วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๒๖


โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


มรรคานอนเหยียดขาบนเตียง มือประสานที่หน้าอก กำหนดลมหายใจช้าๆ จนจิตใจผ่อนคลาย หลังเขาฟื้นความทรงจำ ได้พบกับเรื่องราวหลายอย่างจนตั้งตัวแทบไม่ติด ยิ่งรู้ว่าต้องแบกรับผลการกระทำของตนในอดีตทำให้เขาอึดอัดใจไม่น้อย

ทิชาเทพเป็นเงาเบื้องหลังของมรรคา เรื่องราวของเทพองค์นั้น จบลงตั้งแต่ขอจุติเป็นมนุษย์ แต่ผลของการกระทำยังไม่สิ้นสุด กรรม ยังคงติดตามมาไม่ว่าเขาจะระลึกชาติได้หรือไม่

การจดจำอดีต มีทั้งผลดีและผลเสีย...

เขาสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจพิสูจน์ได้ แต่ถึงอย่างนั้น มีบ่อยครั้งที่เขาคล้ายจะมีสองร่างในคนคนเดียวกัน...ทิชาเทพกับมรรคามีสภาพแวดล้อมแห่งภพชาติการเกิด และความเป็นอยู่ล้วนต่างกัน...จะอย่างไรก็ไม่อาจเหมือนกันทุกกระเบียดได้

เช่น...เรื่องการกินอยู่...

ตั้งแต่เล็กจนโต มรรคากินข้าวปลาอาหารเหมือนคนธรรมดาโดยไม่รู้สึกอะไร แต่พอคืนความเป็นทิชาเทพเขากลับขยะแขยงเนื้อสัตว์ อาหารที่เคยกินในความรู้สึก มันก็คือซากศพดีๆ นี่เอง ไม่ว่าจะเอามาปรุงแต่งอย่างไร...มันก็ยังเป็นเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิต เทพผู้คุ้นเคยต่ออาหารทิพย์ ย่อมไม่คิดลิ้มรสซากปฏิกูล

สิ่งที่พอฝืนกล้ำกลืน มีแต่ผลไม้ ผักแล้วก็ข้าว...มรรคาไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่...

เย็นมากแล้วเมื่อมรรคาได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้าน เจ้าชัยคงกลับจากไปรับคุณแม่บ้านใหญ่ กลางคืนเขาจ้างพยาบาลพิเศษให้เฝ้าปีกแก้ว จึงไม่น่ามีปัญหาอะไร...หลายวันมานี้เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน

ชายหนุ่มหลับตาอย่างเพลียๆ นึกถึงกำหนดเวลาที่บอกไป นึกถึงวิญญาณสองดวงที่ถูกกักขัง และนึกหาวิธีรับมือกับจ้าว...ยิ่ง นึกถึง เขายิ่งเหนื่อย ยิ่งเหมือนถูกจับกดอยู่ในโลกแคบๆ มองซ้ายมองขวาพบแต่กำแพงทึบตัน

มีเสียงฝีเท้าเบาๆ เดินมาหยุดหน้าประตูห้อง ตามด้วยเสียงเคาะประตู

เชิญ เขาพูดทั้งๆ ที่ไม่ได้ลืมตา...คงเป็นเจ้าชัย ไม่ก็ป้าแฉล้ม

เขาได้ยินเสียงประตูเปิด น่าแปลกที่ใจอันเหนื่อยล้ากลับสดชื่นขึ้น สมองโล่งเบา คล้ายมีลำแสงชอนไชเข้ามาขับไล่ความมืดและเยือกเย็น

มรรคาลืมตา ยันกายช้าๆ เขาไม่ได้เปิดไฟ เย็นย่ำเช่นนี้ บริเวณประตูห้องน่าจะเป็นส่วนที่อยู่ในเงามืดมากที่สุด แต่มรรคากลับมองเห็นร่างที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างถนัดชัดตา

หญิงสาวร่างโปร่งบาง เส้นผมหยักเป็นลอน ทิ้งยาวเกือบถึงกลางหลัง ใบหน้านวลแอร่ม รอยยิ้มสว่างไสว มรรคามองเห็นรายละเอียดชัดราวกับร่างนั้นฉาบแสงเรืองๆ ออกโดยรอบ

ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างเผลอไผล หัวใจกระตุกวูบ เหมือนได้พบของรักที่ทำสูญหายเสียนาน

แก้ว เสียงเขาไม่เกินกระซิบ ฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกพี่

หญิงสาวไม่ตอบ หล่อนใช้การเดินเข้ามากอดเขาเป็นการทักทาย มรรคารู้สึกถึงแรงกอดนั้นช่างแนบแน่นมั่นคง เสมือนจะไม่ยอมพรากจากเขาไปไหนอีกแล้ว


ที่โต๊ะอาหารค่ำเรียงรายด้วยชามกับข้าวควันกรุ่น หอมฉุย เจ้าของบ้านทั้งสองเพิ่งนั่งเก้าอี้ เจ้าชัยก็ตักข้าวให้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนแม่ครัวใหญ่ยืนอธิบายฝีมือทำอาหารของตนด้วยเสียงแจ่มใส

วันนี้ป้าเลือกแต่กับข้าวของโปรดคุณแก้วทั้งนั้นเลยนะคะ ปูผัดผงกะหรี่ ไก่ทอด ต้มยำกุ้ง... อาหารที่จาระไนมาราวจะให้กินได้ทั้งกองทัพ

นี่ต้มยำสูตรพิเศษของป้า ไม่เหมือนใคร เพราะเพิ่มกุ้งให้มากกว่าคนอื่นอีก

ปีกแก้วยิ้มพลางส่งสายตานุ่มนวลให้คนพูด มรรคาหน้าตาสดใสดุจไม่มีความกังวลใดๆ

แค่ได้ยินชื่อก็อิ่มแย่แล้วจ้ะป้า หล่อนพูดโดยพยายามไม่มองกับข้าวสุดฝีมือของแก แต่วันนี้แก้วอยากกินสลัดผักฝีมือของป้าจังเลย...อย่าโกรธแก้วนะจ๊ะ

ป้าแฉล้มหน้าเสีย มองคุณๆ ทั้งสองอย่างงุนงง กึ่งน้อยใจ

อีกคนแล้ว...พอคุณมัคฟื้นก็ขอกินแต่ผลไม้ นี่คุณแก้วก็อยากกินแต่ผักอีก เพิ่งออกจากโรงพยาบาลแท้ๆ น่าจะกินอาหารที่บำรุงร่างกายนะคะ

ปีกแก้วยิ้มให้แม่ครัวอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีใครทนใจแข็งพอจะขัดขืนได้

ค่า...า แกแกล้งลากเสียงยาวอย่างประชดประชัน

ของฉันด้วยนะ มรรคากล่าวเสริมไล่หลัง ป้าแฉล้มกระฟัดกระเฟียดเข้าครัว ไม่วายพึมพำว่า...สงสัยอาหารชั้นดีของแกคงต้องปล่อยให้บูดเสียหมดแล้วกระมัง

มรรคากับปีกแก้วมองตากัน คล้ายมีสิ่งโยงใยผูกพัน ลึกลงในใจ มรรคาตอบไม่ถูกว่าเพราะอะไร เขาถึงเห็นปีกแก้วเปลี่ยนแปลง ราวกับไม่ใช่น้องสาวคนเดิมของเขา...หญิงสาวตรงหน้ายิ้มแก้มใส นัยน์ตากระจ่างดั่งดวงดาว และกิริยาท่าทางช่างคุ้นตาเหลือเกิน...เพียงแต่ว่านี่ไม่ใช่ท่าทางอันเคยชินของปีกแก้ว


ป้าแฉล้มกำลังล้างจานด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ส่วนเจ้าชัยนั่งกินอาหาร ชั้นดี ที่มีล้นเหลือบนโต๊ะอย่างปรีดิ์เปรม เสียงจานกระทบกันดังก๊องแก๊ง เหมือนล้างอารมณ์เจ้าตัวไปด้วย

เบาๆ ก็ได้ป้า เดี๋ยวจานชามก็แตกหมดหรอก เจ้าชัยเสนอหน้ามาเตือน

มึงไปไกลๆ กูเลยไอ้ชัย คนกำลังอารมณ์ไม่ดี ป้าแฉล้มหาที่ด่าจนได้

โธ่ป้า ฉันอุตส่าห์เตือนดีๆ นา เดี๋ยวถ้าจานแตกไปจริงๆ ป้าจะยิ่งเสียอารมณ์กว่านี้

ไอ้ชัย ป้าแฉล้มตวาดแว้ด มึงไม่ต้องมาแช่งกู

ฉันหวังดีจริงๆ นา...ป้า แค่คุณๆ ท่านอยากกินสลัดขึ้นมาป้าก็โมโหไปได้

ก็ข้าน้อยใจนี่หว่า เสียงคุณแม่บ้านติดงอนๆ อุตส่าห์ตั้งใจทำกับข้าวให้คุณๆ ตั้งหลายอย่าง นี่อะไรเกิดไม่อยากกินสักอย่าง

แหม...ป้าก็...ฉันก็ช่วยกินแทนให้แล้วนี่ไง อร่อยจะตาย มีมากกว่านี้ฉันก็กินหมดน้า... เจ้าชัยทำหน้าทะเล้น

เอ็งน่ะมันลิ้นจระเข้ ท้องยัดทะนาน มีเท่าไหร่ก็หมดวะ ป้าบ่น แต่ก็น่าแปลกใจเรื่องคุณๆ เขานี่หว่า

เรื่องที่คุณๆ เขากินแต่ผักผลไม้กันน่ะเหรอ พอเสียงป้าแฉล้มอ่อนลง เจ้าชัยก็โผล่ออกความเห็น

เออว่ะ มึงสังเกตมั้ย ตั้งแต่คุณมัคหายเจ็บ แกไม่แตะต้องเนื้อสัตว์เลย นี่คุณแก้วอีกคน

ป้าแฉล้มไม่กล้าเล่าเหตุการณ์ประหลาดก่อนปีกแก้วจะฟื้นให้ใครฟัง แกคิดเองว่าอาจตาฝาดเพราะดูทีวีมากไป อีกทั้งช่วงเวลานั้นก็สั้นๆ ไม่กี่วินาที

สงสัยพร้อมใจกันกินมังสวิรัตินั่นแหละป้า ไม่เห็นแปลกเลย คนเขากินกันตั้งแยะ

แล้วมึงไม่ได้สังเกตอีกเรื่องหรือไง ป้าแฉล้มวางมือจากจาน หันมามองเจ้าชัยด้วยแววตาแปลกๆ

อะไรหรือป้า เจ้าชัยก็สงสัยท่าทางป้าแฉล้ม

คุณแก้วน่ะสิ แม่บ้านใหญ่พูดออกมาแล้ว แกสวยขึ้นมาก จนเหมือนไม่ใช่ตัวแกงั้นแหละ

หลานชายหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลก คุณแก้วเขาก็สวยอยู่แล้วนี่ป้า ฉันไม่เห็นแปลกอะไรเลย

ไม่ใช่อย่างนั้น แม่บ้านเม้มริมฝีปาก พูดอย่างครุ่นคิด ถ้ามึงสังเกตดีๆ นะ นอกจากคุณแก้วจะสวยขึ้นจนดูผิดหูผิดตาแล้ว ท่าทางของแกก็เรียบร้อย มีราศียังไงพิกล ดูเป็นผู้หญิงเต็มตัว ไม่เห็นเหมือนแต่ก่อน ส่วนคุณมัคเองก็เถอะ ดูแล้วรู้สึกยังไงก็บอกไม่ถูกว่ะ

เรื่องคุณแก้วฉันไม่ทันสังเกตหรอกนะป้า แต่คุณมัคน่ะฉันเชื่อ ตั้งแต่แกอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ดูเหมือนแกจะมีอำนาจน่าเกรงขามขึ้น ธรรมดาฉันก็กลัวแกอยู่แล้วนา...คราวนี้ยิ่งกลัวแกหนักขึ้น แต่ไอ้กลัวก็ส่วนกลัวหรอกนะป้า...ถ้าป้าใกล้ชิดคุณมัคเหมือนฉันนะ ป้าจะรู้สึกว่าแกอบอุ่นยังไงบอกไม่ถูก อยู่ใกล้ๆ แล้วรู้สึกปลอดภัย...สบายใจเหมือนมั่นใจว่าแกคุ้มครองเราได้

เจ้าชัยหยุดคำอธิบายอันยืดยาว ป้าแฉล้มตกอยู่ในความคิดอันน่าฉงนของตัวเอง...แกกำลังไตร่ตรองว่าควรเล่าเรื่องที่เห็นให้หลานชายฟังหรือไม่ บางทีแกอาจมีเพื่อนช่วยออกความเห็นบ้างก็ได้

และที่สุด...แกก็ตัดสินใจเล่าออกมา


มรรคาก้มลงกราบพระพุทธรูปบนโต๊ะหมู่บูชาเสร็จแล้ว นั่งพับเพียบ สายตามองรูปหลวงปู่ใหญ่...รำลึกในอดีตของทิชาเทพ ทำให้เขารู้ว่า นอกจากท่านจะช่วยเขายามตกเป็นเชลยของจ้าวแล้ว ยังชี้แนะแนวทางบางอย่างให้ หลังจากเขาขังจ้าวและไปนมัสการกราบขอบคุณท่านที่กลดกลางป่าใหญ่

ท่านพูดสั้นๆ แต่จนบัดนี้ เขายังไม่อาจเข้าใจ

ถ้าหากคิดว่ามีแพ้มีชนะ...เราเองยังต้องเป็นหนึ่งในสองอย่างนี้อยู่ร่ำไป

เวลานั้นทิชาเทพได้สร้างภาระใหญ่หลวงให้กับตัวเอง แต่เทพเช่นเขาไม่อาจถอยหลัง จำต้องกัดฟันเดินหน้ายอมทิ้งวิมาน ความสุขทั้งหลายในสรวงสวรรค์ รวมถึงหญิงอันเป็นที่รัก เพื่อลงมากระทำตามสัจจะ

เขาทำเช่นนี้แล้วได้อะไรขึ้นมา...คำตอบคือไม่...เขาก็ยอมรับว่าตนเองพลาดที่หลงกลยั่วยุของจ้าว เมื่อพลาดแล้วจำต้องแก้ไข ไม่ยอมให้ผิดซ้ำซากอีก

มีเวลาไม่ถึงเก้าวัน เขาจะเอาอะไรไปสู้กับจ้าว มรรคาลดสายตาจากภาพมามองมือของตน ทิชาเทพขาดสติหรือไม่ ที่กล้ากล่าวว่า..ด้วยสองมือและหนึ่งปัญญา จะเอาชนะจอมปิศาจเช่นจ้าว มรรคาตอบไม่ได้ และคิดว่าทิชาเทพก็ไม่มีคำตอบ

...ถ้าไร้อำนาจฤทธาแห่งเทพแล้ว... มนุษย์เช่นเขาจะทำอย่างไร...

มรรคาเงยหน้าสบพระเนตรองค์พระพุทธรูป...แล้วคำถามหนึ่งผุดขึ้นมา...พระพุทธองค์ใช้สิ่งใดบ้างชนะมาร...ใช้เพียงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อย่างเดียวหรือไม่

ยังไม่ทันได้คำตอบ บานประตูห้องพระก็เปิดออกอย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มเหลียวหลังเห็นปีกแก้วก้าวเข้ามาช้าๆ ท่าทางนุ่มนวล งดงาม มือปิดประตูตามหลัง แล้วคุกเข่าคลานเข้ามาหา มรรคาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาจากร่างหญิงสาว เป็นกลิ่นหอมแปลกๆ ที่คุ้นความรู้สึกเขาเหลือเกิน

มาไหว้พระหรือจ๊ะ เขาทักถาม หญิงสาวยิ้ม หันหน้าไปทางพระพุทธรูป คุกเข่าราบ แล้วก้มลงกราบด้วยท่าทีถูกต้องที่ปีกแก้วไม่เคยปฏิบัติได้เหมือน...มรรคาหรี่ตาลง กิริยาที่เห็น สะกิดใจเขาอีกแล้ว

กราบพระเสร็จหญิงสาวพับขาหันมาคุยกับเขา

คุณพันเกลียวเป็นยังไงบ้างคะ

มรรคาอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้รับคำถามนี้

ยังไม่ดีเลย ชายหนุ่มตอบตามตรง

มีดเล่มนั้น ปีกแก้วปรายตาไปยังตั่งข้างกระถางธูปที่มรรคาวางมีดไว้ พี่มัคได้จากบ้านเธอหรือคะ

ใช่ เขาตอบท่าทางลังเล ชัยบอกแก้วหรือ

มีดเล่มนั้น นอกจากจะลงกฤตยาคมไว้แรงกล้า ยังมีอำนาจปราณเข้มแข็ง

มรรคานิ่งงัน จ้องมองหญิงสาวเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน ชั่วครู่เขาสะกดใจ ไหล่ตั้งตรง นัยน์ตาราบเรียบทรงอำนาจ ถามช้าๆ น้ำเสียงห่างเหิน

คุณ...เป็นใคร

คำตอบของปีกแก้วคือการชูมือขวาขึ้น และใช้มืออีกข้างถอดแหวนที่นิ้วนางออก ก่อนจะสอดกลับมายังนิ้วนางข้างซ้าย...

มรรคารู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราด ใจกึ่งสับสน กึ่งยินดี เขาจ้องใบหน้าหญิงสาวแน่วนิ่ง แล้วคล้ายมองเห็นเงารางๆ ซ้อนเข้ามา เป็นใบหน้าที่งดงามเกินพรรณนาของใครคนหนึ่งซึ่งตอกตรึงฝังแน่นอยู่ในใจทิชาเทพ...

กนกรัศมี เขาครางแผ่วๆ น้องเองหรือ

เขาพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่จริงควรรู้มานานแล้วว่า เทวนารีเช่นหล่อน...ไม่ยอมทิ้งเขาแน่นอน...

น้องสิงอยู่ในร่างปีกแก้ว...หรือว่า...

เขาหลุดคำถามไปอีกคำ แล้วเบิกตาโต

น้องคงไม่อาจใจแข็ง ทนเห็นพี่มาตกระกำอยู่บนโลกมนุษย์เพียงผู้เดียวหรอกค่ะ คำพูดนี้ยืนยัน หล่อนอยู่เคียงข้างเขามาตลอด

สองฝ่ายนิ่งงัน ยากจะหาวาจามากล่าว...จนที่สุด มรรคาจึงหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ที่หลุดมาเพื่อข่มกลั้นความตื้นตัน...ซาบซึ้งใจ

ปีกแก้ว...หรือกนกรัศมีก็ตาม ยื่นมือกุมมือเขาแน่น กระแสใจหลั่งไหลถ่ายทอดแทนคำพูดนับร้อยนับพัน ดวงตาสองคู่สบกันสื่อถึงแรงปีตินับอเนกอนันต์...ใครจะเชื่อ ท่ามกลางความเงียบและสงบเช่นนี้ ถึงกับมีดนตรีแห่งรักอันยิ่งใหญ่ บรรเลงกึกก้องในดวงใจทั้งสองดวง

เวลาล่วงผ่าน หากสีสันของช่วงเวลางดงามยังมิจืดจาง...มรรคา หรืออาจเป็นทิชาเทพเอ่ยถาม

น้องไม่รู้หรือว่า การที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์แล้ว หากจะกลับสู่สวรรค์อีกมันไม่ใช่เรื่องง่าย

ในเมื่อพี่ก็รู้เช่นนี้ เหตุใดจึงยังลงมา คำถามกลับทำให้อีกฝ่ายเงียบงัน น้องเพียงกระทำตามสัตย์ที่เราให้ไว้ต่อหน้าองค์พระเกศจุฬามณีเท่านั้น

ทิชาเทพขยับมือเกลี่ยเส้นผมนางอันเป็นที่รัก ประกายตาหวาน...คำมั่นนั้นเขาจดจำขึ้นใจ...

...ครั้งที่พระพุทธองค์ทรงขึ้นไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาบนสรวงสวรรค์ ปวงเทพมากมายต่างเข้าร่วมฟังธรรม...ทิชาเทพและกนกรัศมีเองก็เช่นกัน เพียงแต่ทั้งคู่สร้างสมภูมิธรรมบารมีมาน้อย จึงไม่อาจบรรลุมรรคผลเช่นเทพองค์อื่นๆ แต่ถึงกระนั้นก็ได้น้อมรับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งสูงสุดในใจ

ยามพระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลก เทพทั้งสองได้ไปกราบบูชานมัสการองค์พระเกศจุฬามณี ตั้งจิตอธิษฐานร่วมกัน...วันนั้นมีปวงเทพมานมัสการกันมากมาย รัศมีของเหล่าเทพสว่างเรืองรุ่งแข่งกับแสงสีแห่งแก้ว ๗ ประการที่ประดับรายรอบเจดีย์ กลิ่นดอกไม้หอมบูชาลอยอบอวล เสียงสวดมนต์บูชาพระพุทธคุณกังวานแว่ว...

สองเทพก้มกราบแล้วกล่าวคำอธิษฐาน...

ข้าน้อยทั้งสอง ขอยึดเอาไตรรัตนะเป็นที่พึ่งสูงสุด...จะขอส่งเสริมซึ่งกันและกันให้สร้างสมบารมี ความดีให้สูงๆ ขึ้นไป จะร่วมเดินทางในวัฏสงสารร่วมกัน โดยมิยอมทอดทิ้ง ไม่ว่าจะกี่ชาติ กี่ภพก็ตาม...มิยอมให้จิตใจหันเหไปสู่ทางที่ชั่วเด็ดขาด สามารถยกระดับภูมิธรรมแห่งตนให้พ้นทุกข์ ขึ้นสู่พระนิพพานได้ในที่สุดเทอญ...

น้ำเสียงยังแว่วกังวานก้องอยู่ในโสตประสาทเหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านชั่วครู่...

มรรคาคลี่ยิ้มแล้วคลายมือออก ถึงขั้นนี้คงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกต่อไป...มีเทพองค์ใดบ้างเล่าที่จู่ๆ อยากลงมาจุติเป็นมนุษย์ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงวาระแห่งตน การเกิดเป็นมนุษย์ย่อมลืมเลือนอดีตชาติ กรรมดีที่หลงเหลือ อาจส่งผลให้เกิดในตระกูลดี ความเป็นอยู่ดี...ส่วนกรรมชั่วที่รอโอกาส ก็จะส่งผลให้เกิดความทุกข์แสนสาหัสเช่นกัน

ที่สำคัญ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ โอกาสสร้างกุศลมีมากพอๆ กับอกุศล...ความไม่แน่นอนคือสัจจะแห่งวัฏสงสาร ใครจะยืนยันได้ว่าเทพที่มาเกิดเป็นมนุษย์จะไม่มีโอกาสสร้างกรรมชั่วอย่างหนัก จนต้องตกลงในอบายภูมิ เพราะอย่างไรก็มีแต่อริยบุคคล หรืออริยสงฆ์เท่านั้น ที่สามารถปิดประตูอบายภูมิจนสนิทแน่น

ทั้งทิชาเทพและกนกรัศมีเองก็ไม่มั่นใจ แม้ได้กล่าวอธิษฐานจิตแล้วก็ตาม...แต่ถึงกระนั้น ทั้งคู่ก็ยังลงมา...องค์แรกลงมาเพราะสัจจะ ส่วนอีกองค์ลงมาเพราะความรัก

เป็นความรักที่ไม่ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม

ปีกแก้วหยิบมีดที่อยู่บนตั่งข้างกระถางธูปมาประคองอย่างเคารพ

น้องคงพอช่วยพันเกลียวได้ หญิงสาวเสนอตัว มรรคาพยักหน้านัยน์ตาสงบ นิ่งลึก

เช่นนั้นพี่ก็วางใจ เขารู้...นอกจากระลึกชาติได้แล้ว ปีกแก้วยังได้ พลัง เทวะของกนกรัศมีกลับคืนมาด้วย ต่อไปพี่จะได้เตรียมตัวสักที

พี่จะไปที่ใด หลุดคำถามแล้วคำตอบกลับกระจ่าง ใบหน้าหญิงสาวสงบจำยอม

คืนเพ็ญที่จะถึงเป็นวันที่พี่ต้องปล่อยจ้าว ก่อนเผชิญหน้ากับมัน พี่ต้องหาสถานที่เตรียมตัวรับมือ

น้องจะจัดการเรื่องด้านหลังให้เรียบร้อยเอง น้ำเสียงใส หนักแน่น

มือใหญ่กุมมือเล็กข้างที่สวมแหวนแนบแน่น แววตาเขาคือแววตาของชายที่ใช้มองหญิงผู้รู้ใจหนึ่งเดียวในชีวิต...


พันเกลียวเริ่มมีกำลังขึ้น การสวดมนต์ซ้ำไปซ้ำมา กับการพยายามสงบจิตใจให้ดิ่งลึกเป็นสมาธิ ทำให้กำลังแห่งจิตที่กระสานซ่านเซ็นเริ่มรวมตัว แม้จะใช้อิทธิวิธีใดๆ ไม่ได้ แต่พอจะมองเห็นทางรอดในอนาคต

กะพ้อแขวนร่างอยู่เช่นเดิม ลอยไปมาตามจังหวะรากไม้ เสมือนคนที่ไม่อาจกำหนดชะตากรรมตนเองได้ นัยน์ตาหล่อนหลับสนิท จิตใจมีเพียงภาพบุคคลเดียว...เห็นแล้วพันเกลียวอดถอนใจไม่ได้ หล่อนทั้งสงสารและหดหู่ใจต่อหญิงสาวคนนี้ กะพ้อไม่ได้ถูกขังด้วยอาคมเช่นจ้าว...หล่อนเพียงตกเป็นทาสตามพิธีกรรมผูกตรวนอาคมแทนทิชาเทพเท่านั้น...ต่อให้จ้าวปล่อยหล่อนเป็นอิสระ แต่กะพ้อยังไม่อาจหลุดพ้นจาก ทาส ได้...หล่อนถูกหัวใจของตัวเองกักขังมานานแล้ว...ความรักที่หล่อนมีต่อทิชาเทพ เป็นพันธนาการที่เหนียวแน่นยิ่งกว่ามนตราใดๆ ทั้งปวง...รัก...โดยไม่อาจรู้ว่าเขามีใจต่อตนหรือไม่

พันเกลียวไม่มีเวลาเห็นใจกะพ้อนานนัก หล่อนหลับตาลงอีกครั้ง พยายามรวบรวมจิตให้เป็นสมาธิ ความหวังพอเห็นอยู่รำไร หล่อนไม่ยอมทิ้งโอกาสเด็ดขาด


คุณมัคจะไปไหนคะ ป้าแฉล้มถามเมื่อเข้ามาทำความสะอาดห้องมรรคาตอนเช้าแล้วพบชายหนุ่มกำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้า

ไปต่างจังหวัด เขาตอบพร้อมมองหญิงอาวุโสด้วยแววตาประหลาด คงไปหลายวัน ขอบใจมากนะป้าที่ช่วยดูแลฉันกับแก้วมาตั้งหลายปี

เขาพูดเรียบๆ แฝงความนัยจนอีกฝ่ายผิดสังเกต

คุณมัคอย่าพูดอย่างนี้สิคะ ป้าแฉล้มหวั่นใจโดยไม่ทราบสาเหตุ มันไม่ดี

มรรคาแตะไหล่แกเบาๆ แม่บ้านใหญ่รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน

รักษาความดีของป้าไว้นะ แววตามรรคาอ่อนโยนลง จนแกอยากเอ่ยปากถาม แต่มีเสียงดังขัดจากเบื้องหลัง

ป้าจ๋า เสียงหวานๆ ของปีกแก้ว ป้าแฉล้มรู้สึกเหมือนนัยน์ตาจะพร่าด้วยแสงสว่าง

ปีกแก้วอยู่ในชุดขาว ใบหน้านวล กระจ่างตา...ขณะถูกประกบด้วยหนุ่มสาวทั้งสอง ป้าแฉล้มรู้สึกราวกับตัวเล็กจนเกือบเท่ามด

เช้านี้มีอะไรทานบ้างจ๊ะ

หลายอย่างค่ะ ป้าเตรียมเผื่อไว้ คุณแก้วจะได้เลือก

ขอโทษนะจ๊ะ แก้วทำให้ป้าต้องลำบากแย่

ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณแก้วอยากกินอะไร ป้าหามาให้ได้ทั้งนั้น ป้าแฉล้มไม่ใช่คนน้อยใจนานนัก

เดี๋ยวป้าลงไปจัดโต๊ะให้ก่อนนะคะ...อ้อ คุณมัคจะรับอาหารเช้าพร้อมคุณแก้วเลยไหมคะ

มรรคาพยักหน้ารับ นัยน์ตาเลยไปยังหญิงสาวที่อยู่หน้าประตู ชั่วเวลานั้น...ป้าแฉล้มเห็นแววตาที่ชายหนุ่มมองปีกแก้วอย่างชัดเจน...มันไม่ใช่แววตาเดิมที่ พี่มัค มีให้ต่อน้องน้อย แม้นัยน์ตายังคงความอบอุ่น นุ่มนวล แต่ทว่ามีความอ่อนหวานละมุนละไมที่มรรคาไม่เคยมีให้ใครในชีวิต...

ลับร่างป้าแฉล้ม ชายหนุ่มจึงพูดเป็นงานเป็นการ

พี่จะให้ชัยไปส่งที่ออฟฟิศก่อน แล้วค่อยพาแก้วไปบ้านพันเกลียวนะ เขาจำเป็นต้องสะสางงานที่คั่งค้างช่วงนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล และมอบหมายงานระหว่างที่ไม่อยู่...เขาจำเป็นต้องกระทำตามสัญญาของทิชาเทพก็จริง...แต่มรรคาก็มีหน้าที่รับผิดชอบต่อหลายชีวิตในบริษัทและโรงงานของเขา

ค่ะ หญิงสาวรับคำหนักแน่น

เสร็จจากสะสางงาน พี่คงต้องไปก่อน เขาเสริม

ค่ะ หล่อนรับคำอีกครั้ง สถานที่ที่เขาจะไปหล่อนรู้จักดี

พี่อยากจะห้าม มรรคาพูดช้าๆ ไม่ให้น้องติดตามพี่ไป...แต่ก็รู้ว่า...ไม่มีประโยชน์

ปีกแก้วไม่โต้ตอบ นัยน์ตาที่สบต่อชายหนุ่มมีความมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว สองร่างยืนห่างกันแค่คืบ ไม่มีการพูดจา เพียงภาษาแห่งสายตา และหัวใจ ต่างสื่อสารกันเกินพอแล้ว...


ปีกแก้วรับธูปที่จุดเรียบร้อยมาจากชัย แล้วยกขึ้นประนม กล่าวคำสวดในใจสองสามคำ ปักธูปและก้มกราบ พอถอยห่างออกมา หญิงสาวพบสายตาสองคู่แลตรงมาด้วยความหมายแตกต่าง...ดวงตาหญิงชรา มีความไว้ใจและเชื่อมั่น ดวงตาเจ้าชัย มีแต่ความสงสัย ไม่แน่ใจ

ชัย...ออกไปข้างนอกก่อนก็ได้ ปีกแก้วบอกเบาๆ แต่ชัดเจน เด็กหนุ่มรับคำก่อนทำตาม

หญิงสาวมองยายด้วยแววตาปรานี ยายนั่งดูที่มุมห้องก็ได้นะจ๊ะ ถ้าเห็นอะไรก็อย่าเพิ่งสงสัย

ยายรับคำ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเคยพบความมหัศจรรย์มาไม่น้อย...ถ้าไม่ใช่จากพ่อของพันเกลียว ก็ตัวพันเกลียวเอง ดังนั้นต่อให้เห็นสิ่งแปลกๆ หล่อนก็สามารถระงับใจได้

พันเกลียวนอนราบอยู่หน้าโต๊ะหมู่ ศีรษะหันไปทางองค์พระพุทธรูป มือทั้งสองถูกจับให้ประสานไว้บนหน้าอก ปีกแก้วประนมมือคุกเข่าอยู่ด้านข้างร่างไร้สติ มีดลงอาคมสอดไว้ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ นัยน์ตาหลับสนิท ริมฝีปากขยับพึมพำ รัวเร็ว จนไม่อาจจับสำเนียงได้

ไม่นานหญิงชราต้องตะลึงลาน หล่อนแน่ใจว่าต่อให้เห็นสิ่งประหลาดใดๆ ก็ไม่ทำให้ตื่นเต้นง่ายๆ แต่ครั้งนี้หล่อนกำลังพิศวง เพราะร่างหญิงสาวที่กำลังทำพิธีเริ่มเปลี่ยนไป แสงสีเหลืองอ่อนค่อยๆ ห่อหุ้มหล่อนไว้ จากนั้นใบหน้าและรูปร่างพลันแปรเปลี่ยน ยายตอบไม่ถูกว่าจะใช้คำใดมาพรรณนาหญิงสาวที่เห็นอยู่ในขณะนี้

สวย’ ‘งดงาม...แต่ละคำล้วนไม่อาจถ่ายทอดแทนความงามของหญิงสาวที่ปรากฏได้เลย ความงดงามของหล่อนกอปรกับราศีที่ฉายโชน ทำให้เหมือนกับว่าหล่อนไม่อาจมีอยู่จริงในโลก...เป็นความงามที่ธาตุหยาบๆ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ของมนุษย์ ไม่สามารถสร้างสรรค์ออกมาได้

แสงสีเหลืองอ่อนขับร่างหญิงงามให้เด่นโพลน ขณะที่มีดในร่องมือกำลังส่องแสงสีเขียวบาดตา มือที่ประนมเปลี่ยนมาจับปลายมีด แล้วค่อยๆ สอดด้ามมีดลงระหว่างมือที่ประสานอยู่บนอกของพันเกลียว

รังสีมีดกระจาย จัดจ้า ครอบคลุมร่างของพันเกลียว จากนั้นแสงสีเหลืองอ่อนจากหญิงสาวก็คลี่ทับลงมาอีกชั้น ห้องพระทั้งห้องสว่างจ้า พันเกลียวจะกลับมาอย่างไร

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP