สารส่องใจ Enlightenment

ปรารภความเพียร


พระอาจารย์อัครเดช ถิรจิตโต (ตั๋น)

วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั้น
เราเกิดแล้วตายมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว
ความสุขทั้งหลายซึ่งเราเคยได้รับ หรือความทุกข์ทั้งหลายที่เราเคยได้รับก็ตาม
ไม่เห็นมีสิ่งใดที่จะทำให้จิตใจของเรานั้น มีความสุขที่แท้จริงขึ้นมาบ้างเลย
พยายามใช้สติปัญญาสอนใจของเรานั้น ให้เห็นความทุกข์
ในแต่ละภพแต่ละชาติ แห่งการเวียนว่ายตายเกิด
ไม่ว่าจะอยู่ในภพชาติไหน หรือไม่ว่าจะอยู่ในภูมิไหน
ภูมิของนรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน หรือมนุษย์ เทวดา พรหม
ล้วนมีความทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ถ้ายังมามีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก
เพราะฉะนั้นชาตินี้ เราจะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง
เพื่อมุ่งประพฤติปฏิบัติเพื่อความดับความทุกข์ในจิตใจของเรา
หรือเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ให้เกิดขึ้นภายในใจของเรานี้
เราจะไม่ท้อถอย จะประพฤติปฏิบัติทำความเพียรไป ตลอดชีวิตของเรานี้

ถ้าเราทุกคนมีความตั้งใจจริงเช่นนี้ อยู่ภายในจิตใจของเรา
ก็จะทำให้จิตใจของเรานั้น เกิดความศรัทธาในการปรารภความเพียรอยู่ทุกๆ วัน
เมื่อเราทำความเพียรทุกๆ วัน สมาธิก็ย่อมเกิดขึ้น ปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้น
ในการที่จะต่อสู้กับกิเลส ซึ่งมีอยู่ภายในใจของเรา
กิเลสนั้นไม่ได้อยู่ที่ต้นไม้ วัตถุธาตุทั้งหลาย หรืออยู่ที่เพื่อนศาสนิกของเรา
อยู่ที่ใจของแต่ละบุคคลนี่แหละ กิเลสนั้นครอบงำจิตใจของเราอยู่
ถ้าจิตใจของเรานั้นตกเป็นทาสของกิเลส
ไม่ใช้สติปัญญาที่จะต่อสู้เอาชนะกิเลสภายในใจของเราแล้ว
เราก็เป็นผู้แพ้อยู่ร่ำไป เหมือนอยู่ในคุก เหมือนอยู่ในตะราง ที่คุมขัง
จิตใจของเรานั้นไม่เป็นอิสระ ไม่มีความสุข ไม่มีความสบาย
เพราะถูกกิเลสครอบงำจิตใจของเราอยู่
ขังจิตใจของเรานั้นให้อยู่ในแต่ละภพแต่ละภูมิ
เพราะฉะนั้นเราต้องใช้สติปัญญา ที่จะต่อสู้เอาชนะกิเลสให้ได้

บางครั้งเราประพฤติปฏิบัติ อยู่ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา
ถือเป็นมรรคคือทางดำเนินไป เพื่อที่จะละกิเลสภายในจิตใจของเรา
กิเลสก็มีอุบายปัญญาในการที่จะทำลายจิตใจของเรานั้น
ให้ท้อถอยในการประพฤติการปฏิบัติภาวนา
แต่ต้องมีสติเตือนใจของเราอยู่เสมอ
บางครั้งเราอาจจะรู้สึกขี้เกียจทำความเพียร
หรือท้อถอยในการกระทำความเพียรก็ตาม
ก็ให้มีสติสอนใจตัวเราเองอยู่เสมอว่า
ถ้าเรามีกำลังขึ้นมาเมื่อไหร่ พักผ่อนทางร่างกายเพียงพอแล้ว
เราก็จะประพฤติปฏิบัติภาวนา ต่อสู้กับกิเลสต่อไป
ไม่ใช่ว่าให้กิเลสนั้นทำลายจิต ใจของเรา
เหมือนกับนักมวย ถ้าถูกเขาชกทีนึง เราต้องชกคืนสามที ถึงจะเอาชนะศัตรูได้
กิเลสก็เหมือนกัน บางครั้งวันนี้เราแพ้กิเลส
แต่ให้เรามีสติมีปัญญา หักห้ามกิเลสภายในจิตใจของเราว่า
เราจะชนะกิเลสให้ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าถูกกิเลสชกเราอยู่เรื่อย หรือเอาชนะจิตใจของเราอยู่เรื่อย
จิตใจของเรานั้นไม่มีกำลังที่จะต่อสู้กับกิเลส ถูกกิเลสชกอยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นการประพฤติการปฏิบัตินั้น
ต้องมีความมุ่งหวังจริงๆ มีความตั้งใจจริงๆ
ในการที่จะเอาชนะความโลภ ความโกรธ ราคะ ความกำหนัดยินดี
ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่างๆ ให้ออกไปจากจิตใจของเรา
พวกเราทุกคนก็ได้ยินได้ฟังกันมามากพอแล้ว
เหลือแต่การที่จะพยายามพัฒนาจิตใจของเรานั้น
ให้มีความอดทน ให้มีความเข้มแข็งภายในใจของเรา
ให้มีสติเกิดขึ้น ด้วยการทำสมาธิอยู่เสมอๆ
ถ้าเราทำสมาธิ ทำความเพียรทุกๆ วัน โดยไม่ท้อถอย
สมาธิคือความตั้งใจมั่นของจิต ย่อมจะเกิดขึ้น ไม่มากก็น้อย
ถ้าเราทำความเพียรยิ่งๆ ขึ้นไป สมาธิก็ยิ่งเกิดขึ้น สติก็ตั้งมั่นขึ้น
เมื่อสติตั้งมั่นขึ้น สติก็เห็นจิต เห็นอาการของจิต
หรือเห็นอารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายในจิตใจของเราอยู่เสมอๆ
เมื่อเราเห็นอารมณ์ เห็นกิเลสภายในใจของเรา
เราจึงจะมีอุบายปัญญาในการที่จะทำลายกิเลสภายในจิตใจของเราได้


sathu2 sathu2 sathu2



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP