครครับ ริวส่งภาษาใจถาม

หึ...หึ...เสียงกระหึ่มผยอง ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

ผมไม่ทราบว่าล่วงเกินอะไรท่าน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วยครับ เขายอมก้าวถอยใช้ความอ่อนน้อมเข้าต้าน

รู้เหมือนกันหรือว่าล่วงเกิน เสียงย้อนถามฟังชัด เป็นเสียงผู้ชายทรงพลัง ไม่ไยดีผู้ใด เช่นนั้นก็รับโทษไปเถอะ

ขาดคำ กลิ่นเอียนๆ ที่กระจายรอบตัวรุนแรงขึ้นจนสมองเบลอ เงาดำบีบรัดวงล้อมให้แคบจนแทบไม่อาจขยับตัว

ริวทรุดลงกับพื้น สมองหมุนติ้วมือยันสนามอาศัยทรงกาย ร่างดำนับสิบกดทับลงมา กลิ่นเหม็นคละคลุ้งชวนอาเจียน รุนแรงจนร่างกายแทบทนไม่ได้ เขาตั้งสติแยกความรู้สึกออกมา มือกำแน่นทรายถูกกอบเข้ามาในกำมือ

ความคิดแล่นปลาบ สำรวมจิตนิ่ง ถ่ายเทอำนาจจิตลงสู่ทรายในมือกำหนดให้มันมีอำนาจต่อต้านผู้ปองร้าย

ชั่วเวลาสองสามวินาทีทรายในมือค่อยร้อน เขาเงยหน้าสะบัดมือ ซัดทรายไปรอบตัว

กรี๊ด...เสียงร้องสะเทือนลั่นโสตประสาท เงาดำแตกกระจายคนละทิศละทาง ริวนั่งแปะลงกับพื้น สูดลมหายใจลึกๆ สมองโปร่ง กลิ่นเอียนๆ ไม่จางแต่อำนาจมันลดลง

มีฝีมือพอตัว เสียงเดิมกึ่งชมกึ่งหยัน

ท่านเป็นใคร ผมทำอะไรให้ไม่พอใจ ริวตั้งคำถาม

วันนี้เอ็งทำอะไรกับรถคันนั้น เสียงถามข่มขู่

ริวขมวดคิ้ว คำตอบกระจ่าง...นี่เอง ผู้วางพิษ รถของเธียร

พี่เธียรไปทำอะไรให้พญานาคอย่างท่านโกรธแค้นถึงกับต้องวางพิษกัน

เขาถามอย่างไม่หวั่น รู้ว่ากำลังพูดกับใคร...เขาถอนพิษพญานาค...และพญานาคตนนั้นกำลังมาคิดบัญชีเขา

ไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างเอ็งจะรู้ เสียงกระหึ่ม ไม่เห็นเขาในสายตา

ผมช่วยพี่เธียรด้วยหลักเมตตา มันผิดตรงไหน ริวย้อนถามเมื่อไม่ได้คำตอบแรก

ดี...ถ้างั้นเอ็งก็จงรับผลตอบแทนจากความเมตตาไปเถอะ

สิ้นเสียง รอบตัวริวกลายเป็นความมืดสนิท มองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง เท้าเบาแทบไม่ติดพื้น คล้ายกับมันไม่ใช่บริเวณหน้าบ้านอย่างที่มันเคยเป็น

ที่นี่น่าจะเป็นโลกแห่งมนตราที่เขาถูกดึงดูดเข้ามาเพื่อ...สั่งสอน

ไร้ประโยชน์ที่จะดิ้นรน หลบหนี สู้สงบใจปักหลักสู้ ดีเหมือนกันจะได้รู้ อำนาจนาคาที่ได้จะพอรับมือพญานาคที่ไม่เห็นตัวตนได้นานแค่ไหน

ฟู่...ฟู่...เปลวสีส้มแดงแลบเลียมาแต่ไกล หมุนควะคว้างเป็นเส้นราวกับงูพระเพลิง ไอร้อนกระทบถึงตัว ริวกลั้นลมหายใจ ถอยหลังยกมือขึ้นปะทะอากาศเบื้องหน้าเป็นกำแพงแก้ว สกัดกั้นเปลวไฟที่พุ่งมาถึง แสงสีส้มแดงโอบล้อมกระจายทั่วแนวกำแพง ส่งแรงปะทะที่มองไม่เห็น ผลักดันให้กำลังของริวอ่อนลง

เหงื่อซึมหน้าผาก รู้ว่าคงต้านพระเพลิงนี้ได้อีกไม่นาน หลับตาคิดหาหนทางสู้ ความที่ไม่เคยเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนทำให้ความคิดแล่นอืดอาด เชื่องช้า กำแพงไร้สภาพถอยร่นจนชิดฝ่ามือร้อนวูบแล่นซ่านสู่แขน

ริวกัดฟันสะกดกลั้นผลักดันความร้อนออกต้านรับ เบี่ยงตัวถอนพลังต้านออก ผลักไสเปลวพระเพลิงให้พุ่งออกไปด้านข้าง เสี่ยงดึงอำนาจนาคาในตัวเรียกเปลวเพลิงออกปะทะกับต้นเพลิงฝ่ายตรงข้าม

ไฟสีส้มอ่อนส่งเป็นสายออกจากฝ่ามือพุ่งเข้าปะทะกับงูพระเพลิงที่คะนองฤทธิ์ เกิดเสียงดัง เปรียะ...ปัง...ปัง ชายหนุ่มกระดอนวูบกระแทกพื้นจุกเสียดแทบขาดใจ ไฟทั้งสองสายกระจายหาย เหลือไอความร้อนที่อ้อยอิ่งรอบตัว

ทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาพเดิม มองเห็นบ้าน ต้นไม้ สนามหญ้า ท้องฟ้า สัมผัสสายลมชืดๆ เสียงแมลงรัตติกาลขับขานแว่วๆ ตามพงหญ้า พร้อมกันนั้นโสตประสาทก็สดับเสียงเดิม

จำไว้...นี่คือการตักเตือน ห้ามยุ่งเกี่ยวกับตระกูลนาคพิทักษ์ มิเช่นนั้นจะเดือดร้อน

กระแสเสียงเงียบหาย ชายหนุ่มยันตัวขึ้นอย่างอ่อนระโหย เหนื่อยแทบขาดใจ เรี่ยวแรงไม่เหลือสักนิด ริมฝีปากแห้ง ใบหน้าร้อนวูบ ลากขาเดินเข้าบ้านแทบไม่ไหว

ถูกตักเตือนแค่นี้ก็พอรู้...ใครเหนือใคร...แต่การเตือนเช่นนี้จะทำให้คนอย่างนายราเมศว์ ขลาดกลัวจนยอมทำตามเชียวหรือ

ริวฝืนยิ้มให้กับตัวเอง


-----000-----


ริว...ริว...ไอ้ริวโว้ย...ไอ้ริว เสียงเรียกดังพร้อมตบประตู

ริวปวดหัวแทบระเบิด ไม่อยากลุกจึงดึงผ้านวมคลุมตัวไม่สนใจ นึกรำคาญเสียงเรียกแต่ไม่มีเรี่ยวแรงตะโกนโต้ตอบ

ไอ้ริว...จะมีใครรู้มั้ย เจ้าของเสียงแว้ดๆ นี่หน้าตาสวยขนาดไหน

คุณราเมศว์ขา... พอตะโกนเรียกไม่ได้ผลก็แกล้งทอดเสียงหวานแสบไส้ประมาณตัวอิจฉาฉอเลาะพระเอก คุณราเมศว์ขา...ตื่นได้หรือยังคะ วันนี้ดิฉันมีคิวงานเช้านะคะ

ได้ยินอย่างนี้ริวแทบขนลุก ตื่นไม่ไหวก็ต้องตื่น ขืนปล่อยให้รอยจันทร์เรียกชื่อจริงของเขาอีกคำเดียว มีหวังเจ้าหล่อนจะบันดาลโทสะถีบประตูเข้ามาแน่ๆ

เออ...เออตื่นแล้ว เสียงชายหนุ่มแหบแห้ง พยายามลุกมาเปิดประตูจนได้

ไอ้... รอยจันทร์เตรียมด่าชุดใหญ่ แต่คำพูดกลับถูกกลืนลงคอ เมื่อเห็นใบหน้าน้องชาย

ปกติใบหน้าริวจะขาวเนียนจนสาวๆ อิจฉา วันนี้มันกลับแดงซ่านร้อนผ่าว นัยน์ตาโรยซึม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงดูไม่ได้ ยืนแทบไม่ไหวต้องอาศัยพิงกรอบประตูกันล้ม

เป็นอะไรไปน่ะ น้ำเสียงเป็นห่วง ยื่นมืออังหน้าผาก มันร้อนจี๋ติดมือ ลมหายใจกรุ่นไอร้อน ริมฝีแห้งซีดแทบไม่มีสีสัน

ไม่สบายนี่หว่า เข้าไปนอนก่อนไป๊ หญิงสาวกุลีกุจอพาน้องชายกลับไปนอนที่เตียง ตรวจดูอาการด้วยความคุ้นเคยจึงรู้ว่าเป็นไข้ธรรมดา อุณหภูมิสูงสักหน่อย ไม่น่ามีปัญหา กินยาลดไข้และนอนพักผ่อนมากๆ ก็เรียบร้อย

สายมากหรือยัง ริวลืมตาขึ้นถามหลังจากพี่สาวใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้

เจ็ดแปดโมงแล้วมั้ง รอยจันทร์ตอบ

ตายห่า ชายหนุ่มอุทาน เจ๊มีถ่ายแบบเช้านี้ ตอนบ่ายต้องไปอัดรายการมิติเร้นอีก

เหรอ หญิงสาวพูดเหมือนเพิ่งรู้

ขอเวลาผมอาบน้ำแต่งตัวแป๊บนึงเดี๋ยวออกไปพร้อมกัน เขายังห่วงหน้าที่ผู้จัดการ

ไปไหวหรือไง รอยจันทร์จิ้มหน้าผากน้องชายเบาๆ วันนี้นอนพักเถอะฉันขับรถไปทำงานได้ ตะกี้เปิดสมุดคิวงานดูแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร

ริวนอนลืมตาปริบๆ รอยจันทร์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

พักผ่อนมากๆ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก พูดจบลุกขึ้น เมื่อคืนไปทำอะไรมา ตอนเช้าถึงกับจับไข้เชียว

หญิงสาวพูดเรื่อยเปื่อยมากกว่าตั้งใจถามจริงจังแล้วออกจากห้องโดยไม่สนใจฟังคำตอบ


ริวมองเพดานครุ่นคิด...อาการไข้คราวนี้ยืนยันว่าเขาอ่อนหัดเหลือเกินเพียงแค่เผชิญกับเศษฤทธิ์พญานาคที่ไม่เผยตัวตน ก็เล่นเอาจับไข้เสียแล้ว ถ้าสู้กันชนิดหักหาญจริงจัง จะเอาตัวรอดได้หรือ

...อย่าบอกนะว่าเขาได้อำนาจนาคา เพื่อต่อต้านพญานาคตนนี้...


-----000-----


หัวสมองยังหนัก เปลือกตาร้อน ยาที่กินตอนเช้าพอช่วยให้ไข้ลดลง ถึงไม่มากนักก็พอมีแรงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา เท้าเบาหวิวลอยๆ ยืนไม่เต็มที่ เรี่ยวแรงหดหาย ไม่อยากเชื่อจะอ่อนแอขนาดนี้

เสียงกุกกักดังจากครัว ริวเกาะฝาเดินตามต้นเสียง ไม่คิดว่ารอยจันทร์จะใจดีแวะมาหาอาหารให้กิน

มีอะไรกินบ้างรอย ทำไมวันนี้เสร็จงานเร็ว ดูจากนาฬิกาเพิ่งบ่ายรอยจันทร์ถ่ายแบบเสร็จต้องไปอัดรายการ ไม่น่าแวะกลับบ้านได้

คนที่อยู่ในครัวไม่ใช่รอยจันทร์ แต่เป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ ไหล่บอบบางรวบผมง่ายๆ กำลังหันหลังง่วนทำอะไรบางอย่างอยู่บนเตาแก๊ส

น้ำฝน ริวทัก ใบหน้าอ่อนใสหันกลับมายิ้มให้

ตื่นแล้วหรือคะ พี่ริวดูแย่อย่างที่พี่รอยบอกจริงๆ ด้วยแหละ

ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ มองร่างเล็กๆ กำลังอุ่นโจ๊กบนเตาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วอยากลุกไปช่วย แต่สภาพอย่างนี้คงไม่ไหว นั่งเฉยๆ ปล่อยให้สาวน้อยบริการดีกว่า


น้ำฝนโทรศัพท์มาหาริวตามปกติ รอยจันทร์เป็นคนรับสาย หญิงสาวจึงเล่าอาการน้องชายให้ฟัง มีการใส่สีตีไข่นิดหน่อย ให้อาการแย่กว่าเป็นจริงน้ำฝนจึงขอมาดูแลริว โดยแวะรับกุญแจบ้านจากรอยจันทร์ที่สตูดิโอ เด็กสาวมาบ้านหลังนี้หลายครั้งแล้ว ริวและรอยจันทร์ให้ความเป็นกันเอง สนิทสนมไม่ต่างจากคนในครอบครัว เข้านอกออกในตามสะดวก รู้จักทุกซอกทุกมุมไม่ต่างเจ้าของบ้าน ขณะที่สองพี่น้องแทบไม่รู้เรื่องราวส่วนตัวของเด็กสาวน้ำฝนคนนี้เลยสักนิด

โจ๊กควันกรุ่นถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมยาลดไข้

พี่รอยบอกว่า อย่าลืมให้พี่ริวกินยาหลังอาหารด้วย

ริวเลื่อนชามโจ๊กมาใกล้ตัว

น้ำฝนกินอะไรมาหรือยัง แบ่งกินกับพี่มั้ย

กินแล้วค่ะ พี่ริวรีบกินเถอะ จะได้หายไวๆ

ชายหนุ่มกวาดสายตารอบๆ ตามความเคยชิน นึกถึงวิญญาณคุณยายที่คอยติดตามเด็กสาว ไม่รู้วันนี้หายไปไหนไม่ยักมาคุม

น้องน้ำฝนมาคนเดียวหรือจ๊ะ เขาตักโจ๊กใส่ปาก ชวนคุยไม่มีสาระ ใจจริงตั้งใจหยั่งเชิง

มาคนเดียวสิคะ พี่ริวสงสัยอะไร เด็กสาวไม่เข้าใจ

ริวอมยิ้ม แอบสอดส่ายสายตาหาวิญญาณแปลกปลอม

เอ...อยู่ในบ้านสองต่อสองกับพี่แบบนี้ ไม่กลัวอันตรายหรือจ๊ะ เขาถามแกมหยอกเล่น

น้ำฝนหัวเราะคิก แก้มใสมีสีระเรื่อ ดวงตาจ้องชายหนุ่มเป๋ง

พี่ริวมีแรงเหรอ ตะกี่ยังเห็นยืนไม่ไหวเลย

นั่นแน่ ท้าหรือเปล่า ยามพูดนัยน์ตาพราวระยับ

เด็กสาวสั่นหน้า ดวงตาบริสุทธิ์ใส ริวกลั้นหัวเราะ เห็นอย่างนี้คงทำอะไรไม่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้พิทักษ์ สาวน้อยกำลังยืนหน้าบูดอยู่ข้างตู้กับข้าว

...คิดแล้ว...หวงหลานสาวอย่างนี้ เดี๋ยวคงมา...


ว่ายังไงจ๊ะยาย คิดว่าจะไม่มาซะแล้ว ริวเอ่ยทักด้วยภาษาใจ

เชอะ! ฉันไม่ปล่อยให้หลานสาวอยู่กับหมาป่าสองต่อสองหรอก คุณยายเชิดหน้าตอบ

ถามจริงๆ เถอะ ถ้าผมจะทำอะไรน้ำฝนแล้วยายขัดขวางได้เหรอ เขาแกล้งแหย่

ก็ลองดูสิ พูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

นั่นแน่...ถ้าผมแกล้งไล่ยายออกจากห้อง ยายจะมีปัญญาฝืนได้เหรอ

วิญญาณหญิงชราชะงัก แววตาหดหู่ ขนาดผีร้ายยังทำอะไรริวไม่ได้ ถูกไล่เสียกระเจิง แล้วอย่างแกจะคุ้มครองหลานสาวได้แค่ไหน ริวเห็นอย่างนั้นจึงชะงัก รู้สึกผิด...เขาล้อเล่นเกินขอบเขตเสียแล้ว

ขอโทษนะยาย เขาขยับปากพูดเบาๆ

อะไรคะพี่ริว น้ำฝนเอียงคอถาม เห็นเขาขมุบขมิบปากคล้ายพูดอะไรออกมา

ไม่มีอะไรจ้ะ ริวยิ้มแก้เก้อ พี่จะบอกว่าโจ๊กอร่อยมาก

เด็กสาวยิ้มแก้มปริ รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจริวแช่มชื่น เห็นรอบตัวระบายด้วยสีสัน รอยยิ้ม เสียงใสๆ ปลุกใจเบิกบาน จนอาการเจ็บไข้ใกล้จะหายทันที


-----000-----


มันนอนเหยียดยาวอยู่บนเวทีที่เตรียมใช้ในงานเปิดตัวไวน์นำเข้าของบริษัทในเครือนาคพิทักษ์ สีของมันขาวนวล ความยาวไม่ต่ำกว่าหกเจ็ดเมตรเส้นรอบวงเกือบคืบ ลักษณะรูปร่างคงสภาพเดิมไม่มีร่องรอยฉีกขาดแหว่งวิ่น

คราบงูชิ้นนั้นถูกพบโดยพนักงานบริษัทโฆษณาของจิญยานีในตอนเช้า ไม่มีใครรู้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

ถ้ามีคนนำมาวาง..คนนั้นจะทำเพื่ออะไร...ถ้าไม่ใช่ งูที่ไหนจะมาลอกคราบที่นี่ได้

สถานที่จัดงานอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมชั้นนำระดับประเทศ มีพนักงานดูแลถี่ถ้วน รอบด้านเป็นกระจกใสแลโล่ง ไม่มีงูตัวไหนจะเลื้อยขึ้นมาถึงชั้นนี้ได้

ขอสายคุณจิญยานีครับ ผู้พบเห็นรีบโทรศัพท์รายงานทันที

มีธุระอะไร เสียงหญิงสาวดังมาตามสาย

ที่จัดงานคืนนี้มีเรื่องแปลกๆ ครับ

แปลกยังไง

มีคราบงูชิ้นเบ้อเริ่มกองอยู่บนเวที

เก็บเอาไปทิ้งเสียสิ ผู้ฟังพูดง่ายๆ

แล้วมันไม่น่าสงสัยเลยหรือครับ ถามกล้าๆ กลัวๆ

จะให้สงสัยอะไร ทำไมมีคราบงูหรือ หญิงสาวเริ่มอารมณ์เสีย

เอ่อ...คือผมกลัวว่าจะมีการก่อกวนงานคืนนี้ครับ

ก็เพิ่มการรักษาความปลอดภัยเข้าสิ คนพูดเหมือนไม่เห็นปัญหา

ครับ คนรายงานตอบรับสั้นๆ

คราบงูขนาดใหญ่เช่นนี้ สร้างความหวั่นไหวไม่น้อย คนเป็นนายกลับไม่ห่วงสนใจสักนิด หมายความว่าอย่างไร...หรือจะไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ

ยิ่งพิจารณาคราบงูชิ้นนั้นอย่างละเอียด ยิ่งรู้สึกมันมีอำนาจบางอย่างพอข่มขวัญผู้คน ขนาดคราบยังมีอำนาจเช่นนี้ หากตัวเจ้าของซุ่มรอคอยโอกาสจู่โจม อะไรจะเกิดขึ้น การระแวดระวังอย่างเดียว เพียงพอหรือไม่



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP