วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๓๐


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


 

เอาละ เวลานี้ข้าพร้อมแล้ว...ท่านเทพ...ข้าอยากเห็นว่า ท่านจะเอาชนะข้าอย่างไร

จ้าวยืนโดดเด่น สง่า สีแดงของอาภรณ์คลุมร่างยิ่งขับให้เห็นความทระนงและร้อนแรง ประกายตาที่มองมรรคานอกจากจะเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังแล้ว ยังดูไม่ต่างผู้ใหญ่มองเด็กน้อยกำลังเล่นกล

มรรคาปล่อยตัวตามสบาย มือไขว้หลัง เดินอ้อมตัวจ้าวไปก้มมองศีรษะของปิศาจหมอผี...

ปิศาจตนนี้เป็นสมุนที่ซื่อสัตย์ของเจ้า แต่เจ้ากลับทำกับมันเช่นนี้ได้ เขาพูดเหมือนเห็นเป็นเรื่องสำคัญ

จ้าวปรายตาอย่างไม่แยแส

ไอ้หมอผีนี่ มันเพียงคิดจะเรียนวิชาจากข้าเท่านั้น มันไม่เคยมีความจริงใจให้ข้าเลย ข้าก็เลยใช้ วิชา เป็นตัวล่อหลอกให้มันหลงเป็นทาสข้า...มันคิดว่าข้าไม่รู้กระมังว่ามันมีใจออกห่าง ไม่ต้องการให้ข้าหลุดจากที่คุมขัง ข้ารู้ทั้งนั้น เพียงแต่ข้าจำต้องใช้มัน จึงแสร้งทำเป็นไม่สามารถรับรู้เรื่องภายนอกได้

มรรคาหันไปมองกะพ้อ

ไปเสีย เขาพูดสั้นๆ วิญญาณกะพ้อเป็นอิสระแล้ว สามารถไปเกิดที่ใดก็ได้ตามแต่กรรมจะชักนำ

ข้าน้อย เสียงพูดลังเล ก่อนตัดสินใจเด็ดขาด ข้าน้อยจะช่วยท่าน

ใบหน้ามรรคาไม่แสดงความรู้สึก

เจ้าอยู่ก็ช่วยข้าไม่ได้ จงไปแสวงหาที่เกิดตามบุญกรรมของเจ้าเถิด...ที่นี่จะมีข้ากับจ้าวเท่านั้น

ไฉนพี่ลืมเลือนข้าได้ เสียงดังแต่ไกล ฝูงปิศาจแยกเป็นทาง รัศมีสีเขียวของมีดอาคมกรีดเป็นเส้นนำร่อง ก่อนกายทิพย์ของสตรีทั้งสองจะพุ่งวาบดุจดาวตก

ทิชาเทพ ท่านช่างมีวาสนานัก หญิงงามมากมายต่างทุ่มเทกายใจ พร้อมจะช่วยท่าน

จ้าวเยาะหยัน แล้วทะยานร่างขึ้นสูง สะบัดชายผ้าแพรไปด้านหน้า เสียงดังพรึบ...ม่านบางๆ สีแดงระเรื่อเข้ากั้นกลางระหว่างผู้มาใหม่และบริเวณต้นไทร

มรรคายืนอยู่หน้าม่าน มองเห็นปีกแก้วและพันเกลียวเพิ่งลงมาถึง...

กนกรัศมี มรรคาพูดเสียงหนัก เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามาช่วยพี่

นัยน์ตาเขาแฝงความเด็ดเดี่ยว

พันเกลียว ขอบคุณมากที่มา แต่ไม่จำเป็น ฝากดูแลกะพ้อด้วย พูดจบ เขาเห็นกะพ้อกำลังยืนอย่างมั่นคง ไม่ห่างจากเขานัก แววตาหล่อนไม่เหลือรอยเศร้าสร้อยอาดูร จะมีเพียงความกร้าวแกร่ง ไม่ยอมแพ้

ผู้หญิง เมื่อถึงที่สุด ก็สามารถแสดงพลังแฝงเร้นที่ผู้ชายนึกไม่ถึงได้เสมอ...

มรรคาไม่สามารถขัดเจตนาของผู้หญิงทั้งสามได้

ท่านแพ้แล้วกระมัง ทิชาเทพ จ้าวส่งเสียงมาจากโคนต้นไทร ปิศาจที่ถูกขังมาเนิ่นนานกลับมีความเยือกเย็น แต่กลับเป็นความสงบที่น่าสะพรึงกลัว ยิ่งกว่าแสดงอาการกราดเกรี้ยวเสียอีก

เราเริ่มกันดีกว่ากระมัง มรรคาก้าวเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย

ไม่มีใครรู้ว่า คนที่ไร้อำนาจปาฏิหาริย์จะเอาชนะจอมปิศาจอย่างไร


 

เมื่อหลุดเข้าสู่เขตต้นไทร มรรคาพบว่าลำต้นมันขยายใหญ่กว่าเดิมนับร้อยๆ เท่า รากไทรแต่ละเส้นมีขนาดเท่าซุงอายุร้อยปี มันลอยเหนือหัวเขานับสิบเมตร กวัดแกว่งไปมา เหมือนจะหลุดได้ทุกเมื่อ

จ้าวยืนตระหง่านบนกิ่งไทร สีแดงเพลิงโดดเด่น เห็นชัดแต่ไกล พายุหมุนกรูเกรียวเข้าหามรรคา ไล่เลี่ยกับใบไม้เรียวเล็กแต่แหลมคม พุ่งเข้ามาดังมีชีวิต

มรรคาไม่หลบ ร่างทั้งร่างเสมือนซากศพไร้ชีวิต ลมทั้งหอบทำได้เพียงให้ชายเสื้อเขาปลิวสะบัด เส้นผมกระจุยกระจาย ยามเผชิญใบไม้แหลม เขาเพียงเอื้อมมือไปจับใบไม้ใบแรกด้วยจิตใจมั่นคง

ใบไม้ เขาพูดสั้นๆ ใบไม้อาวุธที่เหลือต่างหล่นกราว

มรรคามองจ้าว มุมปากมีรอยยิ้มขันๆ

ใบไม้เสก...ของเด็กเล่น แค่ใจรู้ว่ามันเป็นอะไร...อาคมนั่นก็ไร้สาระ แล้วเขาพูดช้าๆ เน้นคำ อยากรู้จักอาคมที่เหนือชั้นกว่านี้ไหม

เขาทิ้งใบไม้ในมือ ท่องข้อความสั้นๆ ขึ้นมาท่อนหนึ่ง...ใบหน้าจ้าวผิดปกติชั่วแวบ มรรคาจัดพิรุธทัน เขาจึงสาธยายข้อความอันยืดยาวออกมาจนหมด

ยิ่งฟัง ใบหน้าจ้าวยิ่งผิดปกติลงเรื่อยๆ

ทั้งหมดที่มรรคาท่องออกมาคือคัมภีร์พระเวทที่เจ้าเคยร่ำเรียนมาตั้งแต่สมัยเป็นมนุษย์ ท่องเจนจบตั้งแต่อายุยังน้อย สามารถสำแดงฤทธิ์ได้ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ

จบจากคัมภีร์พระเวท มรรคาต่อด้วยวิชาอันเร้นลับของตระกูลจ้าว...เป็นวิชาที่สืบทอดมาเฉพาะทายาทเท่านั้น แม้สิ่งที่เขาสาธยายจะไม่ปรากฏผลทางปาฏิหาริย์ใดๆ แต่มันก็ทำให้จ้าวตะลึง และยิ่งไปกว่านั้น จิตใจจ้าวว้าวุ่นไปแล้ว...

ในหลักการยุทธ...หากจะจู่โจมศัตรู...ต้องจู่โจมจิตใจก่อน...

มรรคาทำสำเร็จหรือไม่...

ไม่แน่...เพราะขณะนั้น ใบหน้าอันขาวโพลนของจ้าว กลับกลายเป็นสีเขียวเข้ม ความอำมหิตแผ่กระจายกล้า ร่างทั้งร่างขยายใหญ่ขึ้น ผิวกายเป็นสีน้ำตาลแก่ อาภรณ์ดำ ใบหน้าบิดเบี้ยวแทบไม่เป็นรูป ความงดงามราวเทพบุตรเลือนหายกลายร่างเป็นอสูรร้าย

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง

สายฟ้าฟาดลงรอบร่างมรรคา และมันกระโจนลงมาดั่งค้างคาวตัวมหึมา

ชั่วเวลาเดียวกัน ด้านหลังมรรคาก็บังเกิดเสียงดังเปรียะ เปรียะ เปรียะ...ม่านอาคมของจ้าวถูกทำลายด้วย พลังของกนกรัศมี และรังสีมีดอาคม

ร่างลอยขึ้นสูงฝ่ารอยแยกม่านอาคม...ใบหน้าและเรือนร่างของปีกแก้วเปลี่ยนไป กลายเป็นสตรีที่งามเลอเลิศ ทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีสีเหลืองทองพุ่งทะยานเข้าปะทะกับจ้าว

บรึ้ม เสียงดังเลื่อนลั่นเมื่อพลังสองชนิดปะทะกัน เทวนารีผู้งดงามยังลอยเด่น จ้าวเงยหน้ามองอย่างเข่นเขี้ยว ผละความสนใจจากมรรคาแล้วทะยานร่างขึ้นต่อสู้กับผู้มาจากสรวงสวรรค์

พันเกลียวและกะพ้อกำหนดจิตขึ้นไปช่วยเหลือ การต่อกรระหว่างสามสตรีกับหนึ่งจอมปิศาจอุบัติขึ้น

จ้าวแปลงร่างใหญ่โต แขนผุดขึ้นมานับสิบๆ ข้าง มือถืออาวุธต่างชนิดเข้าโรมรันหนึ่งต่อสาม โดยไม่มีทีท่าจะเสียเปรียบ...

แสงสีวูบวาบจากฤทธิ์เทวนารี รังสีมีดเขียวกระจ่างตวัดฉวัดเฉวียนและเงาร่างนับสิบๆ ที่คอยจู่โจมหลอกล่อของกะพ้อ ทำให้การต่อสู้สับสนชวนลายตา...ในมือกนกรัศมีคล้ายจะมีชายผ้าสีขาวเป็นละออง ตวัดไปมาจนละลานตา คอยสกัดกั้นอาวุธจากมือนับสิบๆ ของจ้าว ส่วนมีดอันทรงฤทธิ์ของพันเกลียวเป็นฝ่ายบุกจู่โจมตรงๆ หวังผลแพ้ชนะ ด้านกะพ้อก็คอยแปลงร่างออกรายล้อมวงต่อสู้ คอยหาช่องว่างตีโต้ จู่โจมจ้าว...

การต่อสู้ดุเดือด เร่งร้อน...แต่ทว่ามรรคาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เขาเดินช้าๆ ออกมาจากใต้ต้นไทร ผ่านเศษเดนปิศาจที่หลงเหลืออย่างไม่แยแส หักกิ่งไม้ขนาดเหมาะมือมาได้ท่อนหนึ่ง จากนั้นปักปลายไม้ นั่งลง พร้อมกับหลับตา

กนกรัศมี พันเกลียว และกะพ้อใช่ว่าจะชนะจ้าวได้ง่ายๆ แต่จ้าวก็มิอาจพิชิตสตรีทั้งสามได้อย่างรวดเร็ว การต่อสู้ดุเดือด ยืดเยื้อ...มรรคารอจนเสียงการต่อสู้ซาลงจึงตะโกนก้อง...

หยุด เขาเลือกจังหวะถูก คู่ต่อสู้ทั้งสี่ผละห่างจากกัน จ้าวถอยไปตั้งหลักบนยอดไทร หญิงทั้งสามหยุดยืนเบื้องหลังเขา

ขอบใจทุกคนที่ช่วยเหลือข้า เขาพูดเสียงหนักๆ โดยไม่ยอมหันกลับ แต่ขอถามสักคำว่าถ้าพวกเจ้าเอาชนะจ้าวได้...แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร...ในเมื่อคู่สัจจาคือข้า

ไม่มีคำตอบ

กนกรัศมี เขาเรียก มีเสียงขานรับเบาๆ พันเกลียว กะพ้อ เขาพูดต่อ ไม่รอฟังคำขานรับ นับจากนี้จงอยู่เฉยๆ ห้ามช่วยเหลือข้าเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...

คำสั่งเด็ดขาด...หนักแน่น

นัยน์ตางดงามของเทวนารีคล้ายจะมีความกังวลใจอย่างหนักหน่วง แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมก้มหน้ารับ...ไม่อาจโต้เถียง

มรรคาเงยหน้ามองยอดไทร พูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง

ลงมาเถอะ...จ้าว...ไม่มีการต่อสู้ใดๆ อีกแล้ว เขาหยุดไปชั่วครู่ ข้ายอมแพ้

เหมือนฟ้าผ่ากลางความรู้สึก...ไม่เพียงแต่หญิงสาวทั้งสามจะเบิกตากว้างอย่างตะลึงงัน กระทั่งจ้าวก็มีสีหน้าไม่เชื่อถือ...ร่างอสุรกายโฉบลงมา ย่อขนาดเท่าคนธรรมดา

เจ้าพูดจริงหรือ ที่บอกว่ายอมแพ้ข้า จ้าวถามอย่างลังเลยามยืนประจันหน้า

ต้องให้ข้าย้ำอีกกี่คำ มรรคาพูดราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าเห็นการต่อสู้เมื่อครู่แล้ว ก็ยอมรับว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ จึงต้องยอมแพ้ ดีกว่าดันทุรังเป็นคนดื้อด้าน

นัยน์ตาโตเบิกโพลงของจ้าว กลอกไปมาด้วยความสงสัย

เจ้าสามารถท่องคัมภีร์พระเวทได้ สามารถรู้ทุกสรรพวิชาของข้า กระทั่งยังรู้อดีตชาติของข้า ทำไมถึงมายอมแพ้ข้าง่ายๆ

มรรคาไม่ตอบ ใบหน้ามีเพียงรอยยิ้มที่ไม่มีใครหยั่งคาด

เจ้าจำเพลงดาบที่เคยร่ำเรียนสมัยเป็นมนุษย์ได้หรือไม่ ชายหนุ่มพูด เจ้าคิดว่าจะใช้เพลงดาบนั่นประลองกับข้าได้หรือไม่

ใบหน้าอสุรกายนิ่งไปนาน ความคั่งแค้นถูกระบายในการต่อสู้เมื่อครู่ ทำให้จิตใจเริ่มเย็นลง

เจ้าคิดจะใช้การประลองด้วยเพลงดาบ เป็นการตัดสินผลแพ้ชนะ จ้าวคลางแคลงใจ

ในเมื่อข้าบอกว่ายอมแพ้ ก็ไม่มีคำพูดต้องกล่าวอีก การประลองก็คือการประลอง ผลจะเป็นอย่างไร ข้าล้วนไม่ใส่ใจ แพ้หรือชนะ เป็นเพียงแค่คำพูด...ถ้ายังคิดว่ามีแพ้ มีชนะ เจ้าก็ยังต้องเป็นหนึ่งในสองนั่นอยู่ร่ำไป

จ้าวอึ้ง ห้วงสมองตกอยู่ในความครุ่นคิด ใบหน้าอสุรกายค่อยคลายลง กลายเป็นชายรูปงามดังเดิม แต่ถึงกระนั้นสีหน้าและแววตา ไม่ได้บอกว่ามีความยินดีในชัยชนะแม้แต่น้อย

มรรคาทวนคำของหลวงปู่ใหญ่ ที่เคยบอกแก่ทิชาเทพเมื่อนานมาแล้ว แม้เขายังไม่อาจเข้าถึงแก่นของมัน แต่ก็สามารถนำมาใช้กับจ้าวได้ถูกจังหวะ

ผู้ชนะยังไม่เข้าใจ...ชัยชนะที่ได้มาง่ายดายเกินไปเช่นนี้ ไม่ผิดจากการน้าวคันธนูเต็มแรง แล้วไม่ได้ยิงลูกศรออกมา จึงทำให้รู้สึกอึดอัดใจ ยิ่งสับสน

เจ้าลืมเพลงดาบนั่นแล้วหรือไร มรรคากระตุ้นจ้าวให้ตื่นจากความคิด

เอาสิ ใบหน้าที่ได้รูปเงยขึ้นมาตอบง่ายๆ ในมือปรากฏดาบยาวเล่มหนึ่ง...มรรคาดึงกิ่งไม้ที่ปักอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา

เจ้าดูถูกข้าเกินไปกระมัง จ้าวมองกิ่งไม้ มีทีท่าไม่ต้องการเอาเปรียบ

ลงมือเถอะ ชายหนุ่มพูดพร้อมจู่โจมก่อน


 

ในคืนสุดท้ายก่อนออกจากวัด มรรคาถามถึงอดีตชาติของจ้าวจากหลวงพ่ออย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลีกย่อย เช่นคัมภีร์พระเวท หรือเพลงดาบ เขาก็ซักถามจนเข้าใจ...ชีวิตที่อยู่มายาวนานบนสรวงสวรรค์ ทำให้มองเห็น วิชา ต่างๆ ของมนุษย์เป็นเพียงของเด็กเล่น การที่เขาท่องคัมภีร์พระเวท หรือวิชาลับประจำตระกูลของจ้าวได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น...ความทรงจำของทิชาเทพแจ่มชัดแน่นอนไม่ผิดเพี้ยน...หรือกระทั่งวิชาดาบเหล่านี้เขาก็ร่ายรำได้ไม่ผิดจากของเดิม แต่ถ้าจะให้เขาแสดงอำนาจ หรือกฤตยามนต์ใดๆ เขาย่อมไม่สามารถทำได้ มันคือขอบเขตที่กำหนดไว้ด้วยสัจจา

การต่อสู้ด้วยดาบยาวและไม้เนื้อแข็ง ดำเนินอย่างรวดเร็ว งดงาม ดูเหมือนศิลปะมากกว่าการหักโหมเอาชีวิต ทั้งสอง หนึ่งรุก หนึ่งรับ สอดประสานกันอย่างดีเยี่ยม จนกระทั่งถึงกลางคัน มรรคาเปลี่ยนท่วงท่าเป็นการจู่โจมที่ดุดัน อำมหิต จ้าวตั้งรับอย่างหนักแรง สีหน้าว้าวุ่น ขาดสติ ที่สุดดาบยาวก็ถูกกิ่งไม้ปัดจนหลุดจากมือ

จ้าวยืนแข็งค้าง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามมรรคาว่าเหตุใดถึงมีการชวนประลองเช่นนี้...เพราะคำตอบเด่นชัดอยู่กลางใจ

จ้าวเคยแพ้ด้วยลักษณะนี้มาแล้ว เป็นการพ่ายแพ้ที่ทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของจ้าว พลิกผันสุดคะเน

นับจากวันที่จ้าวหันหลังให้วงศ์ตระกูล ใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะกับนรดี...นางผู้เป็นที่รัก...สรรพวิชาต่างๆ ล้วนทอดทิ้งไม่ฝึกฝน มีชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา

อนิจจา...ชีวิตผาสุก ตั้งอยู่ได้ไม่นาน มารร้ายก็เข้ามาคุกคามโดยไม่ทันระวังตัว

กลุ่มโจรป่าบุกเข้ามาปล้นชิงถึงบ้าน จ้าวสู้รบจนสุดกำลัง สังหารโจรนับสิบๆ แต่พอถึงหัวหน้าโจร จ้าวกลับพ่ายแพ้เพลงดาบของมัน เพลงดาบนั้นไม่ต่างจากที่มรรคาใช้

ความพ่ายแพ้ของจ้าว ไม่เพียงทำให้ทรัพย์สินวอดวายเท่านั้น กระทั่งสตรีอันเป็นที่รักยิ่ง ก็ยังถูกย่ำยีต่อหน้า ความแค้นสุมอก แทบทำให้หยาดเหงื่อและน้ำตากลายเป็นสายเลือด

เมื่อเหล่าโจรผละจากไป ทิ้งสองซากชีวิตให้อยู่เคียงกัน...นรดียันกายอย่างบอบช้ำขึ้นมาแก้มัดให้จ้าว

นัยน์ตาสองคู่สบกัน ความชอกช้ำ ปวดร้าว ถ่ายทอดด้วยแววตาและสายเลือด...

ท่านจำสัญญาที่เคยให้ไว้กับข้าน้อย ในวันเข้าหอได้หรือไม่ จู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้น

ได้สิ จ้าวตอบด้วยความเจ็บช้ำ มองร่างนางด้วยดวงตาเอ่อคลอ...บุปผาดอกงามถูกย่ำยีจนยับเยินด้วยมือโจรร้ายอย่างไม่มีชิ้นดี

ไม่ว่าข้าน้อยจะขอสิ่งใด ท่านจะยินยอมทำตามทั้งสิ้น

แน่นอน

ข้าขอร้อง...ให้ท่านฆ่าข้าเสีย...

จ้าวอึ้ง...ชะงัก...มือที่สัมผัสหญิงสาวเกร็งค้าง...ริมฝีปากไม่อาจขยับเขยื้อน

ข้าไม่ใช่หญิงผัวเดียวอีกต่อไปแล้ว พวกมันทำลายศักดิ์ศรีข้าเสียสิ้น มีแต่ความตาย จึงช่วยชะล้างให้ข้าได้

จ้าวส่ายหน้า พูดอะไรไม่ออก จะให้เขาฆ่าคนรักกับมือ ย่อมไม่อาจทำได้

หากท่านไม่ทำ ข้าน้อยก็ต้องฆ่าตัวตายเอง และข้าน้อยจะถือว่าท่านไม่รักษาสัญญา...

สัญญา...คำนี้ช่างเจ็บปวดนัก...และเป็นคำที่มรรคานำมาใช้จี้ใจจ้าว เพื่อให้ปลดตรวนอาคมแก่กะพ้อ...

น้ำตาไหลรินลงมาช้าๆ ผ่านใบหน้าอันคมคายของจ้าว...คำพูด...ไม่สามารถเล็ดลอดออกมาแม้สักคำ

เวลานี้ข้าหวังเพียง...ได้ตายด้วยมือของชายที่ข้ารักมากที่สุด...ท่านให้ข้าได้หรือไม่...

จ้าวหลับตาแน่น ขบริมฝีปาก กลั้นเสียงสะอื้น มือโอบร่างนางมากอดแนบอก...กอดจนร่างแทบจะผสานเป็นเนื้อเดียวกัน

การฆ่าสตรีที่รักยิ่ง มันเจ็บปวดปานใด...มีผู้ใดทราบ...บัดนี้ จ้าวซาบซึ้งกับมันดี...ไม่มีความรวดร้าวใด ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว...

นางตายด้วยมือเขา...หลังจากเขาวิงวอนร้องขอนาง...แต่นรดีช่างมีใจเด็ดเดี่ยวนัก...เขาต้องเลือก ให้นางเจ็บปวดครั้งเดียวด้วยความตาย หรือฝืนให้นางอยู่อย่างขมขื่นไปชั่วชีวิต...

เขาเลือกอย่างแรก โดยยอมเป็นฝ่ายเจ็บปวดเสียเอง แล้วหยิบยื่นความตายให้นาง...ความตาย เป็นความทุกข์ทรมานเพียงชั่ววูบเดียว แต่คนที่อยู่ข้างหลังกลับต้องตรมตรอม หมองไหม้ชั่วชีวิต

ยามที่จ้าวฟื้นฟูวิชาของตนจนแกร่งกล้า กลับไปแก้แค้นเหล่ามหาโจร...จ้าวก็ได้รับรู้ความจริงอันน่าบอบช้ำอีกข้อหนึ่ง...

ผู้ที่สั่งให้พวกโจรบุกไปปล้นชิง และข่มขืนนางนรดี คือประมุขของตระกูลจ้าว...มีจุดประสงค์เพื่อให้จ้าวคืนสู่ตระกูลดังเดิม...เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลสืบไป

จ้าวกลับสู่ตระกูลจริงๆ แต่กลับไปเพื่อทวงถามความยุติธรรมแก่หญิงคนรัก...และเมื่อไม่ได้รับการแยแสต่อชีวิตอันบริสุทธิ์ เขาจึงเผาบ้านช่อง รากฐานของตระกูลจนหมดสิ้น ทำให้ตระกูลพราหมณ์ที่มีชื่อเสียงของตน ต้องถูกลบเลือนเพียงชั่วคืน

จากนั้นจ้าวก็หายสาบสูญ เข้าไปอยู่ป่า ใช้ชีวิตไม่ผิดกับคนพเนจร กระทำทุกอย่างตามความพอใจ มีทั้งเรื่องที่ดีงามและเลวทราม บางคราก็มีอาการคลุ้มคลั่งไม่ผิดจากคนบ้า บางคราก็ท่องบ่นสรรพเวทด้วยความชำนาญ กระทั่งถึงเวลาสิ้นอายุขัย กรรมส่งให้มาเกิดเป็นปิศาจสองภาค สิงสถิตอยู่ที่ต้นไทร...มีอำนาจฤทธิ์เดชจาก วิชาในชาติก่อน และต้องเสวยผลกรรมชั่วของตนควบคู่กันไป...จนกระทั่งหมอผีประจำหมู่บ้าน สามารถติดต่อสื่อสารกับจ้าวได้...จ้าวจึงกลายเป็น เทพเจ้า ตามที่หมอผีอวดอ้างไป...

ขณะที่ทุกคนให้ความสนใจต่อจ้าวที่ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้...ศีรษะที่ถูกตรึงของปิศาจหมอผี ก็เริ่มมีอาการผิดแปลกและร่างที่แขวนอยู่ระหว่างกิ่งไทรก็ทอดนิ่งคล้ายศพตายซาก...ไม่มีใครสังเกต ไม่มีใครสนใจ

จ้าวเงยหน้าขึ้นช้าๆ นัยน์ตาแดงซ่านด้วยสีเลือด

เจ้าชนะข้า เสียงจ้าวเน้นหนัก เชื่องช้า

ไม่ มรรคาโยนไม้ในมือทิ้งไป ข้าบอกแต่แรกว่ายอมแพ้

หรือเจ้ายอมเป็นทาสข้าตลอดหนึ่งกัปจริงๆ

มรรคาไม่ตอบ แต่จ้าวกลับยืดกายเต็มร่าง ความหยิ่งผยองในศักดิ์แห่งตนระอุกรุ่น นัยน์ตาวาววับมองดาบในมือ...ความทรงจำชาติก่อนแล่นพล่าน ศักดิ์ศรีถูกปลุกขึ้นมา

ในเมื่อเจ้าไม่อาจใช้อิทธิใดๆ หรือเจ้าคิดว่าปิศาจเช่นข้าจะฉวยโอกาสเอาชนะเจ้าง่ายๆ...เจ้าหมิ่นศักดิ์ของข้าเกินไปแล้ว

ชายหนุ่มยังนิ่งเงียบ นัยน์ตามีแววกล้า หากแต่สงบอย่างยิ่งราวดาบอันคมกริบที่ซ่อนอยู่ในฝัก

ได้ เรามาประลองดาบกันอีกครั้ง ข้าจะไม่ใช้อำนาจฤทธาใดๆ ทั้งสิ้น...และใช้ตามข้อตกลงเดิมแต่แรก ระหว่างเราจะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกันเด็ดขาด จบคำพูด จ้าวโยนดาบในมือมาที่ปลายเท้ามรรคา

ร่างของเขายืนเด่นสง่า สีหน้าไม่มีแววยินดี หรือตระหนก กระทั่งไม่คิดหยิบดาบเล่มนั้นขึ้นมาด้วยซ้ำ...แต่ทว่า เทวนารีที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับลอบยิ้มอย่างปีติ เข้าใจการกระทำตั้งแต่ต้นของมรรคาทันที

ไม่ว่าจะเป็นการท่องคัมภีร์พระเวท ปล่อยให้พวกหล่อนต่อสู้กับจ้าว การบอกยอมแพ้ การท้าประลองดาบ กระทั่งชักนำให้จ้าวระลึกถึงอดีตชาติ ก็เพื่อต้องการได้ยินคำพูดประโยคนี้จากปากจอมปิศาจนั่นเอง

มรรคากระตุ้นศักดิ์ศรีและความหยิ่งผยองของจ้าวในอดีตขึ้นมา เพื่อให้จ้าวยอมสู้กับเขาอย่างทัดเทียม

จ้าวยื่นมือ...ดาบอีกเล่มปรากฏ...มรรคาจึงยอมก้มลงเก็บดาบที่ปลายเท้า...กนกรัศมีหันไปมองพันเกลียวและกะพ้อ ให้ถอยห่างจากวงต่อสู้...บริเวณที่โล่งใต้ต้นไทรยักษ์ มีเพียงมรรคาและจ้าวยืนประจันหน้ากันอย่างสมศักดิ์ศรี

มรรคาไม่รู้จักเพลงดาบ แต่ทิชาเทพรู้จัก อีกทั้งยังเป็นนักดาบมือดี ช่วงเวลาที่ใช้สงบใจที่วัด...ความทรงจำและความคุ้นเคยแต่หนหลัง ยิ่งก่อตัวหนาแน่น จนแทบทำให้ความเป็นมรรคาถูกบดบัง

สำหรับจ้าว แม้จะรู้ดีว่าตนเองทิ้งโอกาสได้ชัยอย่างแน่นอนแล้ว แต่มิได้นึกตำหนิตนเอง เขาเพียงคิดว่า หากวันนั้นเขาสามารถเอาชนะเพลงดาบหัวหน้าโจรได้...นรดีก็ไม่ต้องถูกข่มขืน...นางจะไม่เสียใจจนบังคับให้เขาฆ่านาง เขาก็ไม่จำเป็นต้องเผาล้างตระกูลให้เป็นบาป และไม่แน่ เขาก็อาจไม่ต้องเป็นปิศาจเช่นนี้

ใช่...ถ้าเขาชนะ...

จ้าวชี้ปลายดาบลงเบื้องหน้า อาภรณ์สีแดงปลิวสะบัดคล้ายธงรบ ใบหน้าเรียบเย็น ลึกดั่งน้ำ...มรรคาตวัดดาบขึ้น หันปลายเท้าค่อยๆ ขยับตัว...

คมดาบเกิดประกายวาบยามกระทบกัน ร่างทั้งสองเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไว เสียงสะบัดดาบดังเฟี้ยวฟ้าวรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน

มรรคากุมสติมั่น แม้เขาจะจำเพลงดาบที่ทิชาเทพเคยใช้อย่างคล่องแคล่วได้ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ฝึกฝนเป็นประจำ บางท่าออกจะเชื่องช้าอยู่บ้าง จ้าวจึงได้โอกาสรุกไล่จนแทบเสียสมาธิ ถึงกระนั้น เมื่อยิ่งประดาบนานเข้า ความคุ้นเคยและชินมือก็บังเกิด แต่จ้าวก็รุกไล่ ชนิดไม่คำนึงถึงความพ่ายแพ้...

ท้องฟ้าขมุกขมัวดังเดิม สายฟ้าแลบราวงูพระเพลิงกำลังโลดแล่นกลางทะเลสีเทา ลมหมุนอู้ๆ แมกไม้สั่นกราว สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องกับเงาร่างสีแดงของจ้าวและสีขาวของมรรคา

เศษใบไม้กรูเกรียวเข้ามาในวงต่อสู้ ดูราวฝนสีน้ำตาลแห้ง เกลื่อนกระจายเต็มฟ้า...จ้าวหยุดดาบ สังเกตทิศทางฝีมือของคู่ต่อสู้ มีหลายครั้งที่นึกอยากใช้อิทธิฤทธิ์ตัดสินการต่อสู้ให้เด็ดขาด แต่ส่วนลึกในใจกระตุ้นให้นึกถึงวันที่พ่ายแพ้ในมือหัวหน้าโจร ทำให้เขาเกิดความต้องการเอาชนะอย่างหนักหน่วง...ชนะด้วยฝีมือล้วนๆ ของตัว

ลมหยุด ฝนใบไม้ร่วงลงมาช้าๆ มรรคาหรี่ตามองก่อนจะสะบัดดาบอย่างรวดเร็ว ใบไม้ถูกผ่าเป็นสองซีก ประกายดาบพุ่งสู่จ้าว...เสียงปะทะตอบโต้ดังสะท้านหู การฟาดฟันเกิดขึ้นรุนแรง ใบไม้แห้งกระจัดกระจายกลายเป็นผงคลี ละเอียดยุ่ย


 

ในสตรีทั้งสาม มีแต่กนกรัศมีที่มีใบหน้าละมุน ไม่เคร่งเครียด ส่วนพันเกลียวใบหน้ายิ่งนานยิ่งเหมือนหน้ากาก นัยน์ตาโตนิ่ง ซ่อนความห่วงใยเร้นลึก...กะพ้อเป็นผู้ที่มีสีหน้าแย่ที่สุด แววตาและอากัปกิริยาของหล่อนแทบจะบอกสถานการณ์ต่อสู้ได้ทุกระยะ หากมรรคามีเปรียบหล่อนจะยิ้ม นัยน์ตาแจ่มจรัส ยามที่จ้าวรุกไล่หักโหม หล่อนมีท่าเหมือนจะกระโจนเข้าไปต่อสู้เอง

การต่อสู้ยิ่งเนิ่นนาน ฝ่ายที่หนักแรงคือมรรคา...ในดินแดนอาคมนี้ที่เข้ามาได้มีแต่กายทิพย์...ยกเว้นมรรคาที่สามารถมาด้วยกายหยาบ เมื่อเข้ามาแล้ว ความรู้สึกสัมผัสระหว่างกายมนุษย์กับกายทิพย์ จะมีความแตกต่างกัน...สิ่งนี้ทำให้จ้าวได้เปรียบ

กายทิพย์ถูกกำหนดด้วยใจ ตราบใดใจไม่อ่อนล้า จะต่อสู้สักสิบ ยี่สิบวันก็ได้ แต่กายหยาบของมนุษย์นั้นผิดกัน มันประกอบด้วยธาตุต่างๆ...การต่อสู้ยาวนาน เขายิ่งหมดแรงลงไปเรื่อยๆ...และนั่น...ลางแพ้จะเริ่มปรากฏ

ชายหนุ่มลอบสูดลมหายใจลึกๆ เขารู้เหตุผลข้อนี้ดี จึงต้องเร่งยุติการต่อสู้โดยเร็วที่สุด...

จ้าวฟาดฟันดาบด้วยความคล่องแคล่ว เบามือ รู้ว่าท่วงท่าของมรรคาเชื่องช้าลง แต่ยังหาช่องโหว่ไม่ได้...ในขณะกำลังชิงรุกไล่อยู่นั้น พลันเห็นกิริยาของคู่ต่อสู้เปลี่ยนไป...จังหวะ ลีลา ความรวดเร็วดูราวกับเป็นเพลงดาบของเทพยดา แนบแน่น รัดกุม ไร้ช่องโหว่ และที่สำคัญ ดุดันจนไม่อาจต้านรับได้

เมื่อพบท่วงท่าที่ดุดัน พิสดารเช่นนี้ จ้าวถึงกับหวาดหวั่นชั่ววูบ และเป็นวูบเดียวที่เปิดช่องโหว่ออกมา...

มรรคามองเห็น จึงแทงดาบตามเข้าใส่...ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม แต่มรรคาเหลือบเห็นแววตาของจ้าว...แม้แค่กะพริบผ่านคล้ายประกายดาว แต่ก็ทำให้เขาเวทนา...มันเป็นแววทดท้อ รันทด

จ้าวรู้ตัวว่าต้องแพ้อีกครั้ง...แพ้เหมือนครั้งที่พ่ายแพ้หัวหน้าโจร...ความพ่ายแพ้ที่ทำให้ทั้งชีวิตเปลี่ยนแปรไป

มรรคานึกสะท้อนใจ เขาชักนำให้จ้าวนึกถึงอดีตชาติ เพื่อกระตุ้นศักดิ์ศรี แต่ขณะเดียวกัน ก็ได้สะกิดบาดแผลที่ฝังใจจ้าวอย่างที่สุดด้วย

ถ้าจ้าวพ่ายแพ้อีกครั้ง...อะไรจะเกิดขึ้น

มรรคาไม่มีเวลาคิดไกลถึงขั้นนั้น สำหรับเขา...มีชัยกับพ่ายแพ้...มันแตกต่างกันอย่างไร...การที่เขาชนะแล้วได้บงการจ้าว หรือพ่ายแพ้แล้วต้องเป็นทาสของจ้าว...มันสำคัญนักหรือ...

อะไรคือพ่ายแพ้...อะไรคือได้ชัย...ก่อนดาบจะฟันถึงเป้าหมาย มรรคาชะงักมือ...ช่วงที่เขาหยุดท่วงท่า จ้าวได้ตีโต้กลับอย่างไม่คำนึงถึงความพ่ายแพ้...จ้าวไม่ยอมแพ้ในเชิงดาบเป็นครั้งที่สอง...

เลือดพุ่งเป็นสาย คล้ายธนูหลุดจากแหล่ง ร่างของมรรคาซวนเซลง หญิงสาวทั้งสามตะลึงงัน ไม่เชื่อสายตา

...ผู้ประหลาดใจยิ่งกว่าใครคือเจ้า...

ร่างสูงสง่ายืนงันด้วยความงุนงง...แววตาประหลาดใจและยินดี...เขาชนะหรอกหรือ...ชัยชนะนี้เหมือนการโยนเงาอดีตให้หลุดออกจากใจ...ความเจ็บช้ำแค้นใจตนเองละลายหายไปกับดาบนี้ของเขา...

จ้าวมีโอกาสชื่นชมในชัยชนะไม่นานนัก...เหตุการณ์พลิกผันก็เกิดขึ้น...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP