จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

โดนหลอกให้ต้องรอ


งดงาม

This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it


039_destination
photo by Silawat
http://silawat.multiply.com/photos/album/40/Test_shot_vol.2#photo=9


ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินหลาย ๆ ท่านได้กล่าว
(เหมือนที่ผมนั้นเคยได้ยินอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน) ว่า
“รอให้ฉันมีสิ่งนั้นก่อน แล้วฉันจึงจะทำสิ่งที่เป็นกุศลนี้ได้”
หรือไม่ก็ “รอให้ฉันพร้อมก่อน แล้วฉันจึงจะทำสิ่งที่เป็นกุศลนี้ได้”

ยกตัวอย่างเช่น รอให้ฉันมั่งมีก่อน ฉันจึงจะเริ่มแบ่งไปทำทานได้
รอให้ฉันพอมีพอกินก่อน ฉันจึงจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้
รอให้ฉันร่ำรวยก่อน ฉันจึงจะแบ่งไปช่วยเหลือคนอื่นได้
รอให้ฉันใจสงบก่อน ฉันจึงจะเข้าวัดฟังธรรมได้
รอให้ลูกโตและทำงานมีรายได้ก่อน ฉันจึงจะเริ่มศึกษาและปฏิบัติธรรมได้
รอให้เกษียณก่อน ฉันจึงจะมีเวลามาศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ ...
และก็มีอื่น ๆ อีกมากมายในทำนองเดียวกันนะครับ

เรามาลองพิจารณากันนะครับว่า
จริง ๆ แล้ว การที่เราจะทำสิ่งที่เป็นกุศลบางอย่างนี้
เราจำเป็นที่จะ “ต้องรอ” ให้มีสิ่งนั้นสิ่งโน้นสิ่งไหนอย่างเพียบพร้อมก่อนจริง ๆ หรือ
หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว เราไม่จำเป็น “ต้องรอ” เลย
แต่ที่เราไปตั้งใจและคิดว่าต้องรอก่อน แล้วก็ใช้ชีวิตดำเนินไปตามทางเช่นนั้น
แท้จริงแล้ว ก็คือ “โดนหลอกให้ต้องรอ” เท่านั้นเอง
และก็ทำให้เราเสียโอกาสชีวิตของตนเองไปอย่างมากมาย

ขอเริ่มต้นที่ว่า บางท่านกล่าวว่า “รอให้ฉันมั่งมีก่อน ฉันจึงจะเริ่มแบ่งเงินไปทำทานได้”
คำถามก็คือว่า การทำทานนั้นเป็นเรื่องของคนที่มั่งมี หรือคนรวยเท่านั้นหรือ
คนที่ยากไร้ หรือคนจนนั้น ไม่มีสิทธิที่จะทำทานได้เลยหรือ
ในอันที่จริงแล้ว การทำทานนั้น ไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินที่ทำทานหรอกนะครับ
สมมุติคนนึงมีเงินเพียงห้าบาท แต่บริจาคเงินทำทานไปหนึ่งบาทหรือสองบาท
ด้วยใจที่ศรัทธาและเป็นกุศล ก็ยังจะได้บุญได้กุศลมากกว่า
คนที่มีเงินเป็นล้าน แต่ทำทานหมื่นบาทด้วยใจที่หวังหน้าตาและชื่อเสียงเสียอีก

ดังนั้นแล้ว การทำทานนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องรอให้มีเยอะก่อน
แต่สามารถทำได้ในปัจจุบันทันทีเลย โดยมีน้อยก็ทำน้อย มีเยอะก็ทำเยอะ
แม้กระทั่งคนยากไร้ที่ไม่มีอะไรติดตัวเลย ไม่มีเงินเลย
เหลือเพียงขนมปังก้อนเดียวสำหรับเป็นอาหารประทังชีวิต
หากตั้งใจจะทำทานแล้ว แม้บิขนมปังออกมาชิ้นเล็ก ๆ ออกมา และโยนให้นกกิน
ก็ถือว่าได้ทำทาน และได้บุญกุศลที่เต็มเปี่ยมแล้ว
เรื่องที่บอกว่าจะต้องรอให้มั่งมี ให้พร้อม ให้รวยก่อน จึงไม่ใช่เหตุผลเลย

เคยมีคำกล่าวที่ว่า แม้จะเทน้ำล้างจานล้างเศษอาหารลงบนพื้นดินก็ตาม
หากแต่เทด้วยใจที่เป็นบุญกุศลด้วยหวังว่าเศษอาหารเหล่านั้นจะยังประโยชน์
ให้แก่สัตว์เล็กสัตว์น้อยในพื้นดินนั้น ก็ย่อมถือว่าเป็นทานที่ให้โดยสมบูรณ์แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า “มั่งมี” “รวย” “พร้อม” และ “พอมีพอกิน” หมายความว่าอย่างไร
คนเราจะต้องมีทรัพย์สินเท่าไร จึงจะเรียกว่า “มั่งมี” “รวย” “พร้อม” หรือ “พอมีพอกิน”
คนมีหนึ่งหมื่นบอกว่า มีหนึ่งล้านจึงเรียกว่ารวย
คนมีหนึ่งล้านบอกว่า มีร้อยล้านจึงเรียกว่ารวย
คนมีร้อยล้านบอกว่า มีหมื่นล้านจึงเรียกว่ารวย ... ไปเรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น
จะเห็นได้ว่าคำนิยามฐานะความมั่งคั่งเหล่านี้
มีความหมายแตกต่างกันไปในแต่ละคนที่มียังมีความต้องการเพิ่มอยู่
แต่รวม ๆ แล้วก็คือว่า ยังไม่พอ และยังต้องการเพิ่มอยู่นั่นเอง
และก็โดนคำเหล่านี้มาหลอกหลอนให้เลื่อนเวลาที่จะสร้างบุญกุศลออกไป

ที่สำคัญคือ การที่รอว่าจะต้อง “มั่งมี” “รวย” “พร้อม” และ “พอมีพอกิน” ก่อน
จึงจะสามารถสร้างบุญกุศลได้ ก็เท่ากับว่า
หากเราไม่สามารถมีฐานะความมั่งคั่งดังกล่าวแล้ว
ตลอดชีวิตของเราก็จะไม่สามารถและไม่มีโอกาสสร้างบุญกุศลได้เลยกระนั้นหรือ
นอกจากนี้ เราเองจะมั่นใจแน่ใจได้อย่างไรว่า
เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ไปจนถึงวันที่เราเองมีฐานะความมั่งคั่งดังกล่าวได้
แน่ใจได้หรือว่า ในอนาคต เราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่มีฐานะดังกล่าว
และต่อให้ถึงวันนั้นแล้ว ใจเราจะพอ ใจเราจะมุ่งไปทำทานเพื่อสร้างบุญกุศล
หรือว่าใจเราจะบอกว่า ยังไม่พอ และก็มุ่งจะสร้างฐานะเพิ่มเติมต่อไป

คำเกี่ยวกับฐานะเหล่านี้จึงเป็นเพียงเสมือนมารร้ายที่มาล่อหลอกจิตใจ
หลอกให้เรางดเว้นจากการทำทานสร้างบุญกุศล
และมารร้ายเหล่านี้อาจจะล่อหลอกเราไปจนกระทั่งวันตาย
แล้วเราเองก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ชีวิตเราสมควรจะทำเลยก็ได้

ฉะนั้นแล้ว มาถึงตรงนี้ เราย่อมรู้ความจริงแล้วว่า มีน้อยก็ทำทานน้อย ๆ ได้
หากต่อไปในอนาคต มีเยอะก็ทำทานเยอะ ๆ ได้ โดยก็ทยอยทำไปตามกำลัง
ซึ่งเป็นการสะสมบุญกุศลไปเรื่อย ๆ
และเป็นการขัดเกลาจิตใจเราเองไปทีละเล็กทีละน้อยตามสภาพ
เพื่อที่จะให้จิตใจสะอาดและบริสุทธิ์ขึ้นและเป็นประโยชน์แก่การรองรับธรรมะอื่น ๆ

(หมายเหตุ ในการทำทานนั้น ไม่จำเป็นจะต้องทำทานด้วยทรัพย์สินอย่างเดียว
แต่การให้อภัยทาน ก็เป็นการทำทาน การให้วิทยาทาน ก็เป็นการทำทาน
และการให้ธรรมทาน ก็เป็นการทำทานด้วยเช่นกัน ฯลฯ)

ในส่วนที่บอกว่า “รอให้ฉันพอมีพอกินก่อน ฉันจึงจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้”
“รอให้ฉันร่ำรวยก่อน ฉันจึงจะแบ่งไปช่วยเหลือคนอื่นได้”
ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันกับเรื่องการทำทานนะครับ
การจะช่วยเหลือผู้อื่น การจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณอื่น ๆ นั้น
ไม่จำเป็นว่าจะต้องรอให้มีฐานะความมั่นคงใด ๆ ก่อนจึงจะสามารถทำได้นะครับ
แต่ก็สามารถทำได้ตามเท่าที่มีของแต่ละคน โดยมีมากก็ทำมาก มีน้อยก็ทำน้อย
ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นว่าจะต้องรอให้มีมากก่อนเลย
และเราเองก็ไม่สามารถจะมั่นใจแน่ใจใด ๆ ได้เลยว่า
พ่อแม่หรือผู้มีพระคุณนั้นจะมีชีวิตอยู่รอเราจนถึงวันนั้นในอนาคตได้
หรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือนั้น จะมีชีวิตรอเราอยู่
หรือยังจะต้องการความช่วยเหลืออยู่จนถึงวันนั้นในอนาคตได้

ดังนั้นแล้ว หากคิดจะตอบแทนพระคุณแล้ว หากคิดจะช่วยแล้ว
อย่าปล่อยให้จิตใจโดนถ้อยคำบางคำที่เป็นมารร้ายมาหลอกลวงจิตใจครับ
แต่ให้ใช้เหตุผลและความเข้าใจที่ถูกต้องนั้น มาสร้างความมั่นใจ
มาสร้างความเข้มแข็งให้แก่ตนเองว่า เราควรจะต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง
และการทำสิ่งที่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรออะไรลม ๆ แล้ง ๆ ที่ไม่จำเป็น

สำหรับที่บอกว่า “รอให้ฉันใจสงบก่อน ฉันจึงจะเข้าวัดฟังธรรมได้”
“รอให้ลูกโตและทำงานมีรายได้ก่อน ฉันจึงจะเริ่มศึกษาและปฏิบัติธรรมได้”
“รอให้เกษียณก่อน ฉันจึงจะมีเวลามาศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ ฯลฯ”
ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันนะครับว่า มันไม่ได้เป็นเหตุผลซึ่งกันและกันเลย
การไปวัด การฟังธรรม การศึกษาธรรมะ และการปฏิบัติธรรมนั้น
สามารถทำได้ในปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้องรอเงื่อนไขอะไรมากมาย
หากรอให้ลูกโตก่อน รอให้เราเกษียณก่อน รอให้เราใจสงบก่อน
เราอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันนั้นก็ได้

การฟังธรรมนั้น เริ่มได้ที่บ้านเลย เปิดวิทยุหรือซีดีก็ฟังธรรมะได้แล้ว
ตื่นเช้ามา ระหว่างอาบน้ำแปรงฟัน แต่งตัว กินข้าว ก็ฟังธรรมะไปด้วยได้
ไม่จำเป็นจะต้องรอจนลูกโตก่อน รอให้เกษียณก่อน หรือรอให้ใจสงบก่อนเลย
แต่เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ในปัจจุบัน
การศึกษาธรรมะนั้น เพียงแค่ฟังเทศนาธรรมะ หรืออ่านหนังสือธรรมะ
หรือฟังญาติธรรมคุยหรืออธิบายธรรมะให้ฟัง ก็เป็นการศึกษาธรรมะแล้ว
การปฏิบัติธรรมนั้น แค่เพียงย้อนมาระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจ อยู่กับพุทโธ
หรืออยู่กับท้องพองยุบ หรือสัมมาอะระหัง
หรือได้เจริญสติภาวนารู้กายรู้ใจอยู่ หรือได้ทำใจให้สงบเป็นสมาธิ ฯลฯ
ก็นับเป็นการปฏิบัติธรรมได้แล้ว (ซึ่งคนเราปกติ ก็หายใจตลอดเวลาอยู่แล้ว)

บางคนบอกว่าจะฟังธรรมะต้องรอโน่นรอนี่ก่อน ไม่มีเวลาฟังเทศนาธรรมะเลย
บางคนบอกว่าไม่มีเวลาศึกษาธรรมะหรอก ไม่มีเวลาจะอ่านหนังสือธรรมะเลย
บางคนบอกว่ามีธุระยุ่งมาก ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมหรอก
แต่ในบรรดาเหล่านั้น กลับมีเวลาไปฟังซีดีเพลง มีเวลาดูละครโทรทัศน์
มีเวลาดูหนังภาพยนตร์ มีเวลาอ่านนิตยสารประโลมกิเลสเป็นเล่ม ๆ ทุกเดือน ๆ
มีเวลามากมายไปสนทนากับเพื่อน ๆ ในอินเตอร์เน็ต
มีเวลาสนทนาทางโทรศัพท์นินทาคนอื่น ๆ หรือคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่มีประโยชน์
มีเวลาไปเที่ยวดื่มสุรา เที่ยวกลางคืนกับเพื่อน ๆ
มีเวลาไปเดินดูของช็อปปิ้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อ
มีเวลาไปทะเลาะกับแฟนหรือคนอื่นในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง สารพัดสารพัน
แต่กลับมาบอกตัวเองว่า “เรายุ่งมาก เราไม่มีเวลาศึกษาและปฏิบัติธรรมหรอก”
เช่นนี้คงจะต้องเรียกว่ากำลัง “โดนหลอก” อย่างขนาดหนักเสียแล้ว

ขอเรียนว่าผมทราบอาการ “โดนหลอก” ดังกล่าวเป็นอย่างดีครับ
เพราะว่าผมเองก็เคยโดนหลอกดังกล่าวมาเหมือนกัน
จะขอบอกนะครับว่า “โดนสิ่งเหล่านี้หลอกนั้น น่ากลัวกว่าโดนผีหลอกเสียอีก”
เพราะโดนผีหลอกยังแค่เพียงตกใจกลัว แล้วก็จบเรื่องไป
แต่โดนสิ่งเหล่านี้หลอกเข้าแล้ว เราเสียเวลาทั้งชีวิตไปโดยไม่ได้ทำประโยชน์แก่ตนเอง
และโดนหลอกต่อเนื่องทุกวัน ทั้งกลางวัน และกลางคืน แม้ยามหลับ และยามตื่น
แต่เมื่อเราได้ทราบเหตุผลและมีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวอย่างแท้จริง
และทำความเข้าใจนั้นให้ซึมซาบลงไปในจิตใจ ก็จะไม่โดนหลอกเช่นนั้นอีก

ลองสมมุติว่า มีผู้หญิงคนนึงโดนแฟนผู้ชายหลอกให้รอว่าเขาจะมาสู่ขอ
เธอรออยู่หลาย ๆ ปีจนกระทั่งเธอนั้นแก่ชรา
แต่ท้ายที่สุดแล้ว แฟนผู้ชายก็ทรยศโดยไม่มาสู่ขอแต่งงานกับผู้หญิงนั้นตามสัญญา
เรื่องนี้น่าเศร้ามากมายเลยใช่ไหมครับ ....
แต่ผู้หญิงคนที่โดนหลอกนั้น เธอก็ยังสร้างกุศลเพื่อตัวเธอเองได้ในระหว่างที่รอนั้น
แต่หากท่านใด “โดนหลอกให้ต้องรอ” ที่จะทำสิ่งกุศลทั้งหลายแล้ว
เรื่องของท่านน่าเศร้ากว่าเรื่องของผู้หญิงคนนั้นมากมายเลยครับ

หากท่านไหนที่มีอาการโดนหลอกเหมือนที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ขอแนะนำให้รีบทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวอย่างแจ่มแจ้งนะครับ
ว่าท่านกำลัง “โดนหลอกให้ต้องรอ” อยู่นะ
ทั้งที่แท้จริงแล้ว ท่านไม่ต้องรอใด ๆ เลย
ท่านสามารถจะทำสิ่งกุศลทั้งหลายได้เลยในปัจจุบัน
อย่าปล่อยให้ตัวเอง “โดนหลอก” อีกต่อไปเลยนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP