วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๒๘


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 


บ้านของพันเกลียวเปิดชั้นล่างไว้รับแขก หรือพูดให้ถูกคือ ลูกค้า เพื่อแยกเป็นสัดส่วนกับด้านบนซึ่งใช้พักอาศัย กิจการ ของหล่อน ไม่จำเป็นต้องโฆษณา แต่ผู้มาใช้บริการต่างบอกต่อๆ กัน ซึ่งได้ผลคุ้มค่ากว่าการโฆษณาเป็นไหนๆ

วันนี้มีลูกค้ามาขอพบพันเกลียวหลายคน แต่ถูกยายปฏิเสธจนหมด แม้จะมีลูกค้าบางคนยืนกรานดื้อดึง แต่ยายจะใช้ไม้นิ่ง ไม่รับรู้รับฟังใดๆ จนอีกฝ่ายต้องเลิกราไปเอง

พันเกลียวกับปีกแก้วอยู่ในห้องพระ หญิงสาวทั้งสองสวมชุดขาวสะอาด นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากัน มือวางนิ่งๆ บนหัวเข่า เปลือกตาปิดสนิท โสตประสาทสดับฟังกระแสเสียงเสนาะใส ระรื่นหู

...มรรคากำลังเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญหน้ากับจ้าว...หากลูกจะเคียงข้างเขา ก็ต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน สำหรับลูก การเตรียมพร้อมที่ดีที่สุดคือพร้อมทั้งสาม กาย วาจา ใจ...กายและวาจาสามารถชำระให้สะอาดได้ด้วยศีล...คำว่าศีล...ไม่ใช่อยู่เฉยๆ แล้วจะเป็นศีล ศีล คือการละเว้น การระงับ ต้องประกอบด้วยการข่มใจ...สติ ความระมัดระวัง ไม่ประมาท...สำหรับพร้อมใจ คือสมาธิและปัญญา...แม่คงไม่ต้องสอนมาก...ลูกย่อมรู้ทำเช่นไรใจจึงสะอาด...ใจจึงมีกำลัง...

กระแสเสียงแห่งการสั่งสอนนุ่ม เย็น อ่อนโยนคล้ายสายลมพัดผ่านผิวลำธารใส...เนิ่นนาน กว่าหญิงสาวทั้งสองจะลืมตาขึ้นพร้อมๆ กัน ร่างที่นั่งกลางจึงค่อยๆ ปรากฏกายรางๆ

แม่ขาวจันคือผู้ขอโดยสารรถมาตั้งแต่เมื่อคืน

จุดประสงค์ที่มาก็เพื่อชี้แนะแนวทางให้แก่ปีกแก้วและพันเกลียว...

จริงอยู่ปีกแก้วได้ พลัง แห่งเทพกนกรัศมีคืน และพันเกลียวก็มีวิชาพอตัว...แต่ อำนาจ ของจ้าว รวมกับสมุนอีกเป็นโขยง ไม่ใช่เรื่องที่จะดูแคลนง่ายๆ

หากคิดจะเป็นขุนศึกให้มรรคา สองสาวต้อง เตรียมตัว และแม่ขาวจันมาเพื่อชี้แนะ ทาง เตรียมตัวให้แก่พวกหล่อน...นี่คือเหตุผลที่ทำให้ปีกแก้วต้องพักที่บ้านของพันเกลียว

แม่จะไปแล้วนะ อาคันตุกะนักบุญเอ่ยคำลา หลังจากสั่งสอนแนะนำเรื่องต่างๆ เสร็จสิ้น

ลูกต้องขอขอบพระคุณแม่ขาวมากค่ะ ปีกแก้วประนมมือไหว้

แต่ลูกมีคำถามอยากถามสักข้อ แม่ขาวจะว่าอะไรไหม พันเกลียวเคยพบแม่ขาวจันครั้งเดียวตอนไปวัดกับมรรคา...แรกๆ ที่แม่ขาวจันขอขึ้นรถ หล่อนออกจะแปลกใจแกมระแวง แต่เมื่อรู้เจตนาการมา หล่อนจึงยอมรับและเคารพอย่างเต็มหัวใจ

อยากรู้ว่าเหตุใด ทั้งแม่และหลวงพ่อถึงต้องช่วยลูกๆ ด้วยใช่ไหมจ๊ะ คำถามบอกถึงความรู้เท่าทัน

พันเกลียวก้มหน้ารับด้วยความเกรงใจ

หลวงพ่อท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่...แล้วท่านรู้ดีว่าลูกศิษย์เช่นท่านควรจะชดใช้คุณข้าวสามทัพพีแทนอาจารย์อย่างไร

คำตอบนี้ ก่อให้เกิดปีติ ขนลุกซู่แก่หญิงสาวทั้งสอง

แม่ขาวจันไปแล้ว...ปีกแก้วกับพันเกลียวมองหน้ากัน ฝ่ายแรกขยับตัวก่อน

ลงไปข้างล่างกันเถอะ ปีกแก้วชวน นัยน์ตาซ่อนความขบขัน เดี๋ยวจะมีลูกช้างมาหา

พันเกลียวงุนงง สงสัย อย่างไรเสียหล่อนก็ไม่อาจมีอำนาจรอบรู้ได้กว้างขวางเทียบเท่ากนกรัศมี

ใคร

คนที่ควรสงเคราะห์คนหนึ่ง ปีกแก้วตอบ พร้อมรอยยิ้มปรานีแกมเอ็นดู


คุณสุณียืนหน้ามุ่ยอยู่ตรงประตูบ้านพันเกลียว แดดยามบ่ายแผดแรงจนสาวใหญ่ต้องยกกระเป๋าขึ้นบัง ฝ่ายเจ้าของบ้านเป็นหญิงชรา ใบหน้ายับย่นบอกถึงวัยและความเฉยชา

ยายจ๋า ขอฉันพบอาจารย์หน่อยเถอะ มีเรื่องอยากให้ช่วยจริงๆ

กลับไปเถอะ ยายย้ำคำเดิมๆ

น่ายายจ๊ะ อย่างน้อยก็ไปบอกอาจารย์ท่านทีว่าฉันสุณีมาหา ถึงท่านไม่ต้อนรับก็ไม่เป็นไร

คุณสุณีใช้ความอดทนอย่างยิ่ง พยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อจะมีโอกาสพบพันเกลียว

ไม่จำเป็น คำตอบปฏิเสธดุจเดิม สาวใหญ่เกือบเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ชวนคนแก่ทะเลาะแล้ว ถ้าไม่บังเอิญเห็นร่างขาวๆ เดินออกมาจากประตูบ้าน

นั่นไง อาจารย์ท่านมาแล้ว คุณสุณีดีใจไม่นาน พอเห็นหน้าเจ้าของร่างชัดๆ ก็เกิดความแปลกใจแทนที่

เอ๊...แก้ว เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เสียงถามกึ่งแปลกใจ กึ่งอยากรู้

คุณพันเกลียวบอกให้คุณอาเข้ามาได้ค่ะ ปีกแก้วตัดบทตอบ เพียงเท่านี้คุณสุณีก็หน้าบาน

ปัญหาที่คุณสุณีพามาวันนี้ ไม่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ มีรูปหนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐานมาให้ พร้อมกับคำถามที่ว่า...คนคนนี้เป็นอย่างไร ควรติดต่อคบหาได้หรือไม่

คนนี้ดีค่ะอาจารย์ เขามาติดพันดิฉัน ไม่ได้คิดจะมาปอกลอก หรือชวนไปร่วมลงทุนอะไร ผู้มาถามอธิบายน้ำไหลไฟดับ

ก็รู้จักเขาดีแล้ว จะมาถามทำไม พันเกลียวตอบ เสียงติดจะระอา

แต่ดิฉันยังไม่แน่ใจ

แล้วชอบเขาหรือยัง อาจารย์ ผู้อ่อนวัยกว่าย้อนถาม ปีกแก้วนั่งอยู่ใกล้ๆ แอบยิ้มนิดๆ

เอ่อ...คือ...อยากให้อาจารย์ทำพิธีดูก่อน คุณสุณีตอบอย่างลังเล

พันเกลียวมีสีหน้าเบื่อหน่าย หล่อนเหลือบตามองปีกแก้วนิดๆ ที่จริงหญิงสาวไม่ต้องการต้อนรับคุณสุณีเลย แต่ติดที่ปีกแก้วเป็นคนออกปาก

นัยน์ตาอ่อนใสของปีกแก้วสบกับพันเกลียว และทันใดเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าจู่โจมเข้าสู่ อาจารย์ สาว ริมฝีปากขยับพูดโดยไม่ตั้งใจ แม้จะเป็นเสียงหล่อน แต่ทุกประโยคคำพูดกลับไม่ใช่

ไม่จำเป็นต้องทำพิธีหรอก ในน้ำเสียงเจือความหวานใสอย่างที่พันเกลียวไม่เคยมี

ทำไมล่ะคะอาจารย์ คุณสุณีสงสัย

ในเมื่อเราก็พอใจเขาอยู่ ทำไมไม่ให้เวลาเป็นตัวตัดสินล่ะ...เขาก็คน...เราก็คน คนดูคนทำไมจะดูกันไม่ออก...อายุคุณก็ไม่ใช่น้อย ผ่านคน รู้จักคนมาก็มาก...ใช้สมอง เวลา และประสบการณ์ของตัวเข้าตัดสินพิจารณาเองสิ ทำไมต้องเที่ยวพึ่งสิ่งนอกตัว ซึ่งมันหาสาระอะไรไม่ได้เลย ยิ่งพูด พันเกลียวยิ่งหยุดไม่ได้ หล่อนรู้ว่าเวลานี้ กนกรัศมี กำลังยืมปากหล่อนพูดแทน ให้โอกาสเขาและโอกาสตัวเอง อย่างทัดเทียมกัน ใช้สมองเข้าพิจารณา โดยที่ไม่มีความลุ่มหลงเข้าครอบงำ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เวทมนตร์ใดๆ มันใช้เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวไม่ได้ทั้งนั้นแหละ มันมีได้เสื่อมได้...ใช้สติปัญญาของตัวเองจึงจะดีที่สุด

คุณสุณีตะลึงลาน หล่อนไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จาก อาจารย์ พันเกลียว...หญิงสาวที่ชาวสังคมไฮโซยกย่อง นับถือว่าเป็น แม่มด คนหนึ่ง คำพูดทั้งหมด หล่อนไม่อาจเข้าใจภายในเวลาสั้นๆ แต่ถึงกระนั้นก็รู้ดีว่า อาจารย์ไม่ยอมทำพิธี ดูคน ให้อีกแน่นอน

คุณอาคะ ปีกแก้วปลุกคุณสุณีตื่นจากความงงงัน กลับหรือยังคะ เดี๋ยวแก้วจะเดินไปส่ง

คุณสุณีออกจากห้องรับแขกอย่างลอยๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนกระทั่งมาถึงหน้าประตู หล่อนจึงเห็นผู้มาส่งยืนยิ้มให้ด้วยใบหน้าผุดผาด จนหล่อนอดถามตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมวันนี้ถึงเห็นปีกแก้วสวยกว่าทุกวัน

โชคดีนะคะ ปีกแก้วดึงคุณสุณีมากอด ชั่ววินาทีนั้น สาวใหญ่รู้สึกถึงความปีติที่แล่นพล่านอยู่ทั่วร่าง ขนลุก น้ำตาคลอ...

ลูกช้างกลับไปแล้ว พันเกลียวจึงเดินมาสมทบกับปีกแก้วที่หน้าประตูบ้าน มองท้ายรถที่ขับจากไปด้วยสายตาสงสัย

คุณกำลังทำอะไร พันเกลียวถาม ที่จริงไม่จำเป็นต้องอาศัยปากของฉันเลยก็ได้

ปีกแก้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้าน แดดยามบ่ายทำให้พันเกลียวรู้สึกเหมือนจะมองใบหน้าปีกแก้วได้ไม่ชัดเจนนัก คล้ายมีแสงสว่างสาดกระจายออกมา

คุณพูด เขาอาจฟัง เพราะเขาศรัทธาคุณ แต่ปีกแก้วพูด เขาจะรู้สึกเหมือนถูกเด็กสอน

แล้วคุณช่วยเขาทำไม

เพราะเขาได้ชดใช้มาพอแล้ว ปีกแก้วตอบ

แล้วที่คุณถ่ายทอดทั้งพรและพลังให้เธอ ข้อนี้ที่พันเกลียวติดใจ

ในเมื่ออยู่ในขอบเขตที่เราช่วยเหลือได้ เทพแทบทุกองค์ก็คงทำอย่างฉัน ปีกแก้วยิ้มละไม ปรายตาไปทิศทางที่รถแล่นจาก เขาชดใช้มาพอสมควร เวลานี้น่าจะถึงคราวที่กุศลส่งบ้าง...พรและพลังเล็กๆ น้อยๆ นี้เพียงช่วยกระตุ้นให้ผลบุญที่เธอสร้างสนองตอบเร็วขึ้นเท่านั้น

พันเกลียวถอนใจ ปีกแก้วยังมีคำพูดต่ออีกประโยค

เวลาบนโลกมนุษย์มีน้อยนัก ถ้ามีโอกาสได้สร้างกุศล ก็ควรทำทันที ไม่น่าลังเล

เหมือนเป็นคำพูดที่ใช้สั่งสอน และคล้ายจะบอกลาเป็นนัยๆ พันเกลียวเย็นวาบ จ้องลึกยังดวงตาของหญิงสาวตรงหน้า...ยิ่งนาน ปีกแก้วยิ่งสวย...สวยราวกับไม่ใช่มนุษย์...ชุดขาวยิ่งขับใบหน้าให้ขาวใส...นวลลออ กระจ่างตาดุจแก้วเจียระไนเนื้อดี

พันเกลียวพูดอะไรไม่ออก เหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกตันอยู่ที่ลำคอ...ปีกแก้วสวยเกินไป...สวยจนไม่คู่ควรกับโลก...

 


 

มรรคาก้มกราบพระพุทธรูปตามหลังกลุ่มพระสงฆ์เบื้องหน้า การสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จสิ้นลงแล้ว หลังจากกราบพระ ทุกคนก็กราบหลวงพ่อ จากนั้นเหล่าพระเณรต่างม้วนเสื่อเก็บอย่างเป็นระเบียบ ชายหนุ่มช่วยทำงานโดยไม่ปริปากพูด...

เวลาหลายวันในวัด เขาพูดแทบนับคำได้ แต่น่าแปลก ที่พระเณรในวัดกลับพูดน้อยยิ่งกว่าเขา ทุกองค์ต่างปฏิบัติธรรมกันอย่างเข้มงวด เขาเคยได้ยินเณรในวัดเล่าให้ฟังว่า...หากพระเณรองค์ใดปฏิบัติตัวย่อหย่อน...หลวงพ่อจะตักเตือนและถ้ายังไม่ยอมแก้ไข ท่านก็จะนิมนต์ให้ไปอยู่วัดอื่น

จึงไม่น่าแปลก ที่ขนาดเขาตื่นตั้งแต่ตีสี่ ก็เห็นแสงเทียนจุดไว้ตามหัวท้ายทางเดินจงกรมต่างๆ กันแล้ว แสงเทียนสว่างไสว ราวกับเรือน้อยออกหาปลากลางทะเลมืด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวหลวงพ่อเองกลับปฏิบัติธรรมเข้มงวดกว่าใครๆ กระทั่งบางวัน ท่านไม่ออกบิณฑบาต ไม่ฉันอาหาร...ก็เณรองค์เดิมอีกนั่นแหละ กระซิบบอกเขาว่า ท่านกำลังเร่งความเพียร...

พระเณรแยกย้ายกลับตามกุฏิของตัว หลวงพ่อเดินมาหา...คืนนี้ท่านต้องมีเรื่องพูดกับมรรคาแน่นอน เพราะมันคือคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่ในวัด

ตามไปที่กุฏิด้วยนะ ท่านสั่งสั้นๆ


ทางเดินน้อยถูกเงาไม้ทอทาบเป็นเงาดำกลางจันทร์กระจ่าง...คืน ๑๔ ค่ำ พระจันทร์ใกล้เต็มดวงทอแสงสว่างไสว หนึ่งพระหนึ่งฆราวาสเดินตามกันโดยแทบไม่ต้องใช้ไฟฉาย รอบด้านมีแต่ความมืดและเงียบสงบ สาวเท้าเพียงชั่วครู่ก็ถึงกุฏิหลวงพ่อ

มรรคาจุดตะเกียง ไขไส้ให้สว่าง จนมองเห็นภายในกุฏิชัดเจน ห้องหลวงพ่อมีเพียงกลดแขวนลงมาจากเพดาน พระพุทธรูปหน้าตักไม่กว้างนัก สถิตอยู่บนหิ้งบูชา และต่ำลงมาเป็นรูปหลวงปู่ใหญ่ใส่กรอบเก่าคร่ำคร่า...เท่านั้น...ไม่มีสิ่งใดบอกถึงยศศักดิ์ ตำแหน่ง ไม่มีของใช้ใดมากเกินกว่าอัฐบริขารที่พระพุทธองค์กำหนด

พรุ่งนี้จะปล่อยเขาแล้วใช่ไหม หลวงพ่อถาม

ครับ

ผลการปฏิบัติหลายวันมานี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ

เหมือนกำราบหมาบ้าให้สงบครับ มรรคาอธิบายตามความรู้สึก บางครั้งมันก็สงบดี บางครั้งก็พลุ่งพล่าน กระโดดโลดเต้นไม่หยุด บางครั้งเราฉุดมันได้ แต่บางทีมันกลับลากเราไปโดยไม่รู้ตัว

ใบหน้าหลวงพ่อสงบใส ดั่งสายน้ำบนยอดเขา นัยน์ตาทอดมองมาแจ่มจ้ากระจ่าง

เรื่องพรุ่งนี้มั่นใจแค่ไหน ท่านถาม

การปล่อยจ้าว...ผมมั่นใจไม่มีปัญหา แต่เรื่องหลังจากนั้น...ผมไม่มั่นใจ เขาตอบตามตรง

จะให้ช่วยอะไรไหม คำถามสั้นๆ แต่ทำให้มรรคาเต็มตื้นขึ้นมาในหัวใจ...ท่านพูดเพียงหกคำ แต่นั่นเปรียบเสมือนทางชนะของเขาถึงร้อยเปอร์เซ็นต์...ถ้าเพียงเขาออกปาก ขอสิ่งที่ทรงมหิทฤทธิ์ มีพลังอำนาจสูงสุดสามารถปราบปรามปิศาจทั้งปวง หรือแม้กระทั่งนิมนต์ท่านออกหน้า...มีหรือ จ้าว จะกำแหงได้

แต่สิ่งที่มรรคากระทำ มีเพียงคำพูดประโยคเดียว...

ผมให้สัจจะไปแล้ว จะสู้ด้วยสองมือและหนึ่งปัญญา

หลวงพ่อมิได้กล่าวคำใด กระทั่งสีหน้าก็ไม่แสดงความรู้สึก แต่มรรคาเข้าใจ สิ่งที่ท่านกำลังจะมอบให้เขาต่อไปนี้...มันมีค่าสูงสุด ยิ่งกว่าสิ่งวิเศษใดๆ

 


 

เบื้องหน้าพันเกลียวคือตั่งบูชาพระพุทธรูป และต่ำลงมาคือพานทองเหลืองคลุมผ้าแพร วางไว้ด้วยมีดอาคม พันเกลียวกำลังนั่งคุกเข่า พนมมือ หลับตา หล่อนสวดมนต์ด้วยจิตทรงสมาธิมั่น ทุกถ้อยคำ อักขระชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน หล่อนต้องสวดพระคาถา ชินบัญชรให้ครบเก้าร้อยเก้าสิบเก้าจบ เพื่อเพิ่มอำนาจแห่งมีดให้ทรงอานุภาพยิ่ง...นี่เป็นการแนะนำของแม่ขาวจัน...อีกไม่กี่รอบจะครบแล้ว...อีกไม่นาน จะถึงกำหนดนัด...

ปีกแก้วยึดห้องโล่งที่พันเกลียวเคยใช้ทำงานเป็นที่พัก...หล่อนนั่งขัดสมาธิ สองมือวางปลายเข่า นัยน์ตาหลับสนิท แสงสว่างกระจางเรืองรอบตัว...ใบหน้าขาวนวลยิ่งดูใส...ลออ...งามยิ่ง ร่างทั้งร่างเปล่งประกายจนราวกับจะหายไปในความพร่างพราย กระทั่งเส้นผมก็ดูใส...ใสจนเหมือนจะแลทะลุได้

กับเทพ...การบำเพ็ญเพียร รักษาศีล และเจริญภาวนา เป็นวิธีสร้างสมบารมีอันเอกอุ...กนกรัศมีย่อมรู้ดี ยิ่งได้รับการชี้แนะจากแม่ขาวจัน ยิ่งทำให้ใจใสมองเห็นแก่นแท้การปฏิบัติชัดเจนขึ้น

พรุ่งนี้จะถึงกำหนดนัด...

 


 

รู้ไหม...เพียงคำว่า ปัญญา มันกินความหมายถึงที่ใด หลวงพ่อเริ่มต้น ปัญญามีตั้งแต่ระดับพื้นฐานของมนุษย์ทั่วไป ใช้ในการเรียนรู้ ดำรงชีวิต จนกระทั่งถึงปัญญาระดับสูง ที่รู้จักมีหิริโอตตัปปะ รู้บาปบุญ คุณโทษ กระทั่งถึงที่สุด ปัญญาที่ใช้ขจัดกิเลสอาสวะ ทำนิพพานให้แจ้ง ในขั้นโลกุตตรธรรม

มรรคาก้มหน้า ซึมซาบทุกคำพูด

ถามตัวเอง ถ้าจะใช้ปัญญาเอาชนะ จะใช้ปัญญาระดับใด

ชายหนุ่มไม่ตอบ ห้วงสมองเขาเวลานี้ ไม่มีความคิดใดเข้ามาแผ้วพาน

คำว่ามรรคา แปลว่าเส้นทาง การลงมาเกิดเป็นมนุษย์ของทิชาเทพครั้งนี้ ได้กำหนดเส้นทางเดินของตัวเองไว้แล้ว...ว่าจะทำอะไร ลงมาเพื่ออะไร...แล้วทิชาเทพเคยถามตัวเองไหมว่า...จะเอาชนะอย่างไร

ไม่เคย...มรรคาตอบอย่างมั่นใจ...ทิชาเทพหลงกลจ้าว ถึงยอมกล่าววาจานั้นออกมา...แม้ขณะขอจุติลงมาจากสวรรค์ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาชนะอย่างไร

...ถ้าไม่คิดเอาชนะ ก็มีแต่ทางแพ้ และเมื่อแพ้...ต้องยามเป็นทาสมันตลอดหนึ่งกัป...สมควรหรือไม่...

มองเห็นความผิดพลาดของตัวเองแล้วหรือยัง หลวงพ่อถาม และไม่ได้รอคำตอบ เมื่อผิดแล้ว ไม่ควรผิดซ้ำ มองหาเหตุแห่งความผิดในครั้งก่อน แล้วนำมาแก้ไขในปัจจุบัน

คราวนี้มรรคาค่อยกล้าเงยหน้าขึ้นมองหลวงพ่อ เขากล้ายอมรับข้อบกพร่องของตน และมองหาเหตุแห่งความผิดพลาดครั้งนั้นจนพบ

เพราะอัตตา เพราะใจที่หยิ่งผยอง ลำพองในศักดิ์แห่งเทพของตนจนขาดสติ...ไม่มีสติ ความพลาดพลั้งย่อมเกิดง่ายดาย

ผมมีเรื่องอยากกราบเรียนให้ช่วยเหลือ มรรคาพูดออกมาแล้ว ถ้าหลวงพ่อจะกรุณา ผมอยากทราบ อดีตชาติ ของจ้าว...อยากรู้ว่าเหตุใด จ้าวจึงเป็นอยู่เช่นปัจจุบัน

ริมฝีปากหลวงพ่อแย้มออกมานิดๆ มรรคาจับทางถูกแล้ว...การรู้เขารู้เรา...ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ทุกครั้ง แต่มันก็ย่อมทำให้...หนทางพ่ายแพ้ลดน้อยลง...

 

 

 

 


๒๑

 

 


แดดลำสุดท้ายกำลังสั่งลาต่อขอบฟ้า อาทิตย์อัสดงระบายสีแก่โลก ก่อนราตรีกาลจะเข้ามาครอบครอง นกฝูงใหญ่บินตัดผ่านที่ดินโล่งกว้างจนไปถึงแนวไม้ที่เห็นเป็นทางสีดำ ท่ามกลางสนธยา

มรรคานั่งอยู่ริมถนนไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง กิริยาสงบเฉยเหมือนรูปปั้น นัยน์ตาคมดุ จ้องไปยังความเวิ้งว้างข้างหน้า แดดอัสดงฉาบไล้เสี้ยวหน้าเขาดูราวสำริด อีกไม่นานจะถึงเวลาเปิดทวารอาคม จิตใจเขาสงบยิ่ง ไม่มีความตื่นเต้น หวาดหวั่น

ขณะเขานั่งมองขอบฟ้า จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งยืนตระหง่านเงื้ออยู่ใกล้ๆ มรรคายังคงเฉย ไม่แม้แต่จะเหลือบแล...อีกฝ่ายดูเหมือนต้องการประลองความใจเย็น จึงยังไม่แสดงท่าทางใดๆ แต่อากัปกิริยาคุกคามมิได้ลดน้อยลง

ทว่า...มรรคาทำท่าเสมอดังไม่มี มัน อยู่ในที่นั้นเลย

มันทนไม่ได้ จึงยอมเอ่ยปากออกมา

ถ้าข้าบอกว่า อีกะพ้อสามารถหลุดจากตรวนอาคมได้ โดยไม่จำเป็นต้องปล่อยจ้าว เอ็งจะเชื่อหรือไม่ ขนาดรู้ว่าพูดกับเทพมันยังกล้าใช้สรรพนาม เอ็ง

จ้าวให้มาต่อรองหรือเป็นความคิดของเอ็ง มรรคาย้อนถาม ไม่มองหน้า นัยน์ตาไม่แสดงอารมณ์

เอ็งไม่ต้องรู้ แค่ตอบคำถามข้าก็พอ คำพูดของมันเร่งเร้า คล้ายใจกำลังระแวง

ปิศาจอย่างเอ็ง คงไม่มีวันรู้จัก คุณธรรม เสียงมรรคาเรียบนิ่ง ราวพูดกับท้องฟ้าและอาทิตย์อัสดง และหนึ่งในคุณธรรมที่เทพต้องพึงรักษาคือ สัจจะ

มัน จากไป มรรคาไม่ใส่ใจว่าเหตุใดมันถึงมาพูดเช่นนี้ สำหรับเขา มีเพียงเรื่องเดียวที่ต้องกระทำคือเปิดทวารอาคม ปล่อยจ้าวออกมา

อาทิตย์ลาโลก เหลือเพียงแสงเรืองๆ จับขอบฟ้า มรรคาลุกขึ้น สาวเท้าสู่ดงไม้...รอยต่อระหว่างกลางวันและกลางคืน เป็นช่วงเวลาที่เขาจะสามารถผ่านไปสู่ดินแดนต้องมนตรา...ดินแดนที่เขาใช้อาคมปกปิดไว้จากสายตามนุษย์... แนวสีดำของดงไม้กระจ่างตา มรรคาก้าวเดินด้วยความรู้สึกดุจเดิม

 


 

เตรียมตัวได้แล้ว ปีกแก้วมองฟ้าแล้วบอกกับพันเกลียว

สองสาวเดินเข้าบ้าน ท้องฟ้าเป็นสีครามจัด ดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น เห็นเพียงดาวบางดวงสุกสกาว... ยายมองตามหลังสองร่างชุดขาวแล้วนึกภาวนา ขอให้ปลอดภัย...ทั้งที่ส่วนลึกกลับวูบหวิวเหมือนกำลังจะสูญเสียบางสิ่ง

เทียนสองดวงจุดสว่าง ปลายธูปส่องแสงสีแดงๆ ควันลอยเป็นสาย กลิ่นมะลิปนกลิ่นธูปหอมตลบทั้งห้องพระ ปีกแก้วนั่งขัดสมาธิ ปลายหัวเข่าชนกับพันเกลียว นัยน์ตาหญิงสาวสุกสว่างปานดวงดาวในคืนแรม ร่างใสเหมือนกำลังฉายรัศมี

ทำสมาธิอย่างที่คุณเคยทำ ปีกแก้วบอกต่อพันเกลียว การช่วยเหลือมรรคาครั้งนี้ ไม่สามารถเดินทางด้วยกายมนุษย์ได้ เพราะทิชาเทพปิดป่าแก่สายตาผู้คน ทางเดียวที่จะไป...ต้องใช้...กายทิพย์

พันเกลียวรู้จำคำว่า กายทิพย์ ดี...แต่หล่อนไม่เคยฝึกถอดกายทิพย์ ไม่รู้กระทั่งวิธีฝึก...

ปีกแก้วบอกว่า...จิตที่ฝึกฝนมาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว หากจะนำไปใช้งานด้านอื่นๆ ย่อมไม่ยากเกินกำลัง...อย่าว่าแต่มี กนกรัศมี เป็นผู้นำทาง

การเดินทางเริ่มต้น ปีกแก้วยิ้มให้พันเกลียว แล้วพูดประโยคสุดท้ายก่อนหลับตา...

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น...ฉันขอฝากพี่มัคด้วย

พันเกลียวขยับปากจะเอ่ยถาม แต่หญิงสาวไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว ดวงตาคู่สวยหลับลง ใบหน้าสว่าง พันเกลียวจึงสูดลมหายใจลึกๆ สะกดกลั้นความคิดฟุ้งซ่านที่กำลังประเดประดังลงไป กำหนดนิมิตเปลวไฟ แล้วเพ่งจนจิตเป็นสมาธิ...จากนั้นสุดแต่เทพกนกรัศมีจะนำทาง

 

 


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP