สารส่องใจ Enlightenment

ไม่ต้องกลัวตาย


enlightenment

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


ร่างกายสังขารอันนี้กรรมดีกรรมชั่วมันตกแต่ง
ทีแรกคนเราก็ทำกรรมดีกรรมชั่วนั้นแหละ ในชาติก่อนนู้น
พอตายลงกรรมดีกรรมชั่วที่ตนทำในชาตินั้น
มันก็นำดวงจิตวิญญาณมาเกิดในชาตินี้นี่
รูปร่างกายอันนี้ก็กรรมดีกรรมชั่วแต่งให้ จึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าเราไปแต่งเอาได้ตามประสงค์เมื่อไหร่เล่า
ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อเกิดขึ้นมามีรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
ก็กรรมที่ทำนั่นแหละมันตามรักษาอยู่
ถ้าผู้ใดเห็นแจ้งอย่างว่านี้แล้ว มันก็ไม่หวั่นไหวนะ
ถ้ากรรมตายมาถึงกันแล้ว ทำยังไงมันก็ตาย
ถ้าหมดบุญหมดกรรมที่ทำมาแล้ว มันก็ตาย
ถ้าบุญกรรมยังไม่หมดก็ยังไม่ตาย

มันนึกได้อย่างนี้ มันรู้ได้อย่างนี้แล้ว
มันก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวต่อภัยอันตรายใดๆ
เพราะว่าถึงจะกลัวมันก็ไม่ฟัง ไม่มีอะไรจะต้านทานได้
ไอ้ความกลัวน่ะมันทำให้เกิดความทุกข์ใจเสียเปล่าๆ
ถ้าไม่กลัวแล้ว มันไม่เป็นทุกข์ใจ
เอ้า จะเอาทางไหนตอนนี้ เอาทางกลัวหรือว่าเอาทางไม่กลัว
ก็ต้องถามตัวเอง ทุกคนก็คงเอาทางไม่กลัวนั่นแหละ
เพราะเมื่อมันไม่กลัวแล้ว มันก็ไม่ทุกข์ใจ มันเป็นอย่างนั้น
ถ้ากลัวแล้วมันเป็นทุกข์ใจ มันเดือดร้อน
ไม่มีสติ คนเราถ้ากลัวมากๆ เข้าไปนะ
ควบคุมจิตไม่ได้ จิตก็เลื่อนลอยไปทั่วแล้วตอนนี้นะ
ไปเกาะไปข้องอะไรต่ออะไรสารพัด

นี่เพราะฉะนั้นเราต้องหัดไว้ หัดนึกถึงความตายไว้
จนว่ามันเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ให้มันสะดุ้งหวาดกลัวเลยต่อความตาย
นี่จนมันเห็นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่เสมอๆ อย่างนั้นละ
แล้วมันก็เป็นอุบายคลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าไปในตัว มันเป็นอย่างนั้น
ถ้าหากว่าไม่หมั่นนึกถึงความตายบ่อยๆ จิตนี่มันจะหวงขันธ์ห้าอยู่
มันจะสำคัญว่าขันธ์ห้านี่ยังไม่แตกยังไม่ดับ ยังจะอยู่ยั่งยืนไป
อะไรทำนองนี้นะ มันจะสำคัญอยู่อย่างนั้น
ถ้ามานึกถึงความตายบ่อยๆ ก็ โอ้ ความตายนี่มันมี
ระหว่างความตายกับความเป็นอยู่นี่ มันมีลมหายใจเป็นสัญลักษณ์
ถ้าลมหายใจยังปรากฏอยู่ก็แปลว่ายังไม่ตาย
แต่ถ้าลมหายใจนี่หมดลงเมื่อใดแล้ว ก็เป็นอันว่าตาย
นี่แหละเราต้องพิจารณาทั้งสองทางเลย


sathu2 sathu2 sathu2


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP