วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๓๑


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


 

อ๊าก จ้าวผงะ ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก หน้าอกเบ่งพองราวกับสูบลม เท้าทั้งสองบิดไปบิดมาไม่อาจทรงตัว กระทั่งมีเสียงดังฟุ่บ...ใบหน้าหนึ่งโผล่ออกมาจากอกจ้าว...

...เป็นใบหน้าที่ซีดเทา กระด้างดุจหน้ากาก และรอยแสยะยิ้มอย่างมีชัยของมัน ยิ่งทำให้น่าขยะแขยงว่าเดิมนับสิบเท่าตัว

จ้าวคุกเข่าลงกับพื้น ศีรษะที่ไร้ร่างก็หลุดจากหน้าอก เสียงหัวเราะแหบๆ ดังกึกก้อง

เหอ...เหอ...เหอ...

หัวของปิศาจหมอผีลอยเด่นกลางอากาศ เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปมา ตามด้วยเสียงสาธยายมนต์อันแกร่งกร้าว ดุดัน

ใบหน้าจ้าวบิดเบี้ยว เจ็บปวด ทรมานสุดแสน ส่วนที่เป็นหน้าอกยับเยิน ไม่ต่างจากเศษเนื้อแหลกเละ...อาภรณ์แดงกลายเป็นสีเทาแห้งๆ กฤตยาคมที่สั่งสอนให้สมุนเอก กลับย้อนมาทำร้ายตนเอง และหนำซ้ำ ความผิดพลาดครั้งนี้เกินแก้ไขแล้ว

 

 

มรรคาเอนร่างอยู่บนตักกนกรัศมี...ใบหน้างามของเทวนารีซีดสลด หยาดน้ำตารินไหลลงมากระทบแก้มชายหนุ่ม พันเกลียวยืนอยู่ไม่ห่างนัก สีหน้าห่วงใยจนไม่อาจซ่อนเร้น...แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป หล่อนรู้ดี...ตนเองไม่มีสิทธิ์

กะพ้อคุกเข่าด้านหลังกนกรัศมี น้ำตาไหลเต็มสองแก้ม ปากพร่ำร้องไม่ต่างจากคนเสียสติ

แม่นาง...ช่วยท่านทิชาเทพได้หรือไม่...แม่นาง...ช่วยท่านด้วยเถิด

แต่ทั้งสองกลับมิสนใจ บุคคลและสถานการณ์รอบกาย...นัยน์ตาของมรรคาจ้องเพียงใบหน้าอันคุ้นเคย...มือขอกนกรัศมีลูบไปบนแก้มเขาเบาๆ หยาดน้ำตาอุ่นระอุหลั่งไหล

ร้องไห้ทำไมน้องพี่ กล่าววาจาดั่งมีเพียงสองคนในโลก หรือว่าเป็นห่วงที่พี่ต้องเป็นทาสถึงหนึ่งกัป

ไม่มีคำตอบ เจ้าของตักตื้อตันจนไม่อาจขยับเขยื้อนริมฝีปาก

มรรคาหลับตา เขาแทบไม่สนใจอะไรอีก ระหว่างเขากับจ้าว ผลการต่อสู้จะเป็นอย่างไร ไม่ใส่ใจ และไม่เคยนึกเสียใจที่การหยุดมือของตนจะทำให้เกิดผลเช่นนี้

หากยังคิดว่ามีแพ้...ชนะ...เราเองก็ยังต้องเป็นหนึ่งในสองอย่างนั้นร่ำไป...

คำพูดหลวงปู่ใหญ่สะท้อนมาอีกครั้ง เขา เห็นจริง ตามท่านสอน และบัดนี้ เขาได้กระทำตามที่เขาเห็นจริงไปแล้ว...การต่อสู้...การแพ้ชนะ...ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วดับไป...ดังคลื่นทยอยซัดฝั่งแล้วจางหาย ไม่มีใครเก็บเกลียวคลื่นไว้ได้...สำหรับมรรคา เขาไม่มีความรู้สึกต้องการเอาชนะ หรือกลัวการพ่ายแพ้อีกแล้ว...

แต่กับปิศาจหมอผี...ยัง!

มันหัวเราะยินดีในชัยชนะของมัน...ยินดีที่มันเอาชนะ จ้าว ผู้เคยเป็นนายเหนือหัวของมันได้...บัดนี้มันกำลังท่องมนต์ สะกดนายมัน เป็นมนต์ที่นายสอนมันเอง

จ้าวรู้ดีว่าวาระสุดท้ายของตนใกล้จะมาถึง เขาพยายามยันกายขึ้น เบิ่งตามองอดีตลูกน้อง กัดฟันแน่น พูดด้วยเสียงลอดไรฟัน

ข้าไม่ได้ดูเอ็งผิดจริงๆ ไอ้ทรยศ

หัวที่ลอยเด่นกำลังขยายขนาดนั้น ร่างที่ถูกแขวนก็สะบัดหลุดออกมา ทั้งหัวและร่างผสานเป็นหนึ่งเดียว ร่างดำทะมึน ใหญ่โต กำลังหยิ่งผยองในชัยชนะของมัน

ใช่ ท่านดูข้าไม่ผิดหรอก ข้ามีใจออกห่างมานาน...แต่ข้าก็รอโอกาส...ที่จะสลัดหลุดจากท่าน และได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่แทน

 

 

แววตาของจ้าวเกิดความสมเพช และชั่วขณะนั้น เขานึกย้อนมองตัวเอง เขามีอะไรแตกต่างจากมัน?...ประกายปัญญาจุดสว่าง...เขาเคยคิดว่าตนเองเป็นผู้เก่งกล้า และไม่เคยคิดว่าตนเองทำอะไรผิด...เขาเผาบ้านได้สาสม แม้ไม่ได้ทำปิตุฆาตหรือมาตุฆาต แต่การกระทำใดๆ ต่อมาล้วนใช้อารมณ์ ความพอใจเป็นหลัก เขาจึงทำเรื่องเลวร้ายมิใช่น้อย...เขากำลังใช้กรรมโดยไม่รู้ว่าใช้กรรม...เขาโง่งมโดยที่คิดว่าตนเองฉลาด...และแล้ว จ้าวได้แต่ยิ้มเยาะตัวเอง

ตลอดเวลา... ปิศาจหมอผีพูดอย่างเข่นเขี้ยว ข้าต้องทนท่านมาตลอดเวลา...วิชาที่ท่านใช้หลอกให้ข้าลุ่มหลง จนไม่อาจไปจากท่านได้...ทำให้ข้าทั้งแค้นเคือง ทั้งยินดี ข้ารอเวลาที่เรียนวิชาของท่านให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้อยู่เหนือท่านบ้าง

มันยิ้มอย่างลำพอง

ท่านไม่รู้หรอกว่า อาคมที่ท่านกักข้าเมื่อตะกี้ มันเล็กน้อยนัก ข้าจะทะลวงเมื่อไรก็ได้...แต่ข้าจะรอให้ท่านขาดความระวังตัว...และลงมือคราเดียวให้ประสบชัย...

มันทำสำเร็จจริงๆ...เขาประมาทวิชาของมันเกินไป...จ้าวยอมรับ และหลับตารอวาระสุดท้าย

ในมือปิศาจหมอผีมีธนูเพลิงปรากฏขึ้นดอกหนึ่ง ร่างที่ลอยเด่นของมันดูราวกับเป็นอสูรร้ายแห่งสงคราม มือเงื้อลูกธนูขึ้นสุดหล้า ใบหน้าเชิดอย่างลำพอง ทระนง ก่อนจะขว้างลูกธนูสุดกำลัง...

ช่วยเขา มรรคาพูดเบาๆ กนกรัศมีพยักหน้า สะบัดมือออกไป...เงาขาวๆ ปลิวละอองลอยไปต้านรับลูกธนูดอกนั้น

...พรึ่บ...ลูกไฟสว่างและดับลงอย่างรวดเร็ว

ปิศาจหมอผีหันขวับ ตวาดเสียงกราดเกรี้ยว

ไอ้พวกโง่ เอ็งออมมือให้มันยังไม่พอ...ทำไมต้องช่วยมันด้วย

มรรคาขยับตัว มืออ่อนโยนของกนกรัศมีช่วยพยุง

ทาสจะช่วยนาย มีอันใดแปลกประหลาด แววตาชายหนุ่มมีประกายหยัน มีแต่ทาสเช่นเอ็ง ที่เรียนวิชาแล้วคิดล้างนาย

มันหัวเราะอย่างไม่แยแส ชี้หน้ามรรคาด้วยความดูหมิ่น

แต่ข้าก็ไม่ใช่เทพที่โง่เง่าเช่นเอ็ง...รู้ทั้งรู้ว่ามีแต่ทางแพ้ ก็ยังจะมาเปิดที่คุมขัง ปล่อยมันอีก

คราวนี้มรรคาเริ่มหัวเราะ เขาหัวเราะจนกระทั่งเลือดทะลักจากบาดแผล ย้อมอกเสื้อจนแดงฉาน

เอ็งรู้มั้ย ทำไมนายเอ็งถึงรู้ว่าเอ็งมีใจออกห่าง...รู้ไหมว่า ทำไมขอบเขตอำนาจของนายเอ็งถึงกว้างขึ้น และรู้ไหมว่าเหตุใดนายเอ็งถึงสามารถอาศัยเอ็งส่งภาพเขามาหาข้าได้

ผู้ที่คิดว่าอยู่เหนือกว่าชะงักงัน

เพราะอาคมของข้ากำลังเสื่อมลงทุกที มรรคาพูดเยาะๆ ไม่มีมนตราใดจะยั่งยืนไปได้หรอก ถึงข้าไม่มาเปิดที่คุมขัง...อีกไม่นานนัก จ้าวก็จะออกมาได้เอง

ชายหนุ่มยิ้มทั้งที่บาดแผลกำลังปริแตก ภายใต้วัฏสงสาร ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ ยั่งยืน อิทธิฤทธิ์ มนตรา ก็ไม่อยู่นอกเหนือกว่านั้น จงลำพองใจในอำนาจของเอ็งไปเถอะ...อีกไม่นานเจ้าจะได้รู้ว่าเหนืออิทธิ มนตรา คือกฎแห่งกรรม

ดี... มันตะโกนก้อง ถ้าเช่นนั้นพวกเอ็งจงตามไปอยู่ร่วมกับมันเถิด

ขาดคำ นัยน์ตาปิศาจหมอผีแดงวาบ พายุดพัดอู้ โหมเข้ามาอย่างรุนแรง...กนกรัศมีกวัดแกว่งมือ ปรากฏเป็นแสงสว่างสีขาวเรือง แผ่กระจายครอบคลุมชายหญิงทั้งสี่...มีแต่จ้าว ที่ได้รับแรงพายุไปเต็มๆ

มรรคาเอามือยันพื้น เบือนหน้ามองเจ้าของร่างที่เขาเอนพิง...ไม่มีคำพูด นอกจากแววตาที่สื่อความหมายออกมา...กนกรัศมีพยักหน้า รับรู้ความต้องการของชายคนรัก...หันไปมองพันเกลียวและกะพ้อ

ไปจัดการมัน ด้วยกันไหม ไม่มีคำตอบ...แต่ท่าทางการเตรียมพร้อมบอกชัด...หญิงทั้งสามจะร่วมรบร่วมถอยด้วยกัน

ศีรษะมรรคาถูกวางราบบนหญ้านุ่ม เกราะป้องกันเปิดออก กนกรัศมี พันเกลียว และกะพ้อ ฝ่าพายุร้ายเข้าหาร่างอันใหญ่ทะมึนของปิศาจหมอผี...การต่อสู้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง

 

 

ครืน...เปรี้ยง...เฟี้ยว สารพัดสิ่งบังเกิดขึ้นในวงต่อสู้ เมฆสีเทาต่างกระจัดกระจายจนไม่อาจรวมตัวติด สายฟ้าฟาดสู่ต้นไม้ใหญ่ แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น

ท่ามกลางความมัวซัว ละอองสีขาวละเอียดจากกนกรัศมี ประกายมีดสีเขียว และร่างกะพ้อโฉบเฉี่ยวฉวัดเฉวียนตีโต้โฉบฉวยกับปิศาจหมอผี...ธนูไฟนับร้อยกระจายจากร่างดำทะมึนออกต้านรับหญิงสาวทั้งสาม และเบื้องหลังฝูงปิศาจอีกนับพัน ลอยขึ้นจู่โจม ตีตลบ

พันเกลียวหันกลับมาต้านรับฝูงปิศาจสมุนหมอผี...คมมีดเขียวกรีดไปด้านใด ก็บังเกิดเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดตามมา...ทัพหน้าปิศาจร่วงหล่นราวใบไม้ แต่ฝูงปิศาจอีกจำนวนมหึมาก็หนุนเนื่องกันไม่ขาดสาย หญิงสาวใช้หนึ่งต้านรับนับพัน...แม้มีดอาคมจะทรงอานุภาพเยี่ยม แต่ก็หนักเกินแรงแล้ว

กนกรัศมีและกะพ้อต้านรับปิศาจหมอผีอย่างสุดฝืน วิชาของมันไม่ด้อยไปกว่าจ้าว...อำนาจเทพของกนกรัศมีใช่ว่าจะสูงส่งเทียบเท่าทิชาเทพหรือ ท่านพ่อพลังจึงจำกัด ส่วนกะพ้อก็มีแต่วิชาเดียวที่จ้าวเคยสอนให้เพื่อไปหลอกล่อหมอผีเมื่อครั้งโน้น...หากรวมกับพันเกลียวยังพอเป็นฝ่ายมีเปรียบ...ถ้ารับแค่สองคนก็เต็มกลืนทีเดียว

ประกายมีดส่องสว่างราวแสงดาวตก ความรวดเร็วยากจับตาได้ทัน...ยิ่งนาน พันเกลียวยิ่งตกเข้าไปอยู่กลางวงล้อมของปิศาจ ห่างจากกลุ่มของกนกรัศมีและกะพ้อออกมาไกล หญิงสาวเริ่มเหนื่อย...ไม่ใช่เหนื่อยกาย แต่จิตใจหนักอึ้ง รู้สึกเหมือนฝูงปิศาจเหล่านั้นจะไม่มีวันหมด ฟาดฟันเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

ใช้เตโชธาตุ เสียงกระซิบเบาๆ ดังในใจ...พันเกลียวจึงฉุกคิด เหลียวมองด้านล่าง มรรคากำลังลืมตามองมายังตน...แม้เขาจะไม่มีอำนาจพลังใด...แต่ที่นี่เป็นเขตอาคมของเขา การสื่อสารทางใจ ไม่ใช่เรื่องยากเย็น

หญิงสาวกัดฟัน กราดมีดเป็นวงกว้างขับไล่ฝูงปิศาจอีกชุด แล้วสำรวมจิตแยกเตโชธาตุ...

พรึบ...ไฟสีน้ำเงินลุกโชติช่วงจากพยับเมฆลงมาห้อมล้อมกองทัพปิศาจ เสียงร้องกรี๊ดๆ ดังเซ็งแซ่ พวกมันต่างหนีไฟกันจนไม่เป็นขบวน

กนกรัศมี...กะพ้อ...ถอยออกมา เสียงของมรรคาดังสะท้อนในใจทั้งสองคน

หญิงสาวทั้งสามรวมตัวกันอีกครั้ง ลูกไฟไล่ท่วมเจ้าฝูงปิศาจจนหมดไม่มีเหลือ มีบางส่วนกลายเป็นผงคลีปลิวตามลม...มรรคาพยายามทำใจให้สงบที่สุด ส่งความคิดไปยังหญิงสาวทั้งสาม

จัดขบวนใหม่ ล้อมมันไว้เป็นสามเส้า ชายหนุ่มกัดฟันเขม้นมองขึ้นไป พันเกลียวบุกก่อน จู่โจมด้านหลัง กนกรัศมีประกบด้านหน้าไว้ คอยต่อสู้พัวพัน ดึงความสนใจของมันมา...กะพ้อขยายร่างแปลงให้มาก ล้อมมันไว้ แบ่งส่วนหนึ่งใช้กวนสมาธิของมัน

 

 

มรรคารวบรวมกำลังที่เหลือออกบงการสู้รบ...เขารู้กำลัง ความสามารถของหญิงสาวทั้งสามดี รู้ข้อเด่น ข้อด้อย...อีกทั้งยังเป็นผู้ดูอยู่เบื้องนอก จึงมองเห็นรูปการณ์ได้กระจ่างกว่า...เขาจึงเสมือนกุนซือ ใช้ขุนศึกหญิงทั้งสามเป็นหมากในกระดาน ล้อมรอบและรุกไล่ปิศาจหมอผีอย่างแยบยล

สถานการณ์สู้รบเปลี่ยนไป เดิมทีเดียวการรวมกำลังทั้งสามเข้าต่อสู้ตรงๆ อาจจะไม่เห็นผลแตกหักรวดเร็ว แต่ภายใต้การสั่งการของมรรคา...รูปแบบการตีล้อมและใช้อาวุธเปลี่ยนแปรเกินหยั่งคาด อีกทั้งดึงความโดดเด่นของแต่ละคนออกมาใช้อย่างถูกจังหวะ ทำให้คู่ต่อสู้มือไม้ปั่นป่วน ไม่อาจใช้ความสามารถเต็มที่...ไม่นานนักมันก็ถูกผ้าแพรละอองขาวของกนกรัศมีพันธนาการ พร้อมโดนอำนาจมีดสยบ กลายเป็นเชลย...

เมื่อหญิงสาวทั้งสามลงมาพร้อมด้วยเชลยร่างใหญ่ มรรคายิ้มนิดๆ ใบหน้าซีดเผือด พูดเสียงแห้งๆ

กนกรัศมี อัญเชิญยมทูตมารับตัวมันให้พี่ที

แต่... ใบหน้าของเทวนารีมีความยุ่งยากใจ...ไม่ทันจะได้พูดอะไร ฉับพลันแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ท้องฟ้าปั่นป่วนดังมีมรสุมร้าย ลมหมุนม้วนตัวขึ้นสูงเป็นสี่สาย มรรคาเขม้นมองด้วยแววตาประหลาด...ไม่นาน...กึ่งกลางลมหมุนนั้น ก็ปรากฏแสงสีแดงส้มฉายเรืองออกมา จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ยมทูตมารับตัวมันแล้ว กนกรัศมีพึมพำเบาๆ ขยับร่างออกห่างปิศาจหมอผี...พันเกลียวและกะพ้อทำตาม

ใบหน้าอันซีดแห้งดังไม่มีชีวิตของมันบังเกิดความสะพรึงกลัวขึ้น นัยน์ตาเหลือกลาน ริมฝีปากสั่นเทา ลำแสงสีแดงส้มส่องจับร่างมัน และกระแสพลังอันรุนแรงก็ดึงดูดมันเข้าสู่กึ่งกลางลมหมุนทั้งสี่

ไม่...ข้าไม่ไป...ข้าไม่ไป... เสียงหวีดหวิวแหบโหยไม่ต่างจากเสียงเปรตแผ่วเบาลงๆๆ

มรรคาถอนใจเบาๆ กนกรัศมีเคลื่อนร่างเข้ามาใกล้ ละอองสีขาวจากร่างทำให้เขาชุ่มชื้นขึ้น...แต่ทว่า...

ทำไมยมทูตถึงยังไม่ไป พันเกลียวสงสัย ลมหมุนทั้งสี่เสมือนเสาหลักมหึมาที่ส่องแสงสว่าง หนักแน่นยิ่งกว่าภูผา ยากโยกคลอน...ขณะนี้ยิ่งดูสงบ ราวกับคอคอยอะไรบางอย่าง...กนกรัศมีก้มหน้าด้วยความอึดอัดใจ

ลำแสงสีแดงส้มส่องมาอีกครั้ง...คราวนี้เป้าหมายคือ กะพ้อ...

ทำไม มรรคาร้องถามอย่างตกใจ ใบหน้ามองเสาหลักแห่งความเที่ยงตรงด้วยแววตาวิงวอน

ไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากเสียงของกนกรัศมี

บุญและบาปของกะพ้อยังไม่ชี้ชัด...ตลอดเวลานางถูกผูกมัดอยู่ในอำนาจของจ้าว ทำให้ยมทูตยากจะจัดการ แต่บัดนี้นางเป็นอิสระแล้ว หากปล่อยไป นางจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน แสวงหาที่เกิดอย่างไร้จุดหมาย...สู้ให้นางไปเข้าพบท่านพญามัจจุราช เพื่อจะได้ใช้ตาชั่งความเป็นธรรมตัดสินว่านางควรไปเกิดที่ใด...จะไม่ดีกว่าหรือ

เสียงอธิบายเรียบใส แต่ใบหน้าและแววตาของมรรคายังคงมีความเป็นห่วงอาทร

...นี่คือสิ่งที่กนกรัศมีหนักใจ...

 

 

ข้าน้อยขอเพียงได้ติดตามท่านไปมิได้หรือ เสียงของกะพ้อละห้อยหา นัยน์ตาคู่สวยมีแววเศร้าสร้อยตัดพ้อเขาอยู่ไม่คลาย...

แล้วเธอจะติดตามเขาไปในฐานะอะไร คำถามจากพันเกลียวห้วนและตรง กะพ้อก้มหน้า ไม่มีคำตอบ

ถึงเขายอมให้เธอติดตามไปจริง...เธอจะทนเป็นคนที่สามได้หรือ...ยิ่งได้เห็นเขาอยู่กับคนรักอย่างมีความสุข เธอจะไม่ปวดร้าวเชียวหรือ

ยิ่งพูดวาจายิ่งรุนแรง เด็ดขาด เหมือนกับจะตอกย้ำเข้าไปในใจตนเองเช่นกัน...

มรรคาสบตากนกรัศมีด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย...ทั้งคู่ได้แต่นิ่งอั้น...

วัฏสงสารกว้างขวางนัก เสียงพันเกลียวอ่อนลง ไม่แน่ เมื่อเธอได้ไปเกิดใหม่ ลืมเลือนอดีตชาติ ตอนนั้น เธออาจได้พบคนที่เหมาะสม

กระแสพลังจากยมทูต ยังไม่ดึงดูดร่างกะพ้อ เหมือนดั่งจะยินยอมทอดเวลาให้หญิงสาวได้ยอมรับสภาพตน

กะพ้อก้มหน้าอยู่นาน จึงค่อยๆ เงยขึ้น พูดอย่างคนตัดสินใจได้...

ข้าน้อยควรไปจริงๆ หล่อนควรไป ไม่ใช่เพียงแค่เหตุผลของพันเกลียว แต่กะพ้อกลัวใจตัวเอง กลัวว่าสักวันหล่อนจะพ่ายต่ออำนาจฝ่ายต่ำ คิดแย่งทิชาเทพมาจากกนกรัศมี...และยามนั้น หล่อนจะสูญเสียกระทั่งความเมตตาที่ทิชาเทพเคยมีให้อย่างหมดสิ้น...

มรรคาหลับตาลงเมื่อมองเห็นกระแสดึงดูดพุ่งผ่านเข้ามา...และก่อนที่กระแสพลังนั้นจะผ่านไป เขาได้สัมผัสกับหยาดน้ำอุ่นๆ หล่นมากระทบแก้ม...ลาก่อนกระแสใจเขาส่งถึงกะพ้ออย่างอ่อนโยน

จบกันเสียที พันเกลียวมองหน้ากนกรัศมี คุณช่วยรักษาเขาได้ใช่มั้ย

ไม่มีอาการใดปรากฏบนใบหน้าเทวนารี หล่อนคุกเข่าลงข้างกายมรรคา มือลูบรอยแผลยาว ลึกตรงหน้าอกอย่างเบามือ เลือดยังโชกเต็มเสื้อ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจกับบาดแผลของตน ความเจ็บปวดกลายเป็นอาการชาซ่าน ประกอบกับมีเหตุการณ์ผันแปร จึงลืมเลือนตนเอง

ขณะนี้เขามองหาจ้าว...คิดว่า คงยังไม่โดนยมทูตนำตัวไป...

กรรมของข้ากระจ่างชัด ไม่ต้องรอให้ท่านพญามัจจุราชตัดสิน ผลของกรรมจะพาข้าไปเอง เสียงของจ้าวอยู่ใกล้ๆ แต่ตลอดเวลาการต่อสู้ ทั้งจ้าวและมรรคาต่างหมดแรง ไม่มีความสามารถขยับเขยื้อนกาย...โดยเฉพาะจ้าวโดนแรงพายุของปิศาจหมอผีเข้าเต็มๆ ยิ่งทำให้เรี่ยวแรงที่เหลือหมดไป

 

 

สภาพของจ้าวที่ทุกคนเห็นคือชายชรากำลังร่วงโรย คล้ายเปลือกไม้แก่ๆ ใกล้หลุดล่อนจากต้น ความงดงามที่เคยปรากฏสูญหายเสียสิ้น

ท่านเป็นอย่างไรบ้าง มรรคาถามโดยไม่สนใจอาการตนเอง

จ้าวยิ้มอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งร่างกลายเป็นสีเทาคล้ายขี้เถ้า ต้นไทรยักษ์กำลังร่วงโรย ใบไม้แห้งเหี่ยวหล่นลงมาช้าๆ ราวละอองฝน

ใกล้ถึงเวลาของข้าแล้ว จ้าวตอบ

กนกรัศมีจ้องมองจ้าวด้วยแววตาเคียดแค้น ชิงชัง พันเกลียวเข้าใจ...มรรคาต้องเป็นทาสของจ้าวหนึ่งกัป จะให้กนกรัศมีดีต่อจ้าวคงเป็นไปไม่ได้

ก่อนถึงวาระสุดท้าย ข้าอยากถามสักคำ จ้าวพูดแล้วจ้องตามรรคาเขม็ง เจ้าออมมือให้ข้าเพราะเหตุใด...หรือว่าเจ้าไม่ต้องการชนะ

คำพูดของจ้าวทำให้เทวนารีสะดุ้ง มองชายคนรักอย่างไม่เชื่อสายตา

มรรคาฝืนยิ้มพูดเบาๆ ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องแพ้ชนะเลย...ข้าเพียงคิดว่า หากข้ารั้งดาบเอาไว้ มันจะมีประโยชน์กว่าฟันดาบลงไป

ประโยชน์คำคำเดียวทำให้จ้าวเข้าใจอย่างลึกซึ้ง...เมื่อมรรคารั้งดาบไว้...ใครเล่าที่ได้ ประโยชน์ และประโยชน์ของจ้าวก็ไม่ใช่เพียงแค่ได้ชัยชนะ ได้มรรคามาเป็นทาส

จ้าว หลุดออกจากเงาอดีตได้เพราะการรั้งดาบของมรรคา...จ้าว ยอมรับ ความผิดพลาดของตนเองได้ เพราะดาบนั้นไม่ได้ฟันลงมา...การจะให้จ้าวยอมรับความผิด มันยากยิ่งกว่าให้จ้าวตายไปเสียอีก

รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าชราของจ้าว...

จำสัจจาของเจ้าได้หรือไม่ เสียงแหบพร่าถามแผ่วเบา...

ย่อมได้ มรรคาตอบหนักแน่น

หากข้อขอเปลี่ยน...จะได้หรือไม่ เสียงของจ้าวยิ่งเบาลง

มรรคาไม่มีคำตอบ...แต่ทั้งกนกรัศมีและพันเกลียวต่างตั้งใจฟังเต็มที่

ข้าไม่ต้องการ ทาส ข้าเพียงต้องการ สหาย คำพูดแม้เบา แต่หนักแน่น จริงใจ

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างเปิดเผย ข้ายินดีเป็นสหายท่าน...ไม่เพียงแค่หนึ่งกัป...แต่ตลอดไป...จนกว่าจะพ้นวัฏสงสาร...

สัญญา

ไม่คืนคำ

ร่างของจ้าวเปื่อยยุ่ยกลายเป็นผลคลีลอยตามลม...กิ่งไทรแห้งเปราะร่วงหล่นลงมายังโคนต้น รากไทรคล้ายละอองน้ำ ถูกลมเป่าก็แตกกระจายหายไป ต้นไทรมหายักษ์ผุกร่อนอย่างรวดเร็วและค่อยๆ ทลายกลายเป็นกองดินใหญ่กองหนึ่ง ลมแรงกรรโชกมาหอบหนึ่ง ผงคลี ฝุ่นดิน ปลิดปลิว กระจัดกระจาย

 

 

กนกรัศมีก้มลงมองมรรคา ปลายนิ้วเขี่ยแก้มสากๆ ที่ซีดเซียวด้วยความนุ่มนวล ประกายตาระยิบระยับแฝงความยินดี ประโยชน์ที่มรรคากล่าวแก่จ้าว แท้ที่จริง...ใช่ว่าจ้าวจะได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว...กระทั่งมรรคาก็ย่อมได้ประโยชน์เช่นกัน...ทว่า...การรั้งดาบครั้งนี้ เป็นการเสี่ยงเกินไปจริงๆ หรือไม่

กลับไปเถอะพันเกลียว มรรคากล่าวกับหญิงสาว

แต่... ท่าทางหล่อนยังมีความเป็นห่วง

ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง แววตาของชายหนุ่มบอกถึงความรู้สึก สำนึกจากส่วนลึกของจิตใจ

แล้วคุณจะไม่กลับไป...แล้วเธอจะไม่ช่วยคุณหรือ เป็นครั้งแรกที่พันเกลียวพูดเสียงติดจะสั่นๆ

กนกรัศมีสบตาชายคนรักด้วยแววหวาน มือเรียวบางกุมมือใหญ่หนาอย่างมั่นคง

ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ หล่อนหันมาพูดกับพันเกลียวด้วยเสียงใสเสนาะ

แต่... พันเกลียวพูดอะไรไม่ออกแล้ว

มรรคานอนราบ ศีรษะหนุนระหว่างตักและอ้อมอกของกนกรัศมี มือทั้งสองกุมกันแน่น นัยน์ตาที่มองต่อกันสื่อความหมายชัดเจน...หากอยู่ จะอยู่ร่วมกัน...หากตาย จะไม่ทิ้งกัน

พันเกลียวข่มจิตใจ กัดริมฝีปากแน่น พูดสั้นๆ

ลาก่อน หล่อนหันหลัง ตั้งสติ กำหนดจิตกลับสู่ร่าง เบื้องหลังยังแว่วเสียงตอบรับ

ลาก่อน...ลาก่อน...

จนบัดนี้พันเกลียวจึงเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้...เหตุผลที่หล่อนมี สัญญา กับกะพ้อ...ไม่ใช่เพราะน้ำใจ แต่เพราะ หัวใจ...หล่อนหลงรักทิชาเทพเช่นกัน หลงรักทั้งๆ ที่ไม่เคยพบพาน ไม่เคยเห็นหน้า...รักเพียงเพราะแค่ได้ยินคำกล่าวสรรเสริญ คุณงามความดี และความมีน้ำใจของเขาเท่านั้น...

กระทั่งบัดนี้ ภาพของทั้งสองยืนยันประจักษ์ ต่อให้หล่อนรักมากกว่านี้ ก็ไม่มีประโยชน์ใด...กับกะพ้อเขายังมีความเมตตาสงสารให้...แต่กับหล่อน...เขาเห็นเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง...

ขณะกายทิพย์จะแล่นคืนสู่ร่าง พันเกลียวรู้สึกว่า...น้ำตา...กำลังไหลลงมาช้าๆ...

 

 

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP