วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๒๙


ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



แสงสุดท้ายยังค้างคาอยู่ ณ ขอบฟ้า มรรคาหยุดตรงกึ่งกลางดงไม้ ความมืดโรยตัวจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่สำหรับเขา ทุกสิ่งชัดเจน เขาสามารถรับรู้ถึงต้นไม้ทุกต้น หินทุกก้อน รู้กระทั่งว่ามีดวงตานับร้อยคู่ กำลังจ้องมองจากอีกมิติหนึ่ง

...ได้เวลาแล้ว...

มรรคาสำรวมจิตมั่น หลับตา วาดปลายเท้าไปทางซ้าย ขวา...คล้ายการเขียนอักขระโบราณ สักครู่เขาก็ยืนนิ่ง ทันใด ร่องรอยบนพื้นที่เขาลากปลายเท้าผ่าน ก็บังเกิดแสงสว่างพวยพุ่งขึ้นมาเป็นลำ มองเห็นตัวอักษรที่ไม่มีผู้ใดอ่านออก ชายหนุ่มแทรกร่างท่ามกลางตัวอักษรเหล่านั้น ลำแสงอักขระครอบคลุมเขาจนทั่วตัว

แสงแห่งดวงตะวันถูกชักกลับจนหมด ฟ้ามืดสนิทราวกับหมึก มองจากเบื้องสูง แสงอักษรที่มรรคาขีดวาด กำลังโดดเด่น เจิดจ้า ทว่า...ร่างชายหนุ่มกลับสว่างกว่านั้น...สว่างจนสามารถลบเลือนตัวอักษรทั้งหมดได้...สว่างเจิดจ้าดั่งแสงดาวตก และหายลับรวดเร็วไม่ผิดดาวตกเช่นกัน

มืดอีกแล้ว ดงไม้ตกอยู่ในความมืดและเงียบ เฉกเช่นป่าช้าแห่งหนึ่ง... มืด เงียบ วังเวง และหนาวเย็น จนมิอาจมีผู้ใดเยี่ยมกรายเข้ามา



กริ๊ง...กริ๊ง...

ฮัลโหล บ้านคุณมรรคาค่า...

แฉล้ม นี่ฉันนะ ตามัคอยู่มั้ย

อุ๊ยคุณท่านหรือคะ...คุณมัคไม่อยู่หรอกค่ะ

ไปไหนล่ะ ฉันโทร.เข้ามือถือก็ไม่เปิด

ไม่ทราบค่ะ ไปหลายวันแล้ว รถก็ไม่ได้เอาไปด้วย

แล้วยายแก้วล่ะ

ไม่อยู่เหมือนกันค่ะ รายนี้ไปอยู่บ้านคุณพันเกลียวหลายวันเหมือนกัน

เงียบไปทั้งสองฝ่าย

เอ้อ...คุณท่านมีอะไรหรือเปล่าคะ อาศัยความเป็นคนเก่าแก่ ป้าแฉล้มถึงกล้าถามคุณธม

เมื่อคืนฉันฝันเห็นตามัค

เพียงเท่านี้ แม่บ้านใหญ่ก็ขนลุกซู่

เอ่อ...คุณมัค...ใช่ใส่เสื้อสีขาว...มีแสงสว่างๆ รอบตัวหรือเปล่าคะ น้ำเสียงตื่นเต้น ขาดเป็นช่วงๆ

ใช่...เอ๊...แม่แล่มรู้ได้ยังไง...หรือว่า...

ค่ะ...อิฉันก็ฝันเห็นเธอ

ท่าทางเขาเหมือนจะบอกลา เสียงคุณธมฟังดูแปลกๆ มีอะไรเกิดขั้น...แม่แล่มรู้ไหม

ไม่ทราบค่ะ...ดูพวกคุณๆ จะแปลกกันทุกคน ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมานี่...

เมื่อคืน...ตามัคเหมือนไม่ใช่ตามัค คุณธมพูดเหมือนปรับทุกข์ เขาดูสว่าง...ใส จนน่ากลัวว่า...

อย่าพูดค่ะ... แม่แฉล้มรีบบอกทันควัน ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หล่อนมั่นใจว่าความฝันของหล่อนกับคุณธมตรงกันไม่ผิดเพี้ยน...ในฝัน มรรคาไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแต่ยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน...แล้วน้ำตาหล่อนก็ไหลพรากโดยไม่อาจบอกความรู้สึกได้

ฉันเป็นห่วงเขามาก คุณธมพูดต่อ ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน

อิฉันจะไปจุดธูป ขอให้คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงช่วยค่ะ

ดี คุณธมพูดอย่างคนหนักใจ นี่ก็ค่ำมากแล้ว...พรุ่งนี้ฉันจะไปบ้านคุณพันเกลียว...ถ้าเจอยายแก้วจะได้สอบถามกัน

ค่ะ ค่ะ อิฉันก็จะให้เจ้าชัยมันพาไปเหมือนกัน

โทรศัพท์ถูกวางลงอย่างไม่มั่นคงนัก ป้าแฉล้มเหลียวมองรอบบ้านด้วยใจไม่เป็นสุข เหมือนคนกำลังจะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป



มรรคากำลังทะลุผ่านปล่องอันยาวลึก แสงสีวูบวาบบาดตากรีดผ่านเป็นช่วงๆ เสียงครืนครางดั่งคลื่นกระหน่ำฝั่งดังมาเป็นระลอก เนื้อตัวสัมผัสลมร้ายอันเย็นเยียบบาดลึกสู่กระดูก...สมองเขากลับรำลึกถึงคืนที่นั่งฟังหลวงพ่อเล่าอดีตชาติของจ้าว

จ้าวเคยเป็นมนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อน สมัยที่ศาสนาพราหมณ์เฟื่องฟู ตระกูลของจ้าวเป็นพราหมณ์ที่ผู้คนยกย่องนับถือ ทุกคนในตระกูลศึกษาคัมภีร์พระเวทจนแตกฉาน และจ้าวคือกุลบุตรโดดเด่นที่สุดของตระกูล

ไม่เพียงแต่คัมภีร์พระเวทเท่านั้น อาคมเร้นลับต่างๆ จากต้นตระกูล จ้าวก็ศึกษาจนเจนจบ มีวิชาแข็งแกร่งสามารถบำเพ็ญตบะ จนจิตออกรู้สัมผัสต่อเทพเบื้องสูงได้ จึงไม่น่าแปลก ที่จ้าวจะหยิ่งผยองในวิชาของตน...

สุดปากอุโมงค์ แสงสีทั้งหลายดับสนิท เท้ามรรคาสัมผัสกับพื้นหญ้านุ่ม ท้องฟ้าสีขมุกขมัว เต็มไปด้วยเมฆหนาหนัก สายฟ้าแลบไล่แปลบปลาบ ราวกับมีการสัประยุทธ์อยู่ชั่วนิรันดรกาล

ณ ที่นี้ ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน ไม่มีแสงสว่างจากตะวัน และยิ่งไม่มีราตรีกาล บรรยากาศครึ้มฝนอยู่เป็นนิจ ความสลัวรางอันเป็นรอยต่อระหว่างมืดกับสว่าง คือดินแดนที่ถูกอาคมของทิชาเทพเข้าปิดบังควบคุม มิให้มนุษย์ผู้ใดกล้ำกรายเข้ามา จะมีก็แต่ดวงวิญญาณเร่ร่อน ฝูงปิศาจ กับกายทิพย์ของผู้มีบุญเท่านั้นที่ผ่านมาถึง

มรรคาเป็นมนุษย์คนเดียวที่ผ่านเข้ามาได้...ผู้ผูกอาคม จึงจะเป็นผู้คลายอาคม...

ทันทีที่เข้ามาถึง เสียงคลื่นที่ดังคล้ายเสียงกลองกลับเงียบหาย กลายเป็นเสียงกรีดร้องดังสนั่น ขู่ขวัญ

มรรคาเห็นดวงตานับพันคู่รายล้อมเขาจนหนาแน่น รูปร่างวิกลวิกาลอัปลักษณ์จนมิอาจแยกแยะ พวกมันแออัดยัดเยียด พยายามเบิ่งตามองเขาเป็นจุดเดียว...จากที่สูง จุดที่มรรคายืนคล้ายเป็นเกาะน้อยกลางทะเลปิศาจ

แล้วมันก็เริ่มยื่นมือยื่นไม้ ไขว่คว้าจะจับตัวเขา...ทำท่าเหมือนจะลากเขาไปเสนอหน้าต่อเจ้านาย ชายหนุ่มมองด้วยสายตาเรียบเฉย

พวกเอ็งอยากให้นายเหนือ ถูกขังอยู่ชั่วกัลปาวสานหรือ... ไม่ใช่คำพูดของมรรคา แต่เป็นเสียงทิชาเทพ ตั้งแต่บัดนี้...ทิชาเทพและมรรคา ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่ง คือมนุษย์ที่มีภูมิปัญญาแห่งเทพ...

คึ่ก...คึ่ก...ครืน... เสียงดังถี่ๆ ก่อนจะสนั่นลั่นราวแผ่นดินพลิกตัว...กองทัพปิศาจหยุดนิ่ง แข็งค้าง สีหน้าประหวั่นพรั่งพรึงจนเกินระงับ

นี่คือการทักทายของจ้าว...

มรรคาเดินช้าๆ เหล่าปิศาจถอยหนีไม่เป็นขบวน...เบื้องหน้าเขา มหาไทรยืนตระหง่านสูงเสียดฟ้า รากไทรทิ้งตัวยาวเหยียด หนาแน่ ดุจอสรพิษอดอยากที่กระหายเหยื่อมาเนิ่นนาน

มันกำลังรอ...รอคอยด้วยความทุกข์ทรมาน...รอด้วยความเคียดแค้นคลุ้มคลั่ง...เวลาภายนอกจะนานเท่าไรมันสุดรู้ แต่เวลาที่มันรู้สึก กลับยืดยาวเหมือนเป็นสิบๆ อสงไขย

มรรคานึกสงสาร ไม่ใช่เพียงสงสารสภาพเป็นอยู่ปัจจุบันของจ้าว แต่สงสารเรื่องราวในอดีตของจ้าว...

กุลบุตรผู้โดดเด่นที่สุดในตระกูล เก่งกล้า สามารถติดต่อกับเทพเบื้องสูง...เป็นความหวังแห่งตระกูลวรรณะพราหมณ์อันสูงส่ง กลับรักหญิงสาวต่างวรรณะ

มันเหมือนนิยายรักที่มีอยู่ดาษดื่น...

ไม่มีใครยอมเชื่อว่า พราหมณ์หนุ่มผู้มีตบะแก่กล้า สมาธิจิตอันมั่นคงเหนียวแน่น จะเกิดใจผูกพันกับสาวสวยผู้อยู่ในกลุ่มจัณฑาลผู้ต่ำต้อย...สตรีที่จ้าวรัก นับเป็นหญิงที่ดีพร้อมทุกๆ ด้าน...ถ้าไม่ติดว่า บิดา มารดานางคือผู้กล้าหาญ แหวกม่านประเพณี ข้ามวรรณะมารักกัน

แน่นอน...ทุกคนในตระกูลจ้าวต่างคัดค้านเต็มที่ แต่ความที่เป็นคนหยิ่งผยองทระนงในตน จ้าวกล้าที่จะก้าวออกจากตระกูล มาสู่ชนชั้นจัณฑาลเช่นนาง...ยอมทอดทิ้งสรรพวิชาทั้งมวล อำนาจฤทธีต่างๆ เพียงได้อยู่ร่วมกับนางอันเป็นที่รัก

มรรคาชะงักเท้าที่โคนต้นไทร...รอบกายเขาถูกปกคลุมด้วยรากไทรที่ห้อยระย้า ดังม่านไม้ที่ปิดกั้นไว้ทีละชั้นๆ และห่างออกไป เหล่าปิศาจต่างยืนรายรอบต้นไทรไว้เป็นวงๆ หลายวง จนไกลสุดลูกหูลูกตา

ปล่อยกะพ้อออกจากที่คุมขังเสียก่อน มรรคาพูดช้าๆ

รากไทรไหวระริกคล้ายจะเยาะหยัน คล้ายการขานรับ...เพียงไม่นาน มรรคาจึงเห็นหญิงสาวนัยน์ตาโศก ยืนอยู่กลางม่านไทร

เจ้าไม่เป็นไรกระมัง มรรคาถามเสียงอ่อนโยน แววตากะพ้อดูราวจะส่งความรู้สึกทั้งมวลมาให้...ม่านไทรที่กั้นกลาง แทบไม่เป็นอุปสรรคต่อหล่อนเลย

ข้าน้อย หล่อนกล่าวเสียงแผ่วๆ อยากโผเข้าอ้อมกอด อยากสัมผัสชายในดวงใจ แต่น่าเสียดาย จ้าวให้โอกาสหล่อนเพียงเท่านี้

มรรคาก้าวขาจากโคนต้น มือแหวกม่านไทร ความรู้สึกในดวงตากะพ้อดึงดูดให้เขามิอาจใจแข็ง ความรักอย่างทุ่มเทของหล่อนทำให้ใจเขาโศกสลด...เขาไม่อยากให้หญิงใดเสียใจเพราะเขา...แต่เขาก็ไม่อาจตอบรับความรักต่อหญิงทุกนางที่รักเขาได้

ที่สุด เขามายืนตรงหน้ากะพ้อ รากไทรหนาแน่นบดบังร่างทั้งสองไว้จากทุกสายตา มรรคาก้มมองหญิงสาวด้วยความสงสารปนเสียใจ กะพ้อสบตาตอบเขาด้วยความรัก ความเทิดทูนที่กักเก็บมาเนิ่นนาน

ข้าเสียใจ ที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน มรรคาพูดด้วยใจทิชาเทพ

แต่ข้าน้อยยินดีทำทุกสิ่งเพื่อท่าน คำตอบและแววตา คือความจริงใจที่เขาไม่กล้ารับ

ข้าไม่คู่ควร เขาพูดจากส่วนลึกของหัวใจ ความรักและภักดีของเจ้ามันมีค่ามากเกินไป...ข้าไม่อาจรับได้

แววสลดฉายวูบในดวงตาเศร้าสร้อยของกะพ้อ

ในความรู้สึกของข้าน้อย ไม่มีสิ่งใดมีค่ามากเกินไปสำหรับท่าน

มรรคาฝืนยิ้ม

ไม่นาน ข้าจะปล่อยจ้าวออกมา เมื่อนั้นจ้าวก็จะทำตามสัญญา ถอนตรวนอาคมให้เจ้า...ข้าหวังว่า ต่อไป...เจ้าคงใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข...ได้เกิดในภพภูมิที่ดีที่เหมาะสม...ข้าขอให้พร...

น้ำตาไหลลงมาช้าๆ ผ่านใบหน้าซูบเรียว เศร้าหมอง...นัยน์ตาที่แฝงความตัดพ้อ น้อยใจ และระทมทุกข์ทำให้มรรคาไม่อาจทนดู...เขากัดริมฝีปากแน่น ขยับตัวถอยหลัง...

ใช่...ตรวนอาคมของจ้าว สามารถถอดถอนออกไปได้...แต่ตรวนใจที่พันธนาการหัวใจ และชีวิตข้าน้อยไว้กับท่าน...ท่านสามารถปลดมันออกให้ข้าน้อยได้หรือไม่...

มรรคาอึ้ง...พยายามกลืนก้อนแข็งๆ ขมฝาดลงในลำคอ...นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววเว้าวอน จนจิตใจเขาไม่อาจควบคุมให้สงบราบเรียบได้

เขาสามารถปลดตรวนใจให้กะพ้อได้หรือไม่...

...ย่อมไม่ได้...

เพราะมันเป็นตรวนที่เจ้าตัวยินยอมพันธนาการไว้ด้วยตัวเอง...ใครก็ไม่สามารถถอดถอนได้

...แล้วเขาจะทำอะไรได้...มรรคาถามตัวเอง

ชั่วขณะหนึ่ง เขานึกถึงแม่ขาวจันและหลวงพ่อ...ความรักของแม่ขาวจันทำให้เขาเปรียบเทียบกับกะพ้อ

ข้าขอถามสักคำ มรรคาพูดช้าๆ แววตานุ่ม...จริงใจ...ถ้าข้ายินยอมทอดทิ้งสตรีที่ข้าผูกพันมาเนิ่นนานเกินกว่าหนึ่งชาติ...สตรีที่ข้ารักยิ่ง และนางก็ยินยอมทำทุกสิ่งเพื่อข้าไม่ผิดจากเจ้า...หากข้าทอดทิ้งสตรีเช่นนี้เพื่อมาอยู่ร่วมกับเจ้า...เบนเบี่ยงความรักที่ข้ามีต่อนางมาให้เจ้า...เจ้าจะยินดีหรือไม่...

กะพ้อเบิกตากว้าง ริมฝีปากสั่นระริก หล่อนย่อมนึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำถามเช่นนี้...ความรักที่หล่อนมีต่อทิชาเทพเป็นความรักที่ร้อนเร่าและรุนแรงก็จริง แต่พร้อมกันนั้น หล่อนก็รู้ว่ามันไม่มีทางสมหวัง...

คำพูดทั้งมวล เป็นเพียงการตัดพ้อ และระบายความน้อยใจเท่านั้น...

ไม่... กะพ้อหลุดคำตอบแผ่วเบา นัยน์ตาเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ บุรุษที่ข้าน้อยรัก ต้องเป็นผู้มีจิตใจมั่นคง...รักเดียว ไม่เปลี่ยนแปร คำพูดสะดุดครู่ใหญ่ แม้ว่า...รักเดียวของเขา...จะไม่ได้มีให้ข้าน้อย...

มรรคาไม่พูดอะไรอีก เขาก้าวเข้ามาช้าๆ โอบร่างกะพ้อไว้ในอ้อมแขน...หญิงสาวซุกตัวกลางอกกว้าง สูดกลิ่นอายแห่งความอบอุ่นไว้จนเต็มหัวใจ...วงแขนกระชับแน่น ดั่งจะถ่ายทอดความเมตตาสงสารออกมาจากใจ กะพ้อรับรู้ดี...นี่เป็นช่วงเวลาเดียว ที่ชายในดวงใจ ให้โอกาสแก่หล่อน...

...เวลาอันแสนสั้นนี้ จะตราตรึงดวงวิญญาณของนาง ตราบนานเท่านาน...

ชายหนุ่มคลายอ้อมแขน ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้ากะพ้ออย่างแผ่วเบา...จากนั้นค่อยๆ ถอยหลังกลับไป หญิงสาวอยากจะร้องเรียก...อยากจะฉุดรั้งเขาไว้ แต่ไม่สามารถกระทำได้แม้สักอย่างเดียว...หล่อนมองจนเขาลับร่างไปกับม่านไทรที่หนาทึบ...เห็นเงาไหวๆ มุ่งสู่โคนต้น...ทำหน้าที่ตามสัจจาแห่งตน...ปล่อย จ้าว ออกจากที่คุมขัง



ปีกแก้วและพันเกลียวยืนอยู่ด้านนอกเขตอาคม เบื้องหน้าทั้งสองเป็นกำแพงแก้วใส แบ่งแยกเขตแดนชัดเจน ร่างร่างหนึ่งยืนทะมึนเงื้อมเหนือกำแพงแก้ว ใบหน้าชาด้านคล้ายหนังตากแห้ง เขม้นมองอาคันตุกะ

เอ็งจะขัดขวางอย่างนั้นหรือ ปีกแก้วร้องถามเสียงก้อง เปี่ยมพลัง

จ้าวมีคำสั่งให้ทิชาเทพเข้าไปได้แต่ผู้เดียว คำตอบไร้ความรู้สึก

แกแน่ใจหรือว่าจะทำตามคำสั่งนายแกได้ พันเกลียวขยับมีดในมือ ประกายความขลังเจิดจ้า บาดตา

หึ...หึ...หึ...มันหัวเราะหยามหยัน

ถ้ามั่นใจนักก็เข้ามาเลย มันท้าทาย...เหล่าปิศาจดำทะมึนรูปร่างไม่ผิดจากมัน ผุดขึ้นตามแนวกำแพงนับร้อยๆ ตัว ทุกร่างยืนนิ่งเหมือนตุ๊กตาหิน...

กายทิพย์ของปีกแก้วและพันเกลียวลอยขึ้นช้าๆ แยกเป็นสองทาง รัศมีสีเหลืองอ่อนคลุมปีกแก้ว และรังสีมีดก็คุ้มครองพันเกลียวเช่นกัน

วี้ด...วี้ด เสียงร้องของพวกมันไม่ผิดเปรตขอส่วนบุญ ตุ๊กตาหิน ขยับร่างกรูกระโจน สายเมือกสีเขียวขุ่นข้นเหม็นคลุ้งฉีดออกมาจากปากพวกมัน...ปีกแก้วกำหนดกายลอยสูง หลบอาจม มืดกรีดละอองขาวๆ ใส่กองทัพปิศาจ

พันเกลียวไม่อาจเคลื่อนไหวกายทิพย์ได้คล่องแคล่วเฉกเช่นปีกแก้ว จึงกัดฟันใช้รังสีมีดตีวงเป็นกำแพงสกัดกั้น แล้วกำหนดวาโยธาตุ ใช้ลมหอบสิ่งโสโครกออกไป ตามด้วยใช้อาโปกสิณ ทำพื้นดินให้กลายเป็นน้ำ ดึงดูดร่างพวกมัน

ครืน...ซู่...เปรียะๆๆ เสียงคลื่นน้ำกับสะเก็ดละอองทิพย์กระทบปิศาจดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน...ฝูงปิศาจจำแลงต่างหายสาบสูญ เหลือปิศาจหมอผีที่ยืนค้ำเหนือกำแพงแก้ว

แค่ของเด็กเล่นเท่านั้น เสียงแหบห้าวดูแคลน...แต่ก่อนที่มันจะงัดวิธีใดมาต่อต้าน...พลันมีเสียงเลื่อนลั่นดังสนั่นกึกก้องจากด้านในกำแพงแก้ว

บรึ้ม เสียงเหมือนขุนเขาถูกยกทุ่มใส่พื้นพสุธา และแสงสีอันพร่าพรายก็ปรากฏขึ้นสู่ท้องฟ้าสีขมุกขมัว...

พี่ทิชาเทพกำลังถอนอาคมปลดปล่อยจ้าว ปีกแก้วอุทานขึ้น พันเกลียวรีบทะยานเข้ามาหา

รีบไปกันเถอะ หญิงสาวชี้มีดไปยังปิศาจหมอผี ถ้าแกขวาง...รับรองว่าฉันไม่ปรานีแน่

ใบหน้าปิศาจหมอผียังคงไร้ความรู้สึกเช่นเดิม...แต่ในดวงตาคล้ายจะมีความกลับกลอกหลากหลายเต้นระยิบระยับ



บรึ้ม บรึ้มๆๆ พื้นดินทั้งสี่มุมรอบต้นไทรระเบิดขึ้น ฝูงปิศาจแตกฮือกระจัดกระจาย...

มรรคาหลับตา สาธยายมนต์ไขกุญแจที่คุมขังแก่จ้าว โดยมีสายตากะพ้อมองตามอย่างเป็นห่วง...สลักทั้งสี่ถูกไขเรียบร้อย มรรคาหยุดเสียง และเดินวนรอบต้นไทร มืดขีดลากตามลำต้นเป็นตัวอักษรพิสดารชุดหนึ่ง...แสงเรืองๆ ทอกระจ่างตามปลายนิ้วที่ขีดลาก บนท้องฟ้ามีแสงอันแพรวพรายกำลังเข้าขจัดหมู่เมฆทะมึน

เขาหยุดเขียน ตัวอักษรสว่างจ้ารอบต้น ลำแสงสีเงินยวงนับร้อยๆ สายพุ่งขึ้นจากพื้นดิน ทะลุผ่านรากและกิ่งไทรขึ้นสู่ท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง

แสงเจิดจ้า ฉาดฉายอยู่ชั่วแวบราวประกายดาวตก...เบื้องหน้ามรรคาปรากฏผ้าแพรบางๆ สีแดงจ้าและใบหน้าคมเข้มงดงาม ผุดขึ้นมาแก่สายตา ความสมส่วนของเรือนร่างและท่วงท่าการยืน ทำให้มรรคารู้สึกเหมือนเผชิญความกดดันอย่างบอกไม่ถูก

จ้าว เป็นอิสระแล้ว...

ใบหน้าอันงดงามเผยอยิ้มให้มรรคา มือขาวจัดยกขึ้นคล้ายจะทักทาย ริมฝีปากขยับแย้มกล่าววาจา

เทพผู้สูงศักดิ์ ท่านมิได้ผิดคำสัตย์แม้แต่น้อย

พลัน...มือที่ดูเหมือนจะทักทายกลับตวัดวูบ พลังลมหมุนอันมหาศาลส่งกำลังดูดรั้งรุนแรงออกไป...เสียงอู้ๆ รากไทรแตกกระเจิงเผยให้เห็นสิ่งบางอย่าง

อ๊าก...จ้าว...อย่า... เสียงแหบโหย คร่ำครวญบอกถึงความตกใจ หวั่นหวาด

มรรคาหันขวับ

ร่างของปิศาจหมอผีลอยละลิ่ว ไม่ผิดจากเศษขยะที่ถูกดูดเข้ามาติดอุ้งมือจ้าว...และอย่างรวดเร็ว มืออันเรียวบางของจ้าวก็หักคอสมุนเอกลงทิ้งไว้แทบเท้า ไม่ผิดจากปลิดผลไม้จากต้น

ชายหนุ่มตะลึงลาน นี่จ้าวกำลังตัดไม้ข่มนามเขาอยู่หรือไร...

ร่างไร้ศีรษะโดนรากไทรกระหวัดรัด แล้วดึงขึ้นแขวนไม่ผิดจากตุ๊กตา ส่วนหัวโดนรากไทรที่โผล่จากพื้นดินทะลุเจาะกะโหลก และตรึงศีรษะมันอยู่ปลายเท้าจ้าว

ที่น่าขยะแขยงกว่านั้นคือ ร่างไร้หัวของมันยังขยับแขนขาได้ และดวงตามันยังกลอกไปมา เหมือนไม่เชื่อว่าเจ้านายตนจะกระทำเช่นนี้

มรรคาขนลุกเกรียว...การตัดไม้ข่มนามของจ้าวได้ผลหรือไม่...

ขออภัย จ้าวพูดกับเขาอย่างเสนาะหู ก่อนจะก้มมองศีรษะที่ปลายเท้า ไอ้ทาสที่เลี้ยงไม่เชื่อง มึงคิดว่ากูไม่รู้หรือไง ว่ามึงมีใจออกห่าง จ้าวแสยะยิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว

ก่อนจะสะสางเรื่องภายใน ช่วยจัดการปลดตรวนอาคมออกจากกะพ้อก่อนได้หรือไม่ มรรคาพูดเสียงเรียบเย็น

จ้าวผละจากหัวของสมุนเอก เข้ามาประชิดมรรคา ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ

ข้ามีเหตุผลใดต้องปล่อยมัน คำถามยอกย้อน เยาะหยัน ประกายตาดุดันอำมหิต

สัจจา มรรคาตอบสั้นๆ ไม่มีความพรั่นพรึง

ไม่ทันขาดคำ จ้าวก็หัวเราะเสียงกึกก้อง หัวเราะจนรากไทรโยกไหว แผ่นดินสะเทือน หัวเราะเหมือนจะผสานความคั่งแค้นออกมาด้วย

คงมีแต่เทพหน้าโง่เช่นท่านกระมัง ที่ยอมรักษาสัจจา ปิศาจเช่นข้า เห็นสัจจะเป็นเรื่องของคนโง่

แต่น่าแปลก... มรรคาพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ที่ครั้งหนึ่ง ท่านกลับยึดมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนางนรดี จนกระทั่งยอมทำ ทุกสิ่ง

จ้าวสะดุ้งเฮือก...

เจ้ารู้

นรดีคือหญิงจัณฑาลที่จ้าวหลงรัก...เป็นหญิงสาวที่จ้าวยอมทิ้งทุกสิ่งเพียงเพื่อได้อยู่ร่วมกับนาง

ข้าเห็นว่ามันคือความรักอันยิ่งใหญ่...แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเป็น การกระทำ อันถูกต้อง ชายหนุ่มพูดเรียบๆ

หยุดพูด จ้าวสั่นระริกเป็นความโกรธ หรือความเจ็บปวดใจกันแน่... ได้...ข้าจะยอมปล่อยนังทาสนั่น ขอเพียงอย่าได้เอ่ยชื่อนางอีก

ขาดคำ จ้าวสะบัดผ้าแพรสีแดงไปทางกะพ้อ...การปลดตรวนอาคมของจ้าวง่ายดายยิ่ง...แต่เพราะเหตุใด จ้าวถึงยอมเปลี่ยนคำพูดง่ายๆ เพียงเพื่อไม่ให้มรรคาเอ่ยชื่อ นรดี

เรื่องนี้มีแต่มรรคากับจ้าวที่กระจ่างใจ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP