วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๑


ชลนิล


บทที่ ๑

 


สิบกว่าปีก่อน

วัดริมแม่น้ำโขง อำเภอศรีเชียงใหม่

ดาวดารดาษเต็มผืนฟ้ากำมะหยี่สีหมึก จันทร์กลมโตฉายดวงลอยเด่น แสงระเรื่ออ่อนโยนเกลี่ยไล้ระบายฟ้ามิให้มืดมิดเกินไปนัก เบื้องล่างเป็นแม่น้ำสายใหญ่ไหลเอื่อยๆ ผ่านโขดหิน โค้งคุ้งแล้วหายลับไปกับม่านรัตติกาล ระริ้วระลอกน้ำสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายละเลื่อม ดูราวกับดวงดาวลงมาแตะแต้มประโปรยทั่วแผ่นฟ้าและผืนน้ำ

ภายในวัดเงียบสงบ กลิ่นดอกไม้กลางคืนหอมกระจายตามลมซอกซอนยังกุฏิน้อยใหญ่ที่เรียงกันห่างๆ แสงไฟวับแวมส่องลอดพอให้เห็นว่ามีผู้คนมาถือศีลบำเพ็ญภาวนาไม่น้อย

คืนนี้...ราตรีขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ด เหล่าพระภิกษุต่างปวารณาออกพรรษาเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อกลางวัน ตกค่ำหลังจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่จะเทศนาสั่งสอน อบรมจิตภาวนาแก่สานุศิษย์และชาวบ้านผู้มาถือศีลบำเพ็ญเพียร กระแสธรรมของท่านอบอุ่น อ่อนโยน เยือกเย็นจับจิตจับใจเหล่าผู้ฟังทั้งหลาย

เมื่อฟังเทศน์จบ พระเณร อุบาสก อุบาสิกาต่างแยกย้ายปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมเฉพาะตัวไม่มีใครส่งเสียงดังรบกวนกัน ความเงียบสงัดปกคลุม ช่วยส่งเสริมผู้บำเพ็ญภาวนาให้มีจิตสงบรวดเร็ว

โขดหินริมแม่น้ำแลเป็นเงาตะคุ่ม แสงไฟจากกุฏิด้านบนไม่อาจส่องมาถึง มีเพียงแสงจันทร์สกาวช่วยไขม่านมืดให้มองเห็นเด็กชายชุดขาวสองคน กำลังซุ่มตัวเงียบๆ หลังโขดหิน ท่าทางกำลังรอคอยสิ่งบางอย่าง

พ่อแม่ของริวมักพาเขากับพี่สาวมาถือศีล ปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้เสมออย่างน้อยปีละครั้ง เขาจึงคุ้นเคยกับวัดไม่ต่างจากบ้าน คืนวันออกพรรษาหลังฟังเทศน์จากหลวงปู่จบ เขากำลังจะหาที่หลบนั่งสมาธิ แต่บังเอิญเห็นเงาแวบๆ ชุดขาวของเด็กวัยเดียวกัน จึงหันไปใส่ใจกับเด็กคนนั้น กระทั่งพวกผู้ใหญ่เริ่มทยอยออกจากศาลา ริวค่อยเดินตามหาและพบเพื่อนใหม่เป็นเด็กชายที่พูดจาถูกชะตา

เพื่อนใหม่ชวนเขามาดูอะไรบางอย่างที่ริมแม่น้ำ ริวลังเลใจไม่นานก็ยอมตกลง พ่อแม่ไม่ค่อยห่วงเขาเมื่ออยู่ภายในวัด ส่วนพี่สาวยิ่งแล้วใหญ่ป่านนี้แอบไปนอนแล้วมั้ง

ริวนั่งคอยอยู่นาน เมื่อยขบทั้งตัว เห็นแต่แม่น้ำสีดำสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย ไม่ยักเห็นสิ่งที่เพื่อนใหม่ชวนมาดู จึงคิดจะซักถาม แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับทำนิ้วจุปากเป็นเชิงบอกให้เงียบแล้วชี้มือไปกลางลำน้ำ

เขามองตามมือชี้ แรกทีเดียวเห็นแค่สายน้ำกับแนวป่าไม้ของประเทศฝั่งตรงข้าม นึกอึดอัดสงสัยขยับจะอ้าปากร้องถาม แต่แล้วต้องรีบหุบปากตาค้างเมื่อปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้น

ลูกไฟสีแดงสดขนาดเท่าผลส้มพุ่งขึ้นจากกลางแม่น้ำ ตรงดิ่งสู่ท้องฟ้าก่อนจะดับแสงลง ริวมองตามอย่างมึนงงคิดถามเพื่อนใหม่เพื่อขอคำตอบ ฝ่ายตรงข้ามยิ้มนิดๆ ชี้มือไปยังแม่น้ำคล้ายบอกให้ค้นหาคำตอบเอาเอง

เมื่อหันกลับมองสายน้ำอีกครั้ง ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ตื่นตะลึง ความรู้สึกในใจพลุ่งพล่านเกินระงับ ลูกไฟสีแดงพุ่งจากแม่น้ำเป็นระยะ หนึ่งลูก สองลูก สิบลูก ยี่สิบลูก พุ่งขึ้นและดับหายกลางท้องฟ้า ความปีติ เอิบอิ่มแผ่ซ่านในใจ รอยยิ้มคลี่บาน เพื่อนใหม่ที่อยู่ข้างกายกระซิบลา

กลับละนะ อย่าลืมกันล่ะ เขาลุกขึ้นเดินลงสู่แม่น้ำ

เดี๋ยว ริวร้องเรียก คิดอยากถามว่า...สิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร

เพื่อนใหม่หันกลับมามอง ยิ้มให้นิดๆ ก่อนร่างจะเลือนหาย ชั่ววิบตานั้นริวมองเห็นลำตัวยาวกำลังมุดน้ำ โผล่พ้นเพียงหางขึ้นมาแทนที่


 

ช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นเหตุการณ์ที่ประทับความทรงจำไม่รู้ลืม ท่ามกลางลูกไฟที่ลอยขึ้นมาเป็นระยะ เงาเลื่อมๆ รูปร่างคล้ายงูขนาดใหญ่ที่หัวมีหงอนกำลังดำผุดดำว่ายจากฝั่งสู่กลางแม่น้ำอย่างเชื่องช้าดังอาลัยลา สายใยที่มองไม่เห็นเชื่อมโยงจิตใจต่อกัน เด็กชายหลุดคำพูดที่ตนเองก็ไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของมันออกมา

ไม่ลืมหรอก จะอย่างไรก็ไม่ลืม...ไม่ยอมลืมเด็ดขาด

ขณะพูดความหดหู่ที่บอกไม่ถูกบังเกิดขึ้น พร้อมกันนั้นกระแสมุ่งมั่นในใจก็พลุ่งพล่านล้นอก มันรุนแรงจนลบอารมณ์เดิมเสียสิ้น งูมีหงอนหายลับไปกับความดำมืดใต้แม่น้ำ ลูกไฟทิ้งช่วงห่างลงทีละน้อยจนไม่มีเหลือ

ริวยืนอาบแสงจันทร์เพ็ญ จิตใจสงบเยือกเย็น เหตุการณ์พิสดารที่เพิ่งปรากฏเหมือนปลุกเร้าตัวตนภายในให้ฟื้นตื่นชั่วข้ามคืน



-----000-----



ไม่ลืม ไม่ลืมหรอก ข้าไม่ยอมลืมแค้นนี้เด็ดขาด

เสียงนี้สะท้อนก้องอยู่ในคูหาถ้ำอันลึกลับ ซ่อนเร้นจากสายตาความรับรู้จากผู้คนทั่วไป มันเป็นที่คุมขังสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ให้อยู่ในความมืดอันโดดเดี่ยว ท่ามกลางความคับแค้นอันน่าทุรนทุราย

เวลา...ช่างเนินนานนัก ภายในสถานที่คุมขังอันคับแค้น เงียบร้าง มันไม่ต่างจากนรกอันโหดร้าย

ร่างของมันซุกกายเหยียดยาวนิ่งสนิทเป็นเงาเลื่อมๆ อยู่ซอกหลืบคุก ไม่คิดขยับเขยื้อนกาย รอคอยเวลาที่พันธนาการจะถูกถอดถอน

นักโทษ...ย่อมมีวันหลุดพ้นจากที่คุมขัง

โดยเฉพาะที่คุมขังที่ปิดผนึกด้วยมนตรา อาคมเช่นนี้ ย่อมมีวันเสื่อมคลาย

ประกายสีแดงวะวาบสว่างขึ้นเป็นช่วงๆ เผยให้เห็นโขดหินหลืบถ้ำที่แข็งกระด้าง ร่างที่สงบงันค่อยชันคอขึ้นมาราวกับสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง

มนตราที่คุมขังอ่อนแรงเต็มทีใกล้เสื่อมสลาย

เขายินดียิ่ง ไม่นานจะได้รับอิสรภาพ...

เมื่ออิสรภาพมาถึง สิ่งแรกที่จะทำคืออะไร...

...แก้แค้น...

แน่นอน...แต่ควรแก้แค้นเยี่ยงไร...เข่นฆ่าศัตรูและทายาทของมันให้พินาศสิ้นดีหรือไม่...

ย่อมดี...แต่หากทำลายล้างมันในคราเดียวนับว่าปราณีเกินไป ความพยาบาท อาฆาตแค้นที่ฝังใจเนิ่นนานควรได้รับการชดใช้อย่างสาสม ค่อยเป็นค่อยไป เหมือนลิ้มชิมขนมหวานทีละนิด ให้รสชาติซึมซาบช้าๆ คุ้มค่ารอยแค้นที่ฝังจิตฝังใจ

พอคิดได้ค่อยสงบใจ...รอคอย...ซุกศีรษะลง หลับตา รอเวลา


 

...เวลา...เลื่อนผ่าน...เลื่อนผ่าน...

...มนตรา...เสื่อมถอย...เสื่อมถอย...ตามเวลา...

ประกายสีแดงสว่างจ้าขึ้นมาวูบหนึ่ง ครานั้นมีเสียงดัง ครืด ครืด...ครืน... โขดหิน เพดาน หลืบถ้ำล้วนหายวับ หลงเหลือเพียงร่างหนึ่งเดียวที่เคยถูกคุมขัง

เขายืดส่วนหัวขึ้นสูงเต็มที่ อ้าปากกู่ก้องสุดกำลัง...

อ๊าก...อ๊าก... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... เสียงกู่ร้องอย่างเต็มพละกำลัง เปลวเพลิงแลบปลาบเป็นสาย ใจสุดแสนปรีดา ความคับแค้น เจ็บปวดถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมกับเสียง และเพลิงพิษนี้

และแล้ว...แผนการชำระแค้นถูกเริ่มนับหนึ่ง...สอง...จนกว่าจะถึงวันพินาศแห่งมัน



-----000-----



ปัจจุบัน

อ.โพนพิสัย ท่าน้ำวัดไทย ริมน้ำโขง คืนเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑

ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเรียกขานผู้คนทั่วทุกสารทิศให้แห่แหนมากันมากมายมืดฟ้ามัวดิน แน่นขนัดตั้งแต่บนถนน รถราไม่สามารถขยับเขยื้อนเลยจนถึงบริเวณวัด และมากที่สุดคือริมท่าน้ำ

เสียงเฮฮาโห่ร้องดังขึ้นเป็นระยะทุกครั้งที่มีลูกไฟขึ้นจากแม่น้ำ ลูกกลมสีแดงสดขนาดผลส้มลอยผ่านความมืดขึ้นสู่เบื้องบนและดับหายอย่างไร้ร่องรอย ลูกแล้วลูกเล่า ยังความฉงนแกมตื่นเต้นแก่ผู้คนทั่วไป

ที่มุมหนึ่งริมท่าน้ำ กลุ่มผู้จัดทำรายการทีวีกำลังบันทึกภาพปรากฏการณ์นี้อย่างตั้งอกตั้งใจ มีชาวบ้านสนใจยืนดูไม่น้อย

คนที่โดดเด่นกว่าใครเป็นพิธีกรสาวร่างสูง สมส่วน แข็งแรง ผมยาวเคลียไหล่ นัยน์ตาโตฉายแววเอาเรื่อง โครงหน้า จมูก ปาก รับกันเหมาะเจาะ เป็นผู้หญิงสวยจัดคนหนึ่ง หล่อนทำหน้าที่คล่องแคล่ว ไม่เคอะเขิน มั่นใจตัวเองสูง

ชาวบ้านรอบๆมีท่าทางกล้าๆกลัวๆที่จะเข้าใกล้หล่อน เพราะนอกจากงานพิธีกรแล้วสาวสวยคนนี้ยังผ่านงานละครหลายเรื่อง แทบทุกเรื่องจะได้รับบทคล้ายกัน คือเป็นตัวประกอบฝ่ายหญิงที่มีหน้าที่แย่งชิงพระเอก พูดง่ายๆเป็นนางอิจฉามือวางอันดับหนึ่ง ชนิดสั่งตบเป็นตบ ด่าเป็นด่า จนบางช่วงของชีวิตไม่สามารถเดินผ่านตลาดสดได้

โอเค...เรียบร้อย ผู้กำกับรายการสั่งหยุดกล้อง

รอยจันทร์ยิ้มรับก่อนแกะไมโครโฟนปกเสื้อออกมายื่นให้ทีมงาน จากนั้นเดินตัวตรงผ่านชาวบ้านรอบๆ ไปยังรถตู้ที่จอดห่างๆ หลายคนทำท่าเหมือนอยากทักทายขอลายเซ็นแต่กริ่งเกรงบารมีนางร้ายทำให้หล่อนเดินผ่านอย่างสะดวกสบาย จนกระทั่งมุดตัวเข้ารถตู้สำเร็จ


ทันทีที่ประตูปิด บุคลิกของรอยจันทร์พิธีกรสาวมาดมั่น นางร้ายสวยเฉียบ ดุจัด ก็แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นอีกคน

คนเยอะชะมัดเจ๊ก ร้อนฉิบ...มีอะไรเย็นๆบ้างมั้ย

น้ำส้มแช่เย็นถูกส่งมาให้จากมือที่อยู่ด้านใน

เห็นฉันเป็นนางเอกหรือไง ให้กินน้ำส้มแบบนี้เจ้าตัวพูดไม่จริงจังนัก

งั้นเอาเบียร์มั้ยเจ๊เสียงห้าวๆ ดังกลั้วหัวเราะคราวก่อนให้เป๊ปซี่ก็บ่นกินไม่ได้ เดี๋ยวอ้วน ไม่สวย ต้องมารีดน้ำหนักทีหลังอีก

เออ...อย่าบ่นหญิงสาวรับน้ำส้มมาดื่ม รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้า เหลือบตามองเบาะด้านหลัง

แสงสว่างภายนอกส่องผ่านกระจกรถตู้ เผยให้เห็นชายหนุ่มที่นั่งกึ่งเอนนอนอยู่เบาะหลัง ใบหน้าขาวจัดสะอาดตา นัยน์ตาโตคมใต้คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเรียวสีสด ผมหยักศกน้อยๆ ทิ้งปอยเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มกว้างเผยความจริงใจ

เป็นผู้จัดการภาษาอะไร ปล่อยให้ดาราไปยืนตากหน้าอยู่คนเดียวรอยจันทร์เอ่ยปากเหมือนชวนคุยมากกว่าหาเรื่องทะเลาะ

ขี้เกียจ คำตอบสั้นจนน่าหมั่นไส้

แล้วงานอย่างเจ๊มันต้องไปยืนตากหน้าอยู่แล้ว จะบ่นหาอะไร

ฉันอิจฉาแกโว้ยไอ้ริว หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ ไม่รู้ทำบุญด้วยอะไร ไปไหนก็ได้สบายกว่าทุกคน

ก็จะทำตัวให้มันลำบากไปทำไมเล่า ริวตอบแกมเถียง

สักครู่ทีมงานนำอุปกรณ์มาเก็บ ก่อนทยอยขึ้นรถพร้อมเดินทางกลับ

รถยังติดอยู่เลย จะกลับได้หรือพี่แพท ริวถาม

เราไม่ไปทางเดียวกับคนอื่นหรอกพี่แพทผู้กำกับรายการบอก ตะกี้ ลุงคนขับรถแกบอกว่าจะขับเลยขึ้นไปอีกหน่อย มีทางลัดเลี้ยวกลับอุดรได้ไม่ต้องผ่านหนองคาย

 


คณะถ่ายทำรายการ มิติเร้น ได้จองโรงแรมไว้ที่อุดร ก่อนเดินทางมาถ่ายทำ บั้งไฟพญานาค ที่หนองคาย ระยะทางระหว่างสองจังหวัดไม่ห่างกันมากนัก การเดินทางสะดวก ประกอบกับอุดรเป็นจังหวัดใหญ่กว่า ทุกคนจึงลงมติพักกันที่นั่น

แน่ใจนะครับ ริวพูดลอยๆ

ไม่ต้องกลัวหลงหรอกน่าริว ลุงแกชำนาญเส้นทางดี

ริวไม่พูดต่อ เบือนหน้าผ่านกระจกมองฝูงคนที่คลาคล่ำเลยถึงท้องฟ้าสีหมึก ที่นั่นยังพอเห็นบั้งไฟสีแดงลอยขึ้นก่อนจางหายกลางอากาศ

แววตายามมองบั้งไฟ ซ่อนรอยรำลึกอันงดงาม ใบหน้าขาวมีสีระเรื่อราวถูกย้อมด้วยแสงศรัทธาบั้งไฟ

รถเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ผ่านฝูงชนที่เริ่มทยอยกลับ ถนนสายแคบแน่นขนัดด้วยรถ พี่แพทน่าจะคาดการณ์ถูก ขบวนรถส่วนใหญ่มุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองหนองคาย เพื่อจับถนนเส้นหลักเดินทางต่อยังอุดร มีรถไม่กี่คันที่ขับย้อนขึ้นไปทางอำเภอบึงกาฬ

ถึงอย่างนั้นกว่ารถตู้จะหลุดจากขบวนรถติดมหาวินาศสู่ทางที่แล่นสะดวกก็กินเวลานาน คนในรถไม่มีอะไรทำจึงพูดคุยฆ่าเวลา เรื่องที่คุยกันก็ไม่พ้นปรากฏการณ์ที่เพิ่งผ่านตา แต่ละคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบั้งไฟพญานาคตามความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัว ยกเว้นริว

ถึงยังไงพี่ก็ไม่เชื่อว่าพญานาคมีจริง ลูกไฟนั่นมันอาจเกิดจากอะไรก็ได้ที่พวกเรายังไม่รู้ พี่แพทเปิดประเด็น

อ้าว...พี่ไม่เชื่อแล้วไหงมาทำเรื่องนี้ล่ะ โหน่ง...ตากล้องถาม

มันเป็นประเด็นที่คนอยากรู้ไง หน้าที่ของเราคือต้องเสนอสิ่งที่คนดูต้องการ

อ้าว...แล้วสคริปต์ที่พี่ให้รอยพูดนั่นก็ไม่ได้เขียนเองสิคะ รอยจันทร์ออกปากถาม

แหม...เสนอเรื่องแบบนี้มันก็ต้องเขียนให้เป็นกลางหน่อย ถึงไม่เชื่อเลยแต่ก็เขียนสคริปต์ส่งๆ ไปได้

เพราะอะไรพี่ถึงไม่เชื่อเอาเสียเลยล่ะ โหน่งสงสัย

ยังไม่เคยเห็น พี่แพทตอบง่ายๆ ไม่มีหลักฐานที่ไหนยืนยันด้วย ถ้ามีจริงต้องพิสูจน์ได้สิวะ แสดงตัวให้เห็นกันโต้งๆ เลย ไม่ใช่ปล่อยแต่ลูกไฟอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมาแทน

ก่อนวงสนทนาเรื่องพญานาคจะล้ำเส้นการดูหมิ่นมากกว่านี้ ริวก็เอ่ยปากมาจากด้านหลัง

พี่แพท ตรงนี้มันแถวไหน ไม่ใช่หลงทางแล้วเหรอ

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนสนใจมองนอกหน้าต่าง รอบด้านมีแต่ความมืดแลตะคุ่มไกลๆ ถนนลาดยางขรุขระ รถแล่นไม่เรียบ นอกจากรถตู้คันนี้ไม่มีคันอื่นตามมาอีก

ลุง...ไหงถนนมันโล่งอย่างนี้ล่ะ ไม่มีรถสักคัน ไม่ผิดแน่นะ พี่แพทถาม

ไม่ผิดหรอกครับ นี่เป็นทางลัด ถนนไม่ค่อยดี ไม่มีคนมากัน แต่ขับอีกไม่ไกลก็จะไปทะลุถนนใหญ่กลับอุดรได้แล้ว คนขับรถยืนยัน

ได้ยินหรือยังริว รับรองพี่ไม่พานายกับพี่สาวมากินข้าวลิงกลางป่าหรอก พี่แพทใส่อารมณ์ขัน

ชายหนุ่มยิ้มรับ นัยน์ตามองผ่านหญิงสาวชั่วแวบ สายตาประสานกันรอยจันทร์ชะงักวูบสะดุดใจ ริวเป็นทั้งน้องชายและผู้จัดการส่วนตัว รู้จักกันมาทั้งชีวิต อากัปกิริยาเล็กน้อยแค่นี้ สะกิดให้รู้ถึงความผิดปกติได้

มีอะไรหรือเปล่า หล่อนกระซิบถาม

นัยน์ตาริวส่องประกายยิบๆ ซ่อนความนัย

ง่วงจัง ของีบก่อนได้มั้ย ถึงอุดรค่อยปลุกนะ

ง่วงได้ยังไง คนทำงานยังไม่เหนื่อยเลย นี่แกนอนรออยู่ในรถนะยะ รอยจันทร์ตั้งใจบ่นยาวๆ ให้น้องชายยอมเปิดปาก แต่ไร้ผล ชายหนุ่มเอนตัวหลับตานิ่งชนิดที่ต่อให้ฟ้าถล่มก็ไม่ลุก

รอยจันทร์เบือนหน้ากลับไม่เซ้าซี้ ผู้โดยสารอื่นเริ่มให้ความสนใจกับเส้นทางข้างหน้า ถนนทอดยาวไม่สิ้นสุด บางช่วงผ่านหมู่บ้านที่ผู้คนดับไฟมืดตามประสาคนชนบทที่นอนไว

แสงจันทร์สว่างเห็นทุ่งนาสองข้างทางไกลลิบ ตาลเดี่ยวยืนต้นสูงตามคันนา ในรถเงียบเหมือนไม่มีเรื่องพูดคุย แต่ละคนล้วนหวังให้ผ่านถนนโล่งเงียบแห่งนี้โดยเร็ว

หมอกขาวโรยตัวมาจากไหนไม่ปรากฏ แรกๆ ไม่มีใครสนใจ พอไม่นานมันค่อยหนาแน่นขึ้นจนเต็มถนน มองดูราวกับอยู่กลางทะเลหมอก รถตู้เปรียบเหมือนเรือน้อยลอยลำไร้จุดหมาย ไม่รู้ทิศทางต้องขับช้าที่สุดเพื่อสังเกตแนวถนน หมอกหนาเข้มขึ้นจนไฟหน้ารถส่องได้ไม่กี่เมตร

เฮ้ย หมอกอะไรวะ พี่แพทร้องตกใจแกมตื้นเต้น

ขับระวังหน่อยนะลุง รอยจันทร์พูดพลางมองน้องชาย แววตาเริ่มสงสัย

ทะเลหมอกแผ่กว้าง ลอยต่ำ ดูราวผืนน้ำสีขาวขยับไหวรอบรถ ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของสายหมอก เสียงบางอย่างก็แว่วขึ้น

ครืด...ครืด...ด...

เสียงคล้ายลากขอนไม้ขนาดใหญ่ที่มีลำยาวไม่สิ้นสุด

รถตู้จอดนิ่ง ลุงคนขับเบิกตาค้างเหมือนคนสูญเสียสติสัมปชัญญะ

เป็นอะไรลุง โหน่งนั่งข้างคนขับรถร้องถาม แต่ไร้ผล ไม่มีปฏิกิริยาใด ชายกลางคนนั่งนิ่งไม่ผิดกับท่อนไม้ นัยน์ตาค้างมองยังทะเลหมอกข้างหน้า

ทุกคนมองตามสายตา แรกทีเดียวไม่มีใครเห็นอะไรนอกจากเสียง ครืด...ครืด... ที่ดังเป็นระยะ ก่อนที่หนึ่งในคณะจะออกปากหลุดความสงสัย บางสิ่งบางอย่างก็แสดงตัวต่อหน้าทุกคน

มันเป็นลำตัวของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายต้นตาลสีทึมๆ ไม่สามารถเห็นมันอย่างชัดเจน กระทั่งสายหมอกค่อยคลายตัว ลักษณะสีสันของมันจึงชัดเจนกระจ่างตา

มันคือลำตัวงูขนาดมหึมา เกล็ดสีน้ำตาลอ่อนส่องประกายสะท้อนแสงไฟเคลื่อนตัวผ่านเชื่องช้า เสียงครืด...ครืด...ดังไม่ขาดระยะ สายตาทุกคู่จ้องมองตะลึงลาน ทำอะไรไม่ถูก ผ่านไปราวหนึ่งหรือสองนาที หมอกเริ่มก่อตัวหนาขึ้น ลบเร้นภาพตรงหน้าให้เจือจาง กลมกลืนกับอากาศธาตุ เสียงครืดค่อยแผ่วลง แผ่วลง คล้ายเจ้าของเสียงเลื้อยไกลออกไป

คนในรถค่อยได้สติ ลมหายใจถูกระบายออกมาราวกับเมื่อครู่ทุกคนต่างพร้อมกลั้นลมหายใจไม่กล้าส่งเสียง กลัวสิ่งที่เห็นจะแสดง อะไร ให้ดูมากกว่านี้

รอยจันทร์เห็นริวยังหลับ ไม่สนใจต่อสิ่งประหลาดที่บังเกิดต่อหน้าทุกคน ขบริมฝีปากสงสัย แต่จะปลุกมาซักไซ้ตอนนี้คงไม่เหมาะ ทุกคนกำลังขวัญเสียตะลึงลานพูดไม่ออก

พี่แพท รอยจันทร์เรียกผู้กำกับรายการ โหน่ง ตามด้วยตากล้อง

เสียงเรียกได้ผลเมื่อทั้งคู่สะดุ้งเฮือกตื่นจากภวังค์ เลิ่กลั่กมองหน้ากันราวกับหาคำตอบ

เฮ้ย เอ็งเห็นอย่างพี่มั้ย พี่แพทถามโหน่ง

เห็นพี่ เห็นชัดทั้งสองตาเลย คำตอบเล่นเอาขนลุก

ก่อนจะมีการพูดจาขยายความ ชายหนุ่มหลังรถก็ตื่นขึ้นบิดตัวอย่างเมื่อยขบ

ถึงอุดรแล้วหรือครับ เร็วจังคำพูดง่ายๆ ช่วยละลายบรรยากาศให้เปลี่ยน และโดยไม่ทันมีใครสังเกตหมอกขาวหนาทึบที่ล้อมรถก็กระจายออกจนสามารถมองเห็นถนน ทุ่งนาดังเดิม ทะเลหมอกและลำตัวงูมหายักษ์คล้ายเป็นความฝันของคนหลับในก็ไม่ปาน


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP