วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๔


ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


พันเกลียวมองคณะบุญที่ยืนซุบซิบอยู่ตีนบันไดด้วยแววตาเฉยชา คำพูดทุกคำแว่วเข้าหูครบถ้วนไม่มีตกหล่น มันไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาใดๆ แก่หล่อนแม้แต่น้อย

ชื่อเสียง...ความโด่งดังในอดีต ไม่มีคุณค่าสักน้อยนิด เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่หล่อนอยู่

คนกลุ่มนั้นทยอยคลานเข้ามาหาด้วยกิริยาสุภาพ ผู้นำเป็นชายสูงวัยกว่าหล่อน น่าจะเคยผ่านตากันมาบ้างในอดีต แต่ไม่มีสิ่งใดน่าจดจำ

ขอโทษครับ ใช่คุณพันเกลียวหรือเปล่า พี่แพทเอ่ยปากถาม

ใช่ คำตอบง่ายตรง

จำผมได้มั้ยครับ ผมชื่อแพท เราเคยเจอกันที่บ้านคุณหญิงฤดีมน

คุณมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า แทนคำตอบหล่อนกลับย้อนถามเรียบๆ

เอ่อ...คือ โดนถามอย่างนี้ ผู้กำกับรายการที่คล่องงานก็อ้ำอึ้ง ผมมาเจอคุณพันเกลียวที่นี่ ก็เลยอยากมาทักทาย ถามไถ่ข่าวคราว

ไม่ใช่มาชวนออกรายการทีวีหรือ คำถามลอยๆ บอกให้รู้ว่าได้ยินทุกคำพูด

ถ้าคุณพันเกลียวยอม ทางเราจะยินดีมาก พวกคุณหญิงคุณนายเขาถามถึงกันใหญ่ เรื่องที่คุณหายตัวไปหลายปี ออกรายการคราวนี้คงมีคนสนใจเยอะ

คงไม่จำเป็นกระมัง ฉันไม่ใช่ดารา หล่อนพูดพลางมองตรงยังรอยจันทร์

สวัสดีค่ะ รอยจันทร์ยกมือไหว้โดยอัตโนมัติ ความรู้สึกกึ่งๆ เคารพกึ่งๆ เกรง เอ่อ...รอยชื่อรอยจันทร์ ไม่ทราบคุณพันเกลียวเคยได้ยินชื่อนี้หรือเปล่า

เป็นครั้งแรกที่สาวมั่นอย่างรอยจันทร์จะรู้สึกขัดเขิน ต่อหน้าผู้หญิงสวยจัดและเย็นชาเช่นนี้ คล้ายไม่มีหน้ากากมายาใดมาปิดบังหล่อนได้

เข้ามาหน่อยสิ

รอยจันทร์ขยับตัวเข้าใกล้อย่างไม่ลังเล คล้ายเป็นคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตามทันที

ฉันให้ พันเกลียวพูดแค่สองคำ พร้อมกับวางสิ่งของบางอย่างลงตรงหน้ารอยจันทร์

มันเป็นเกล็ดขนาดเกือบเท่าฝ่ามือ หนาราวหนึ่งเซนติเมตร มีสีเหลืองอ่อนใส รูปกลมรีๆ คล้ายพัด ลวดลายในเนื้อเป็นเส้นบางๆ มองดูเหมือนธรรมจักร

ให้รอยหรือคะ รอยจันทร์มองอย่างงุนงง

พันเกลียวไม่สบตาดาราสาว หล่อนใช้สายตาแลตรงยังชายหนุ่มที่จ้องมองตั้งแต่แรกเห็น

ขอบคุณค่ะ รอยจันทร์หยิบขึ้นมาเหมือนไม่เชื่อตัวเอง จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไร จู่ๆ หญิงสาวผู้นี้จะมอบของให้ตั้งแต่แรกพบ

ทันทีที่เห็นดาราสาวหยิบเกล็ดชิ้นนั้นไว้ในมือ พันเกลียวก็ขยับตัวลุกขึ้นเหมือนหมดธุระที่จะนั่งคุยอีกต่อไป

ไม่มีใครกล้าทักท้วงฉุดรั้งหล่อน ทำได้แค่มองตาค้าง ไม่อยากเชื่อลักษณะแปลกประหลาดของบุคคลที่เคยได้ชื่อว่าเป็น แม่มด ของกลุ่มคนไฮโซ

พันเกลียวลับร่างไปแล้ว ริวจึงยื่นมือจากด้านหลังมาคว้าเกล็ดนั้นจากมือพี่สาวตน

ขอดูหน่อยสิเจ๊

ทันทีที่เกล็ดชิ้นนั้นสัมผัสมือ เขาก็สะดุ้งเฮือก ราวโดนกระแสไฟรุนแรงแล่นปลาบ นิ่งงัน ตาค้าง ภาพหลายภาพวิ่งผ่านหัวเหมือนขบวนรถไฟ มันเร็วจนจับไม่ทัน แยกไม่ออกเป็นภาพใดบ้าง

มองเกล็ดสีเหลืองอีกครั้ง ลวดลายธรรมจักรดูเด่นชัดราวกับลอยมากระทบสายตา ริวบอกตนเองทันที ของชิ้นนี้พันเกลียวจงใจมอบให้เขา

ชายหนุ่มหย่อนมันลงกระเป๋าเสื้อ ทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อสายตาเอาเรื่องของพี่สาว

เฮ้ย...ไอ้ริว อย่ามุบมิบของฉันสิวะ

เก็บไว้ให้ไง ขืนอยู่กับเจ๊เดี๋ยวก็หาย เขาพูดหน้าตาเฉย

ไอ้บ้า...พูดยังกะฉันเป็นเด็กสามขวบ หญิงสาวบ่นไม่จริงจังนัก ไม่คิดติดใจกับของที่เพิ่งได้รับมา

เออ...แปลกแฮะ คุณพันเกลียวเธอนึกยังไงถึงให้ของชิ้นนี้กับรอย พี่แพทตั้งข้อสงสัย

นั่นสิพี่ รอยเองยังไม่เข้าใจเลย

ริวทำเฉย เขามั่นใจ พันเกลียวต้องการมอบของสิ่งนี้กับเขา จึงใช้วิธีฝากผ่านรอยจันทร์ เพราะขืนให้เขาตรงๆ คงมีคนสงสัยมากกว่านี้

รอยจันทร์เป็นดารา การที่จะมีแฟนๆ มอบของให้มันน่าจะเป็นเรื่องปกติ ถึงแม้สีหน้าพันเกลียวจะไม่บอกว่าเป็นพวกคลั่งดาราก็ตามทีเถอะ

ชายหนุ่มสงสัยเพียงอย่างเดียว เกล็ดชิ้นนี้มีประโยชน์อย่างไร


-----000-----


เธียรก้าวลงจากรถด้วยมาดนิ่ง สุขุม เบื้องหน้าเป็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ออกแบบทันสมัยติดป้ายเด่นสง่า อาคาร นาคพิทักษ์ เมื่อก้าวเข้าไปภายในจะเห็นต้นเสาคู่ สลักเป็นนาคราชกำลังพาดพันเชิดคอสง่างามตั้งเด่นเป็นสัญลักษณ์ และของประดับชิ้นใหญ่ที่กลางล็อบบี้กว้าง

พนักงานบริษัทต่างทำความเคารพเป็นทิวแถว เขาแสดงกิริยาก้มศีรษะรับรู้ จนกระทั่งไปยืนรอลิฟต์ ค่อยแอบระบายลมหายใจแผ่วๆ ค่อนข้างอึดอัดกับการวางตัวเช่นนี้ บุคลิกมาดนิ่ง เป็นคุณชายไฮโซไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเขา

ลิฟต์กำลังลงมาช้าๆ พนักงานหลายคนยืนรอร่วมกับเขา แต่ไม่เข้าใกล้มาก เว้นช่องระยะห่างราวกับกลัวโรคติดต่อ

ประตูลิฟต์กำลังจะเปิด ทันใดนั้นก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

คึ่ก...คึ่ก...คึ่ก...ครืน

พื้นที่เหยียบสั่นไหวคล้ายอยู่บนจานดิสโก้ เต้นเร่าสะเทือนจนไม่อาจทรงกายยืนตรงได้

หลายคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บ้างก็รีบย่อตัวต่ำมุดหาที่ปลอดภัย เสียงหวีดร้องของพนักงานสาวดังระงม ข้าวของแตกกราว เธียรยืนหันหลังพิงผนัง มองเหตุแผ่นดินไหวด้วยความแตกตื่น งุนงง

ภายในล็อบบี้บริษัทเหมือนตกอยู่กลางจลาจล ผู้คนระส่ำระสาย สิ่งของตกแตกกระจาย เสาไม้รูปสลักพญานาคโงนเงน

หลบเร็ว เธียรตะโกนลั่น วิ่งผลุนผลันไปกลางห้อง ฉุดลากผู้คนที่อาจอยู่ในรัศมีล้มของเสาไม้ให้หลบไกล

อันตราย เสาจะล้มแล้ว หลบเร็ว เขาตะโกนอีกครั้ง เสียงดังพอที่จะทำให้ผู้คนที่ตื่นตระหนกมีสติเงยหน้ามอง บางคนที่เห็นว่าอยู่ในจุดอันตรายก็รีบหลบออกมา เธียรละล้าละลังมองหาพนักงานที่อาจอยู่ในรัศมีไม่ปลอดภัยโดยลืมดูตัวเอง

คุณเธียร...ระวัง เสียงพนักงานตะโกนร้องเตือน

ชายหนุ่มเงยหน้ามองเห็นเสาพญานาคกำลังล้มทับ สติที่พอหลงเหลือเร่งให้กระโดดหลบ แต่พื้นที่ยืนสั่นสะเทือน ทรงตัวยากไม่สามารถเป็นหลักได้ เสาพญานาคล้มเฉี่ยวกระแทกไหล่จนร่างกระเด็นฟุบอยู่กับพื้น

ตึง...เปรียะ

เสาต้นที่สองล้มมาทางเดียวกัน แรงกระแทกทำให้ไม้แตกเป็นชิ้นๆ รูปสลักพญานาคถูกแยกเป็นส่วนๆ ราวกับศพไม่มีใครเหลียวแล

แผ่นดินไหวหยุดลง เธียรยืดกายยืน ไหล่เจ็บแปลบชาไม่มีแรง พนักงานหลายคนได้สติ รปภ.รีบเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ รวมทั้งกรูมาหาเธียรด้วยความตกใจ เป็นห่วง

ผมไม่เป็นไร ชายหนุ่มกัดฟันตอบทั้งที่ยกไหล่ไม่ขึ้น

ไปโรงพยาบาลดีกว่าครับ รปภ.แนะนำ

ขอดูความเรียบร้อยก่อน พ่อฉันเป็นยังไงบ้าง เขาห่วงผู้ที่อยู่ชั้นบน

ท่านออกไปประชุมข้างนอกครับ ได้ยินอย่างนี้ค่อยโล่งใจ

เธียรเดินเขยกๆ มองดูซากไม้ที่เคยเป็นเสาแกะสลักอันงดงาม ใจหวั่นเหมือนสายลมแห่งลางร้ายกำลังก่อตัวอย่างเงียบงัน

ส่วนที่เป็นหัวพญานาคกระเด็นไกลคนละทิศละทาง ท่อนไม้ใหญ่แตกเป็นเสี่ยงๆ สังหรณ์แปลกๆ รุมเร้า นอกจากลางร้าย มันอาจกลายเป็นเริ่มต้นแห่งกาลวินาศ


-----000-----


เธียรนั่งฟังหัวหน้า รปภ.รายงานความเสียหายและผู้บาดเจ็บอย่างย่นย่อ อาการบาดเจ็บของเขาได้รับการเยียวยาจากคลินิกใกล้ๆ หัวไหล่ถูกคล้องด้วยผ้า แขนซ้ายงดใช้งานวันสองวัน

บอกไปไม่มีใครเชื่อ แผ่นดินไหวจำกัดเขตแค่อาคารสำนักงาน นาคพิทักษ์ กับพื้นที่รอบๆ ไม่กี่ตารางเมตร ความเสียหายใหญ่ๆ มีไม่กี่อย่างนอกจากเสานาคราชสองต้น ก็มีข้าวของเครื่องใช้สำนักงาน กระจกชั้นล่างแตกเป็นแถบ ผู้บาดเจ็บไม่มาก ส่วนใหญ่จะโดนกระแทก ฟกช้ำ กับเศษกระจกกระเบื้องบาดเอา

ไปๆ มาๆ เธียรน่าจะบาดเจ็บกว่าใคร เหตุแผ่นดินไหวและความเสียหายที่เกิดครั้งนี้ ทำลายขวัญและกำลังใจพนักงานโขอยู่ เขาต้องเร่งหาคำตอบ

โอเค...ผมเข้าใจแล้ว บอกเลขาให้เขาจัดการเรื่องจ่ายค่ารักษาชดเชยให้กับพนักงานที่บาดเจ็บทุกคนด้วย

ครับ คุณเธียร

หัวหน้า รปภ.ลับจากประตู เธียรถอนใจยาว เหนื่อยหนัก ในอกถูกถ่วงด้วยความรู้สึกยากอธิบาย เรื่องบ้าๆ พวกนี้ดูราวกับต้อนรับการกลับมาจากต่างประเทศของเขา

เธียรไปเรียนปริญญาโทและหาประสบการณ์อยู่ต่างประเทศเสียสี่ห้าปี เพิ่งกลับมาทำงานในบริษัท...เครือข่ายสายงานของตระกูลนาคพิทักษ์แผ่กระจายทั่วประเทศ กระทั่งขยายยังต่างประเทศนับเป็นบริษัทข้ามชาติรุ่นแรกๆ ของเมืองไทย

ชายหนุ่มรู้จักกิจการตัวเองน้อยเต็มที ผู้มีอำนาจสั่งการ ควบคุม โครงข่ายทั้งหมดคือก้องฟ้า พ่อของเขาเอง...

ก้องฟ้า เป็นบุคคลประเภทมนุษย์งานตัวจริง สามารถทำให้ตระกูลนาคพิทักษ์ติดอันดับต้นๆ ของมหาเศรษฐีเมืองไทยได้

เธียรไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับความร่ำรวยของตน ตั้งแต่เกิดเขาไม่เคยลำบาก ครอบครัวอยู่บนกองเงินกองทอง สมบัติเก่าตั้งแต่สมัยรุ่นปู่มีไม่น้อย ยิ่งได้ก้องฟ้าบริหารจัดการอย่างเป็นระบบก้าวหน้าทันสมัย ผลลัพธ์มันยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ

เขาลุกไปยืนริมกระจก ทอดสายตามองเบื้องล่างจากมุมนี้เห็นกรุงเทพฯ สวยนักหนา ตึกสูงๆ เรียงรายสลับซับซ้อน ถนนสายเล็กสายน้อยพาดพันฉวัดเฉวียนเหมือนงูน้อยใหญ่ จุดที่เขายืนเหมือนจะเหยียบเมืองทั้งเมืองใต้ฝ่าเท้า

แต่ทำไม...จิตใจหดหู่เช่นนี้

กลับมาที่โต๊ะทำงาน ดึงลิ้นชักออก มีรูปหญิงสาวผมยาวนัยน์ตาคมดุท่าทางเอาเรื่อง รอยยิ้มของหล่อนทำให้โลกสว่างไสว หัวใจอบอุ่น

เขาไม่ได้พบหล่อนหลายปี หากต้องการเห็นหน้าเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องยาก แค่เปิดทีวีดูละครหลังข่าว ไม่ก็คอยดูรายการประเภทลึกลับ ท้าทาย หรือเปิดนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง เขาก็จะพบหล่อนที่นั่น

รอยจันทร์... ดูราวกับไม่ใช่ผู้หญิงคนเดิมที่เคยรู้จัก ผู้หญิงที่ตวาดใส่หน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว


รวยแล้วเป็นยังไง มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับคนอื่นได้เหรอ...จำไว้ด้วยคนอย่างฉันไม่มีทางยอมใครง่ายๆ

ผู้หญิงปากกล้าไม่กลัวใคร ขนาดเขาเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยยังกล้าเถียงฉอดๆ เมื่อหล่อนมั่นใจไม่ได้ทำผิด...ผู้หญิงที่หัวเราะเสียงดัง ตะโกนด่าโหวกเหวก ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังยามโมโห คับแค้น เสียใจ และมีรอยยิ้มละไมติดตรึงใจตลอดมา

รอยจันทร์...ประทับรอยในใจเขาตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน


-----000-----


รถตู้ทีมงาน มิติเร้น จอดส่งรอยจันทร์กับริวที่บ้านตอนหัวค่ำ ที่จริงน่าจะกลับเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่มัวแวะซื้อของตามรายทาง

บ้านของสองพี่น้องอยู่เกือบสุดซอย เป็นบ้านสองชั้น สร้างตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ บริเวณเนื้อที่กว้างขวางมีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม สนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้านปลูกดอกไม้ที่บัดนี้เหี่ยวเฉา เนื่องจากเจ้าของไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่

ริวแบกกระเป๋าตัวเองและพี่สาวขึ้นบ่า ปล่อยให้รอยจันทร์ไขกุญแจเปิดประตู จากนั้นเดินดุ่มๆ เข้าบ้าน ก่อนวางกระเป๋านั่งแผ่บนโซฟารับแขกอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง

โอ๊ย...เหนื่อย ชายหนุ่มบ่นดังๆ

ไปทำงานก็ต้องเหนื่อยสิยะ ไม่ได้นั่งๆ นอนๆ นี่ พูดไปอดแขวะน้องชายไม่ได้

ใครนั่งๆ นอนๆ ริวย้อน งานของผู้จัดการนี่ก็หนักพอๆ กับดารานั่นแหละ

ทำเป็นพูดดี ลองมาเป็นดาราดูเองบ้างสิ รอยจันทร์ท้า

...ม่ายอ๊าว...เจ้าตัวรีบปฏิเสธ ไม่อยากเก๊กหน้าหล่อตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

จะว่าไปรูปร่างหน้าตาระดับริวก็มีหลายคนชวนเข้าวงการ แต่เจ้าตัวปฏิเสธ ไม่ยอมเป็นดาราเด็ดขาด อ้างเหตุผลสารพัด ประเภทรอให้เรียนจบก่อน ตัวเองไม่มีความสามารถ อายกล้อง...สุดแต่จะคิดได้ขณะนั้น

กริ๊ง...เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ริวมองอย่างระอา

ใครวะ ช่างรู้เวลาจริงๆ เขาบ่น

พวกโรคจิตมั้ง แกไปรับสิ ฉันขี้เกียจฟังเซ็กซ์โฟน รอยจันทร์โบ้ย

การเป็นดาราหญิงฝ่ายตรงข้ามกับนางเอก ทำให้เจออะไรแปลกๆ ในชีวิตไม่น้อยเหมือนกัน

ริวรับสายไม่อิดเอื้อน

สวัสดีค่ะพี่ริว เสียงใสๆ ดังจากปลายสาย

ว่าไงคะน้องน้ำฝน เขาแกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อย

อ้าว...แฟนโทร.มาเหรอ รอยจันทร์ตะโกนล้อ ตั้งใจให้ดังเข้าสาย

ริวแกล้งเบ้หน้า หันโทรศัพท์อีกทาง

พี่รอยอยู่ด้วยหรือคะ

จ้ะ...แต่เดี๋ยวเจ๊เขาจะไปนอนแล้วละ มีถ่ายละครแต่เช้าเลย ริวรีบบอก

ฉันยังไม่ง่วงโว้ย จะดูทีวีก่อน พี่สาวแกล้งเป็นปฏิปักษ์

รอเดี๋ยวนะ ชายหนุ่มบอกก่อนโบกมือไล่พี่สาว นี่เจ๊จะไปไหนก็ไป คอยกวนอยู่ได้

หญิงสาวนั่งเอกเขนกบนโซฟา ไม่สนใจ ไม่มีทีท่าจะขยับตัวลุกไปไหน ริวส่ายหน้าระอาใจ ก่อนคุยกับเสียงใสๆ ทางโทรศัพท์ดังเดิม


รอยจันทร์อมยิ้ม นึกอยากแกล้งน้องชายอย่างนั้นเอง สมัยริวเป็นนักเรียนมัธยม เขาจะมีเด็กผู้หญิงส่งดอกไม้ ให้ของขวัญ โทรศัพท์มาคุยบ่อยๆ เด็กหนุ่มรูปหล่อ อัธยาศัยดี แฟนจึงเยอะจนน่าปวดหัวแทน แต่เจ้าตัวกลับไม่ทุกข์ร้อน หนำซ้ำยังสับรางเก่งชนิดคาสโนวายังอาย

พอพ่อและแม่เสียชีวิต ริวกลายเป็นผู้ใหญ่ชั่วข้ามคืน สุขุมขึ้น มีความรับผิดชอบ ภาพหนุ่มน้อยขี้เล่น ทำตัวไร้สาระเลือนหาย ตั้งแต่วันนั้นเขาไม่เคยคบผู้หญิงคนไหนเป็นแฟนจริงจัง ใช้ชีวิตเหมือนเงาคอยปกป้องเธอ ไม่แสดงความสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ พูดจากับสาวๆ ทั่วไปเสมอกันหมด มีคนสวยมาจีบทอดสะพาน เขาก็แกล้งเฉยทำเป็นไม่รู้

จนได้พบน้องน้ำฝน เด็กสาวตัวเล็กบอบบางที่มีรอยยิ้มสดใสเป็นนิตย์ รอยจันทร์ไม่รู้เรื่องการคบหาระหว่างเขากับเด็กสาวคนนี้ แต่เวลานี้น้องน้ำฝนก็ก้าวเข้ามาเป็นผู้หญิงพิเศษกว่าคนอื่นสำหรับริวแล้ว

ชายหนุ่มวางหูโทรศัพท์ หันหน้ามาพบพี่สาวกำลังจ้องมองตน จึงนั่งบนโซฟาข้างๆ

มองทำไมยายแก่หาแฟนไม่ได้ เขาเริ่มแหย่

เออ...ใช่สิ ฉันมันหาแฟนไม่ได้จนแก่ เพราะต้องทำงานงกๆ เลี้ยงน้องตัวโตอย่างควายจนไม่มีเวลาไงล่ะ

โถ...น่าสงสารจัง เขาแกล้งยิ้มประจบ น้องชายตัวโตอย่างควายคนนี้กินก็ไม่มากมายอะไร เสื้อผ้าข้าวของแบรนด์เนมก็ไม่ชอบใช้ เรียนรามฯ ค่าหน่วยกิตก็ถูก ไม่ขูดเลือดเหมือนมหาวิทยาลัยเอกชน ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเดือนนึงก็ไม่กี่บาท ทนๆ เลี้ยงเอาหน่อยไม่ได้เหรอ

รอยจันทร์หัวเราะ ยีผมชายหนุ่มตรงหน้าอย่างหมั่นไส้ ปลื้มใจลึกๆ ริวเป็นอย่างที่พูดจริงๆ ไม่เคยทำตัวเป็นภาระ หนำซ้ำยิ่งโต ยิ่งช่วยแบ่งเบางานของหล่อนได้มาก

เออ...เจ๊ พรุ่งนี้มีถ่ายละครตอนเช้า ให้รถตู้กองถ่ายมารับได้มั้ย ผมไม่ว่างขับรถไปส่ง

มีชั่วโมงเรียน หรือนัดกับน้องน้ำฝน พี่สาวดักอย่างรู้ทัน ริวเรียนรามคำแหงปีสุดท้าย ปกติไม่ค่อยเข้าเรียนอยู่แล้ว อาศัยอ่านหนังสือกับพวกติวเตอร์ จึงไม่น่าเชื่อว่ามีชั่วโมงฟังเลกเชอร์ ดังนั้นน่าเป็นเหตุผลที่สองมากกว่า

อย่าสนใจเลยน่า ตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวมันไม่จำเป็นต้องประกบทุกฝีก้าวสักหน่อย

ตามใจ งั้นสิ้นเดือนฉันจะหักเงินเดือนตามวันที่ขาดงานแล้วกัน

ก็ได้ เขายิ้มใส่ดวงตาวับๆ ของพี่สาว พอผมเงินหมดก็ต้องขอเจ๊อยู่ดี เลือกเอาว่าจะโดนไถ หรือจ่ายเงินเดือนเต็ม

รอยจันทร์หัวเราะ แกล้งผลักอกน้องชายแรงๆ มือกระทบของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อเขา

เออจริง เกล็ดอะไรที่คุณพันเกลียวให้ฉันน่ะ เมื่อไหร่จะคืนซะที หล่อนแบมือขอคืน

ริวยิ้มประจบขยับตัวออกห่าง

น่า...ขอยืมก่อน อยากได้จริงๆ จะคืนให้

แน่นะ รอยจันทร์คาดคั้น ทั้งที่ไม่ได้สนใจกับของชิ้นนั้นสักเท่าไหร่

เออน่า รีบไปนอนซะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เดี๋ยวผมโทร.ไปบอกทางกองถ่ายให้เขาเอารถตู้มารับ

ไม่ต้องหรอกย่ะ ฉันขับรถเป็น ขี้เกียจให้เขามาบีบแตรปลุก

ตามใจ


พูดจบริวก็เผ่นแผล็วขึ้นชั้นบน เข้าห้องปิดประตู ระบายลมหายใจยาว หยิบเกล็ดชิ้นนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

สีเหลืองอ่อนของมันเปล่งประกายเรืองๆ ความเย็นในเนื้อแผ่กระทบมือ รอยธรรมจักรยิ่งเด่นชัด ชายหนุ่มสัมผัสกระแสบางอย่างไหลวนเอื่อยๆ รอบเกล็ด เสมือนสนามพลังดึงดูดให้ดิ่งลึกเข้าหามัน

ริวตั้งสติ สูดลมหายใจลึก ทรุดตัวลงบนเตียง นั่งขัดสมาธิ ดับไฟที่หัวเตียง

ห้องมืดสนิท เกล็ดกลับส่องประกายบนหน้าขา แสงสีอ่อนอาบใบหน้าชายหนุ่มจนดูราวกับหน้ากาก

เขาคาดไม่ผิด เกล็ดปริศนาชิ้นนี้ซ่อนความลับเอาไว้ มันเปรียบกับกุญแจไขข้อข้องใจที่เคยรัวๆ รางๆ มาตลอด...

ริวมีความลับส่วนตัว...หลังจากได้เห็นบั้งไฟพญานาคพร้อมเพื่อนแปลกหน้าสมัยเด็ก เขาก็มีสัมผัสพิเศษ เกิดสังหรณ์บางสิ่งในอนาคต มองเห็นภูตผีวิญญาณ ติดต่อพูดคุยเหมือนคนธรรมดา ยิ่งกว่านั้นยังรู้ถึงพลังอำนาจบางอย่างที่แฝงเร้นในตัว มันสามารถข่ม สะกดปีศาจร้ายโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย

เขาสงสัยพลังอำนาจรู้ของตน ไม่รู้จะหาคำตอบจากใคร พ่อแม่เป็นคนธรรมะธัมโมก็จริง แต่ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้สักนิด พอเขาเล่าให้ฟัง ท่านทั้งสองเพียงยิ้มและบอกง่ายๆ

ในเมื่อมันมี แค่รู้ว่ามีก็พอลูก อย่าไปดีใจหรือวิตกกับมัน คิดเสียว่าเป็นเรื่องธรรมดา ของธรรมดา ใช้ประโยชน์จากมันเท่าที่เห็นสมควร และทำเฉยเสีย ถ้าไม่เห็นมันจะมีประโยชน์อะไร

เขาพยายามทำตามที่พ่อแม่สอน แม้จะไม่ค่อยดีนัก เวลาหลายปีตั้งแต่เด็กจนโต ทำให้คุ้นกับมันได้บ้าง จึงเริ่มเข้าใจและรู้จักใช้ประโยชน์ พร้อมกับวางเฉยตามแต่โอกาส

จนกระทั่งได้พบหลวงพ่อเจ้าอาวาส พระผู้มีกระแสอันอบอุ่น เยือกเย็นผิดกับพระรูปอื่นที่เคยเห็น...ตอนนั้น เขาคิดจะถามเรื่องพวกนี้ แต่ไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส พอมาถึงพันเกลียว ผู้หญิงแปลกประหลาด ผู้ก่อให้เกิดความยำเกรงและประหลาดใจในคราเดียว

ริวคิดว่าตนเองได้พบบุคคลประเภทเดียวกัน

พันเกลียวจงใจมอบเกล็ดชิ้นนี้ให้เขาเพื่ออะไรยากจะตอบ...แต่คำเฉลยมันอยู่ตรงหน้า

แสงสีเหลืองอ่อนสว่างเรืองจับตา ริวเพ่งตรงกลางรอยธรรมจักร จิตจ่อเป็นอารมณ์เดียว กระทั่งเห็นรอยธรรมจักรเริ่มหมุนช้าๆ แสงสว่างขยายตัวออกกว้างขวาง

ริวไม่สนใจความสว่างจะกระจายไกลปานใด นัยน์ตาจดจ้องอยู่แค่ธรรมจักร กระทั่งจิตรวมวูบ หลุดเข้าไปสู่กลางกงล้อนั้นอย่างรวดเร็ว...


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP