จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

สร้างบุญกุศลได้ง่าย ๆ ในแต่ละวัน


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it

 


038_destination

photo by Silawat



ในตอนที่แล้วได้แนะนำเรื่องการสร้างบุญกุศลง่าย ๆ ระหว่างเดินทาง
โดยก็ได้แนะนำไว้ด้วยว่าจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่แค่เพียงระหว่างเดินทางเท่านั้นหรอกครับ
แต่หากเข้าใจ ปฏิบัติ และระลึกถึงบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ได้เหมาะสมแล้ว
ก็จะสามารถสร้างบุญกุศลได้ตลอดทั้งวันเลย
(โดยไม่ต้องเสียเงินทองหรือสิ่งของอะไรเพิ่มเติมด้วยนะ)
ผมก็ขอคุยต่อในเรื่องนี้ต่ออีกหน่อยนะครับ

บางคนน้อยใจหรือบ่นเสียดายว่า ตนเองไม่มีโอกาสหรือเวลาจะไปวัดเพื่อทำบุญเลย
เพราะติดภาระหน้าที่ต้องทำงานตลอด หรือมีภาระต้องดูแลครอบครัวอยู่ตลอด
เรามาพิจารณาในเรื่องการสร้างบุญกุศลใน ๓ ระดับกันนะครับ
กล่าวคือ การสร้างบุญกุศลนั้น แบ่งออกได้เป็น ทาน ศีล และภาวนา

การภาวนานั้นได้บุญกุศลสูงที่สุด รองลงมาได้แก่การถือศีล
และบุญกุศลน้อยที่สุดก็ได้แก่การทำทาน
ซึ่งการภาวนา และการถือศีลนั้นสามารถทำได้ในทุกสถานที่
ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานที่ไหนก็ตาม เราก็สามารถภาวนาและถือศีลได้
ซึ่งเท่ากับว่าเราสามารถสร้างบุญกุศลอันสูงค่าได้ในทุกสถานที่อยู่แล้ว
(อันรวมถึงที่บ้านของเราเองด้วย)
ดังนั้นแล้ว ถ้าหากท่านไหนจะไม่ค่อยมีเวลาหรือโอกาสไปทำบุญที่วัด
ก็ไม่จำเป็นต้องน้อยใจหรือบ่นเสียดายหรอกครับ
เพราะท่านสามารถภาวนาและถือศีลที่บ้านของท่านได้อยู่แล้ว
จะเป็นศีลห้า หรือศีลแปดนั้นก็ถือที่บ้านได้ทั้งนั้นครับ

บางคนบอกว่าถือศีลแปดที่บ้านยากมาก เพราะที่บ้านไม่สงบ
โดยคนในบ้านเปิดโทรทัศน์ และกินข้าวเย็น
ก็ขอเรียนว่าศีลนั้นถือที่ใจเป็นสำคัญครับ
ใครเขาจะดูโทรทัศน์ เราก็อย่าเข้าไปดู
ใครเขาจะกินข้าวเย็น เราก็อย่าไปร่วมวงกิน
ใครเขาจะมาชวนผิดศีลในข้อใด ๆ เราก็ไม่เอา
เราก็ถือศีลแปดของเราไป ศีลแปดนั้นก็สมบูรณ์ได้ครับ

ขอวกกลับมาที่ประเด็นในเรื่องของการทำทาน
(ซึ่งอย่างที่เรียนไว้แล้วว่า ได้บุญน้อยกว่าถือศีลและภาวนานะครับ)
ด้วยความที่หลาย ๆ คนก็ชอบทำทาน และก็ถือเป็นบันไดที่จะช่วยรองรับ
ให้ก้าวต่อไปยังบุญกุศลสูง ๆ ในขั้นต่อไปได้ด้วย ก็จะขอคุยในเรื่องนี้ต่อนะ

ในการทำทานนั้น ที่บ้านเราก็ทำได้ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตปกติเลย
เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการวางใจระลึกให้ถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น
ยกตัวอย่างว่า ทำกับข้าวให้ลูก ป้อนอาหารให้ลูก ก็อย่าไปมองเพียงว่าเป็นหน้าที่
หรือว่าคิดแต่ว่า เรารักลูกเหลือเกิน ลูกน่ารักจริง ๆ แล้วปล่อยให้โมหะครอบงำไป
(หากท่านไหนเจริญสติเป็นแล้ว ก็แนะนำให้เจริญสติและภาวนาไปเลยนะครับ
และก็ไม่จำเป็นต้องอ่านบทความนี้ต่อครับ โดยขอแนะนำให้ภาวนาไปเลยครับ
ในที่นี้ผมจะแนะนำสำหรับท่านที่ต้องการระลึกให้เกิดบุญกุศลในระดับทานเท่านั้น)
แต่ให้ลองมาพิจารณาด้วยว่าเรากำลังให้อาหารแก่มนุษย์คนหนึ่งอยู่นะ
ซึ่งการทำบุญให้อาหารแก่มนุษย์คนหนึ่งนี้ ยังได้บุญกุศลมากกว่า
ไปให้อาหารปลาเป็นกระสอบแก่ปลาเป็นร้อยเป็นพันตัวที่วังมัจฉาที่วัดเสียอีก
เพียงแต่ต้องวางใจระลึกให้ถูกต้องเหมาะสม โดยก็ทำใจให้เป็นกลาง ๆ
และพิจารณาระลึกว่ากำลังให้อาหารแก่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น

เวลาทำกับข้าวให้พ่อแม่ ซื้อกับข้าวให้พ่อแม่ ก็ระลึกไปได้ครับว่า
ได้ถวายกับข้าวแก่พระอรหันต์ของเราเองแล้ว
เวลานั่งกินข้าวในโต๊ะกินข้าวด้วยกัน จะเทน้ำใส่แก้วให้ ก็คือเทน้ำถวายพระอรหันต์
ยกแก้วน้ำให้ ก็ยกแก้วน้ำถวายพระอรหันต์
ยกจานข้าวให้ ตักข้าวตักกับให้ ก็คือยกจานข้าวและตักข้าวตักกับถวายพระอรหันต์
หยิบกระดาษทิชชู่ให้ ก็คือหยิบกระดาษทิชชู่ถวายพระอรหันต์
ล้างจานชามให้ ก็คือล้านจานชามถวายพระอรหันต์
ก็ระลึกไว้เช่นนี้ตลอดแล้ว จะบอกได้อย่างไรว่าไม่มีโอกาสหรือเวลาทำบุญกุศลเลย

แต่หากท่านไหนคิดอีกแบบ ก็จะได้อกุศลแทน เช่น
ไปมัวคิดว่าน่าเบื่อจริง ขี้เกียจเลี้ยงลูก ป้อนอาหารลูก
ทำไมสามีไม่มาช่วยบ้าง หรือทำไมภรรยาไม่มาช่วยบ้าง
หรือพ่อแม่น่ารำคาญ รู้สึกเป็นภาระที่ต้องคอยมาเลี้ยงดู
ทำกับข้าวให้พ่อแม่กิน แล้วยังต้องไปล้างจานชามให้อีก
ทำไมลูกคนอื่นถึงไม่มาดูแลบ้าง ทำไมปล่อยให้เราทำคนเดียว
คิดเช่นนี้ก็สร้างแต่โมหะ และโทสะ แล้วก็เกิดแต่อกุศลเสียเปล่า ๆ
คนเราทำทุกอย่างเหมือนกันแต่วางใจและระลึกไว้ต่างกันก็ได้บุญกุศลต่างกัน

บางคนอาจจะถามว่า ก็ทำทุกอย่างเหมือนกัน ผลที่เกิดขึ้นก็เหมือนกัน
ดังนั้นแล้ว บุญกุศลหรืออกุศลก็ย่อมจะเกิดขึ้นเหมือนกันสิ
ไม่เกี่ยวข้องกับเจตนาในใจหรอก แต่ให้ดูเพียงผลที่เกิดขึ้นจริงก็พอ
กระผมก็ขอเรียนว่ายังเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนะครับ
เพราะว่าเจตนาและการวางใจระลึกในการทำทานนั้นเป็นสิ่งสำคัญ

ขอยกตัวอย่าง สมมุติว่าคุณมีลูก และลูกก็ทำขนมมาให้คุณทาน แล้วคุณก็ทาน
แต่เจตนาของลูกนั้น ทำขนมมาให้ทาน เพราะอยากจะให้คุณพอใจและให้เงินแก่เขา
เพราะอยากจะให้คุณมีคอเลสเตอรอลเยอะ ๆ แล้วจะได้ตายเร็ว ๆ ลูกจะได้รับมรดก
เพราะระลึกถึงบุญคุณของคุณ และรักคุณ อยากจะทำอะไรดี ๆ ให้บ้างเพื่อตอบแทน
ถามว่าทั้งสามเจตนานี้จะทำให้ลูกของคุณเป็นคนดีคนเลวแตกต่างกันไปได้ไหม
เพราะในแง่ของการกระทำนั้น ลูกก็ทำขนมมาให้คุณทานเหมือนกัน
และคุณก็ได้ทานขนมนั้นเหมือนกัน แต่เจตนาของลูกนั้นแตกต่างกัน

สมมุติว่าผู้หญิงคนหนึ่งมีแฟน และวันนี้คือวันเกิดของเธอ
แฟนของเธอจำวันเกิดของเธอไม่ได้หรอก และเขาก็แอบมีกิ๊กอยู่ด้วย
ปรากฏว่าแฟนของเธอไปแอบซื้อแหวนให้กิ๊ก และเผอิญว่าทำแหวนหล่นลงมา
เธอจึงถามแฟนไปว่า “โอ ซื้อแหวนให้เป็นของขวัญวันเกิดเลยเหรอ”
แฟนของเธอจึงจำได้และรีบสวมรอยให้แหวนเธอไปเป็นของขวัญวันเกิด
เปรียบเทียบกับอีกกรณีหนึ่ง แฟนของเธอไม่มีกิ๊ก และจำวันเกิดของเธอได้ดี
และไปซื้อแหวนมาให้เธอเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด
ในทั้งสองกรณีนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้แหวนมาเป็นของขวัญวันเกิดเหมือนกัน
และแฟนของเธอก็ได้ให้แหวนแก่เธอเหมือนกัน
แต่เจตนาของแฟนแตกต่างกัน ถามว่าจะทำให้แฟนของเธอนั้น
เป็นคนดีหรือคนไม่ดีแตกต่างกันไปไหมสำหรับเธอคนนั้น

หากท่านตอบว่าแตกต่างกันแล้ว ก็ต้องเข้าใจนะครับว่า
สิ่งทั้งหลายต่าง ๆ ที่ได้ทำไปนั้น แม้ว่าจะทำเหมือนกันทุกประการก็ตาม
แต่หากทำโดยเจตนาแตกต่างกันแล้ว กุศลและอกุศลที่ได้ก็จะแตกต่างกันได้ครับ

เราลองมาพิจารณาตัวอย่างในเรื่องของการทำงานในแต่ละวันดูบ้างนะครับ
เคยฟังเรื่องประวัติของท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) องค์หนึ่งไหมครับว่า
ท่านสร้างกรรมและบุญกุศลอะไรไว้ จึงได้ไปเป็นท้าวสักกะเทวราชบนสวรรค์
ซึ่งก็ขอเล่าเรื่องของ “มฆมานพ” นะครับ
มฆมานพนั้นได้ช่วยทำสถานที่ต่าง ๆ ให้รื่นรมย์
และให้คนทุกคนที่เข้ามาใช้สถานที่นั้น ถึงฤดูหนาวได้ก่อไฟให้ ถึงฤดูร้อนได้นำน้ำมาให้
และช่วยทำถนนหนทางให้สะดวกโดยการทำหนทางให้ราบเรียบ รานกิ่งไม้ที่ควรราน
และปฏิบัติวัตตบท ๗ ประการอยู่จนตลอดชีวิต
เมื่อสิ้นชีพแล้วไปบังเกิดเป็นท้าวสักกะเทวราชปกครองเหล่าเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครับ

(วัตตบท ๗ ประการที่มฆมานพปฏิบัตินั้นได้แก่
เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต ๑ ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต ๑

พูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต ๑ ไม่พึงพูดวาจาส่อเสียดตลอดชีวิต ๑
มีใจปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการสละ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต ๑

พูดคำสัตย์ตลอดชีวิต ๑ ไม่พึงโกรธตลอดชีวิต
ถ้าแม้ความโกรธเกิดขึ้น พึงกำจัดเสียโดยฉับพลัน ๑)

พวกเราก็คงเคยเห็นคนขุดเจาะถนน หรือคนทำทางสร้างถนนใช่ไหมครับ
งานทำถนนสร้างถนนนี้เป็นงานหนักมาก แต่หากคนงานทำทางทำถนนเหล่านั้น
ได้ระลึกและวางใจในระหว่างทำงานให้เป็นบุญกุศลเหมือนกับมฆมานพได้แล้ว
ก็จะได้บุญกุศลมหาศาลเลยนะครับ เช่น ระลึกว่าที่ทำทางทำถนนนี้
เพื่อประโยชน์แก่มวลหมู่ชนทั้งหลาย ให้มวลหมู่ชนทั้งหลายได้ใช้ทางถนนนี้
คนทำงานได้ไปทำงาน พระภิกษุได้บิณฑบาต ได้เดินทางไปวัด ได้ไปทำกิจนิมนต์
คนป่วยได้เดินทางไปโรงพยาบาล แพทย์พยาบาลได้เดินทางไปรักษาคนไข้
นักเรียนได้เดินทางไปโรงเรียน ครูอาจารย์ได้ไปสอนนักเรียน
ลูกได้เดินทางไปหาพ่อแม่ คนรักได้เดินทางไปหากัน
กัลยาณมิตรและญาติธรรมได้เดินทางไปสร้างบุญกุศล ฯลฯ อธิบายได้ไม่หมด
ระหว่างที่ทำงานทำทางสร้างถนนนั้นก็วางใจให้เป็นกุศลไว้ตลอดก็จะได้กุศลมากมาย
ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้น ก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัย
โดยไม่ต้องไปหมกมุ่นครุ่นคิดมันมาก เพราะก็จะเกิดแต่โลภะและอกุศลเสียเปล่า ๆ

หากเป็นคนขับรถโดยสาร รถเมล์ รถแท็กซี่ หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ตาม
ก็สามารถระลึกวางใจเพื่อให้เกิดบุญกุศลในใจได้ในทำนองเดียวกันครับ
ระหว่างขับรถไปให้ระลึกด้วยเมตตา อยากช่วยพาคนทั้งหลายให้ถึงที่หมาย
ด้วยความสะดวกและปลอดภัย ส่วนว่าจะได้ค่าเดินทางหรือค่าตอบแทนนั้น
ก็ให้เป็นไปตามเหตุและปัจจัย และถึงที่หมายแล้วค่อยว่ากัน
แต่ในระหว่างที่ทำงานอยู่นั้น จิตใจก็มีแต่บุญกุศลล้วน ๆ ครับ

หากเป็นทหารเดินลาดตระเวนแล้ว
ก็สามารถระลึกได้ครับว่าเดินลาดตระเวนปกป้องประเทศ
ปกป้องคนหกสิบกว่าล้านคนให้มีความสุข ให้ปลอดภัยจากอริราชศัตรู
ปกป้องพระภิกษุทั้งหลาย ปกป้องวัดวาอาราม ศาสนสถานทั้งหลาย
ปกป้องพระพุทธรูป ปกป้องหนังสือธรรมะ ปกป้องโรงเรียน โรงพยาบาล
ปกป้องพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ
และคนอื่น ๆ จำนวนมากมายมหาศาล
ดังนั้นแล้ว ที่เดินลาดตระเวนอยู่นั้น ได้บุญกุศลมากมายมหาศาล
ขอเพียงแค่ระลึกและวางใจไว้ให้ถูกต้องและเหมาะสมครับ

ท่านอื่น ๆ ที่ประกอบอาชีพหรือทำหน้าที่ในการบริการ
หรือให้ความช่วยเหลือแก่คนอื่น หรือแม้กระทั่งขายอาหารให้คนอื่น
หรือสร้างประโยชน์ใด ๆ ให้แก่คนอื่น ๆ ได้นั้น
ก็สามารถทำใจระลึกให้เป็นบุญกุศลได้ในทำนองเดียวกันครับ
(เช่น เป็นครูสอนนักเรียน ก็คือให้วิทยาทานอยู่ทุกเวลาที่สอนเลย เป็นต้น)
ไหน ๆ ก็ต้องทำหน้าที่และทำงานของตัวเองอยู่แล้ว
หากจะไปมัวโลภคิดถึงแต่ค่าตอบแทน และทำไปด้วยรำคาญ หรือหงุดหงิดใจ
มันก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร สู้เราทำไปเพื่อบุญกุศลในใจจะไม่ดีกว่าหรือ

ดังนั้น หากเข้าใจถึงตรงนี้แล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องน้อยใจหรือบ่นเสียดายแล้วนะครับ
ว่าไม่ได้มีโอกาสหรือเวลาไปที่วัดเพื่อทำบุญเลย
เพราะอยู่บ้านก็ทำได้ครับ และระหว่างทำงานนั้นก็ทำได้เช่นกันครับ
เพียงแต่จะต้องมีความเข้าใจ และวางใจระลึกให้เป็นและถูกต้องเท่านั้นเอง


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP