กว่าจะถึงฝั่งธรรม Lite Voyage

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร : สู้กิเลสด้วยปัญญา เพื่อรักษาเพศพรหมจรรย์


เทียบธุลี

34_TanPorLEE

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ


พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
เป็นพระกรรมฐานผู้เป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
ในปี ๒๕๐๐ ท่านเป็นผู้จัดงานฉลองกึ่งพุทธกาลขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ วัดอโศการาม
นับว่าท่านเป็นผู้มีบุญบารมีและศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาอย่างสูงยิ่ง
ดังความปรากฏตอนหนึ่งใน
๒๘ อรหันต์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ดังนี้

ท่านจึงเป็นผู้ที่ท่านพระอาจารย์มั่นเมตตาและให้การยกย่องว่า
มีพลังจิตสูง เป็นผู้เด็ดเดี่ยว อาจหาญ เฉียบขาด ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยธรรม
สมศักดิ์ศรีที่ได้รับความไว้วางใจ จากท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม
ให้เป็น
อัศวินแห่งกองทัพธรรมกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตที่มีธรรมะเป็นอาวุธ

แม้จะเปี่ยมด้วยบุญบารมีเพียงใด แต่ยังต้องพบกับอุปสรรคที่ทำให้มีความคิดที่จะลาสิกขา
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อครั้งท่านอุปสมบทในธรรมยุติกนิกาย
จำพรรษา ณ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร เป็นพรรษาที่ ๓
ช่วงก่อนหน้านั้นท่านได้ขออนุญาตพระอุปัชฌาย์เพื่อจะออกธุดงค์ แต่ไม่ได้รับอนุญาต

ในระยะนี้ได้ตรวจดูจิตใจของตนเองรู้สึกว่าเสื่อมในทางปฏิบัติ
คือจิตชักจะหันหน้าไปทางโลกเสียบ้าง ได้คิดต่อสู้อยู่จนตลอดพรรษา
อยู่มาวันหนึ่งได้เกิดความคิดในใจว่า ถ้าเราอยู่ในพระนครนี้เราต้องสึก
ถ้าเราไม่สึก เราต้องออกจากพระนครไปอยู่ป่า


เมื่อมีความคิดดังกล่าวและก็ไตร่ตรองอยู่หลายครั้ง แต่ระหว่างนั้นก็มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น
เหตุการณ์สำคัญๆ ซึ่งท่านเล่าไว้เพื่อเป็นคติเตือนใจ ในอัตตประวัติ มีทั้งหมด ๔ คราว
เรื่องราวแรกเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่ท่านรู้สึกท้องผูก ในตอนบ่ายจึงฉันยาถ่าย
โดยคาดว่าจะถ่ายอุจจาระประมาณ ๒๑ นาฬิกา ตามปกติดังที่เคยเป็นมา
แต่ปรากฏว่าในคืนนั้นไม่ได้อุจจาระ และตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นก็ไปบิณฑบาตในตรอกวังสระปทุม

พอเดินไปถึงหน้าบ้านที่เขาจะใส่บาตร ก็เกิดรู้สึกปวดอุจจาระอย่างหนักจนทนแทบไม่ไหว
จะเดินออกไปรับบาตรก็เดินไม่ได้ ก้าวขาไม่ออก
มัวแต่อดกลั้นขยับขาเดินได้ทีละคืบ ไปถึงป่ากระถินแห่งหนึ่ง
รีบวางบาตรลอดรั้วเข้าป่ากระถิน มันนึกอยากเอาหัวตำดินให้ตายเสียดีกว่า
เมื่อทำธุรกิจเสร็จแล้วก็ออกจากป่าอุ้มบาตรเดินบิณฑบาตต่อไปตามเคย
วันนั้นได้ข้าวไม่พอฉัน กลับมาถึงวัดก็ได้เตือนตัวเองว่า
มึงสึกไปแล้ว ต้องเป็นอย่างนี้ ใครเขาจะมาใส่บาตรให้กิน เรื่องนี้ได้เป็นคติเตือนใจอย่างดี

เหตุการณ์ในครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นเมื่อท่านไปบิณฑบาต แถวถนนเพชรบุรี
เช้าวันนั้นยังไม่ได้ข้าวแม้แต่หนึ่งทัพพี แต่กลับประสบเหตุอื่นแทน

พอดีได้เห็นหญิงแก่อายุประมาณ ๕๐ ปี ไว้ผมมวย กับตาแป๊ะแก่ไว้หางเปีย
ยืนส่งเสียงดังเอะอะอยู่ในห้องแถว ขณะนั้นเราเดินมาถึงตรงหน้าบ้านเขา
ก็หยุดยืนนิ่งดู ประมาณสัก ๒ อึดใจ เห็นยายแก่คว้าไม้กวาดตีหัวตาแป๊ะ
ตาแป๊ะคว้ามวยผมถีบหลังยายแก่ ตัวเองก็เริ่มนึกว่า
ถ้าเป็นเราโดนเข้าอย่างนี้จะทำอย่างไรกัน ก็ตอบขึ้นว่า มึงต้องบ้านแตกสาแหรกขาดแน่
การที่ได้ประสบพบเหตุการณ์อย่างนี้ กลับดีใจยิ่งกว่าบิณฑบาตได้ข้าวเต็มบาตร


ในวันนั้นท่านพ่อได้ข้าวแทบไม่พอฉัน เมื่อถึงเวลากลางคืน ท่านก็ได้ตริตรองเรื่องนี้อยู่ตลอด
ทำให้ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องของโลกออกไปโดยลำดับ

เหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นเมื่อไปบิณฑบาต แล้ววกกลับมาทางด้านหลังวัดปทุมวนารามฯ
บริเวณนั้นเป็นถนนดิน ถ้าฝนตกถนนจะลื่น ท่านเดินอย่างสำรวมมาถึงหน้าบ้านของโยมคนหนึ่ง

บิณฑบาตได้ข้าวเต็มบาตร ใจก็นึกคิดไปในอารมณ์ของโลก
นึกจนเผลอตัวก้าวลื่นถลาล้มลงไปในบ่อข้างถนน หัวเข่าทั้งสองจมลงไปอยู่ในโคลนประมาณ ๑ คืบ
ข้าวสุกในบาตรหกหมด เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยโคลน ต้องรีบเดินทางกลับวัด
เมื่อกลับมาถึงวัดแล้ว เก็บเอามาเป็นคติเตือนใจสอนตนเองว่า การนึกในเรื่องทางโลกของเรา
เพียงแต่นึกคิดมันก็ยังมีโทษติดตามมาได้ถึงเพียงนี้ ใจก็ค่อยคลายค่อยเบื่อออกไปโดยลำดับ
คิดว่า
เรื่องครอบครัวนั้นมันเป็นเรื่องของเด็ก ไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่ กลับความคิดเห็นเป็นอย่างนี้

เหตุการณ์สุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อท่านบิณฑบาตไปตามถนนเพชรบุรี
ไปถึงวังของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร
พระองค์ท่านจะใส่บาตรประจำวันแก่พระสงฆ์ทั่วไป แต่วันนั้นมีขันข้าวอีกขันหนึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามวัง
ท่านพ่อจึงเดินไปรับบิณฑบาตจากขันตั้งใหม่เสียก่อน แล้วจึงหันกลับมาเพื่อจะไปรับขันที่อยู่ตรงข้าม

พอดีมีรถเมล์ขาวนายเลิศวิ่งมาอย่างรวดเร็ว วิ่งเฉียดศีรษะไปห่างประมาณ ๑ คืบ
คนโดยสารร้องตะโกนโวยวายขึ้น ตัวเองก็ผงะยืนตกตะลึงอยู่เป็นเวลาหลายอึดใจ
วันนั้นเกือบถึงแก่ความตายเพราะถูกรถเมล์ชน ขณะกลับไปรับบาตรที่วังพระองค์เจ้าธานีฯ
ต้องสะกดตัวไว้อย่างเข้มแข็ง มีอาการสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว


ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้เป็นคติเตือนใจท่านอย่างดี
จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๔ เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านก็มีดำริว่า

ในปีพรรษาที่ ๓ ก็นึกว่า เราต้องออกจากพระนครแน่ๆ
ถ้าพระอุปัชฌาย์ยังหวงห้ามกีดกันอีก เห็นจะต้องแตกกันในคราวนี้
มิฉะนั้นก็ขออำนาจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงช่วยข้าพเจ้าโดยทางอื่น


ต่อมาในวันหนึ่งเวลากลางคืน ท่านอ่านหนังสืออยู่แล้วเคลิ้มหลับไป

พอเคลิ้มหลับได้เห็นพระอาจารย์มั่นมาดุว่า ท่านอยู่ทำไมในกรุงเทพฯ ไม่ออกไปอยู่ป่า"
ก็ได้ตอบท่านว่า พระอุปัชฌาย์ไม่ยอมให้ไป" ท่านตอบคำเดียวว่า ไป"
จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานถึงท่านว่า เมื่อออกพรรษาแล้ว ขอให้ท่านมาโปรดเราเอาไปให้จงได้"

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ท่านพ่อก็ได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งมาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร
เพื่อเยี่ยมอาการอาพาธของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)

นับแต่อุปสมบทล่วงแล้วได้ ๔ พรรษา เพิ่งจะได้มาพบท่านอีกในคราวนี้ ก็ได้เข้าไปกราบไหว้
ท่านก็เมตตาแสดงธรรมให้ฟังว่า ขีณาชาติ วุสิตัง พรหมจริยันติ แปลได้ใจความสั้นๆ ว่า
พระอริยเจ้าขีณาสพทั้งหลาย ท่านทำตนให้เป็นผู้พ้นจากอาสวะแล้วมีความสุข
นั้นคือพรหมจรรย์อันประเสริฐ จำได้เพียงเท่านี้
แต่รู้สึกว่าเราไปนั่งฟังคำพูดของท่านเพียงเล็กน้อย ใจนิ่งเป็นสมาธิดีกว่าเรานั่งทำคนเดียวมากมาย
ในที่สุดท่านก็สั่งว่า คุณต้องไปกับเราในคราวนี้ ส่วนอุปัชฌาย์นั้นเราจะไปเรียนท่านเอง””

ท่านพ่อลีจึงได้ติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปธุดงค์ทางภาคเหนือ
ด้วยความเพียรพยายามในการต่อสู้กับกิเลสด้วยปัญญา เพื่อรักษาเพศพรหมจรรย์ของนักบวช
จึงรอดพ้นจากการลาสิกขา ครองสมณเพศตราบวาระสุดท้ายแห่งชีวิต


เอกสารประกอบการเขียน

ชีวประวัติพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร ) พิมพ์ครั้งที่ ๓ ปี ๒๕๑๙

"๒๘ พระอรหันต์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์" พระธุตังคเจดีย์ วัดอโศการาม
ธรรมบรรณาการในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ) ครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๔๘ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๒.



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP