เข้าครัว Lite Cuisine

น้ำหวานปั่นดับร้อน



พิมพการัง

 

ยามบ่าย อากาศในวัดป่าร้อนระอุ
ไอผะผ่าวรวมกับละอองฝุ่นที่ม้วนตัวขึ้นจากพื้นดินชวนให้อึดอัด
ครูบากายตักทรายใส่บุ้งกี๋ไปพลาง เช็ดเหงื่อตามหน้าผากไปพลาง

ครูบากายเป็นพระหนุ่มวัยยี่สิบห้าปีที่เพิ่งบวชได้ไม่ถึงเดือน
ก่อนหน้านี้ท่านเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์เกือบจบอยู่แล้วเชียว
แต่ด้วยความเป็นหนุ่มเลือดร้อนมุทะลุ จึงเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

โยมแม่ของท่านเล่าว่ากายเขาเป็นคนเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก
ก็ลูกชายคนเดียวนี่นะ ขออะไรก็ไม่เคยขัด ใช้เงินเปลืองก็ไม่ว่า
นี่อยู่ๆ เขาก็ไปมีเรื่องที่มหาวิทยาลัย ต่อมาก็อกหัก แล้วก็เมาขับรถชน
ตัวเองก็เจ็บเพิ่งรักษาหายนี่เอง หยุดเรียนนานก็ต้องดร็อปไปเลยทั้งปี

บางเสียงว่าเพราะเข้าเบญจเพสจึงเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้
แต่หลายเสียงก็ว่าเป็นเพราะอารมณ์ร้อนๆ แรงๆ ของเขาด้วย
เมื่อพื้นอารมณ์ร้อนนัก มีสิ่งเพิ่มอุณหภูมิอีกนิดเดียวปรอทก็แตก
ไหนๆ ก็ว่างอีกหลายเดือนกว่าจะขึ้นปีการศึกษาใหม่อยู่แล้ว
ที่บ้านจึงลงความเห็นว่าขอให้กายบวชดีกว่า ช่วยทั้งเรื่องอารมณ์
แถมได้ทำบุญใหญ่แก้อาถรรพณ์ด้วย แปลกใจเหมือนกันที่เขายอมโดยดี

จากหนุ่มสำอางแต่งหล่อตามแฟชั่น ก็เหลือเพียงครองผ้าย้อมฝาดสามชิ้น
เคยนอนเกือบสว่างตื่นบ่ายๆ ก็กลายเป็นนอนดึกตื่นก่อนรุ่ง
เคยสบายอยู่แต่ในห้องแอร์ ก็กลายเป็นอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานหนักทั้งวัน
งานก่อสร้างก็ต้องทำ กิจของสงฆ์ก็มาก ไหนจะต้องฝึกภาวนาอีก
ครูบากายนึกถึงคำที่หลวงปู่สอน เสมอๆ ว่า

อย่าคิดแยกว่านี่งานทางโลก นี่ทางธรรม มันอยู่ด้วยกันนี่แหละ
พวกที่ถึงเวลาทำงานก็ปล่อยใจลอยไปตามประสาโลกๆ
แล้วต้องหาเวลาลางานมาอยู่วัดถึงจะปฏิบัติได้นี่ไปไม่ถึงไหนหรอก
ดูอย่างเราบวชมาตั้งนานก็ยังไม่เคยทิ้งโลกไปไหน
ก็ยังทำงานรับใช้โลกควบคู่กันไปด้วย
ถึงเวลาทำงานก็ทำให้เต็มที่ ใจอยู่กับงาน อยู่กับคำบริกรรม
กลางคืนเป็นเวลาของเราอยากจงกรมนั่งภาวนาเท่าไรก็ทำไป สิ


ครูบากายตื่นตั้งแต่ตีสี่มาทำกิจของสงฆ์ เสร็จแล้วช่วยงานก่อสร้าง
ปลูกและดูแลต้นไม้ ทำความสะอาดวัด และอื่นๆ อีกมาก
หลังสี่ทุ่มจึงเข้าที่เดินจงกรมสลับกับนั่งสมาธิ แล้วค่อยเพิ่มเวลาเรื่อยๆ
จนกลายเป็นตีหนึ่งตีสองจึงจำวัด หลับวันละสองถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น
แปลกดีที่ร่างกายกลับสดชื่น กว่าสมัยที่นอนวันละแปดชั่วโมงเสียอีก
ทั้งที่กาย(เนื้อ)ลำบากขนาดนี้ แต่ทำไม(พระ)กายกลับดูสงบเย็นลงได้

ญาติๆ ออกปากทักว่าเขาดูอดทน มีวินัยมากขึ้น บ่นน้อยลง
เรียกร้องน้อยลง ดูสงบและมีความสุขได้ง่ายๆ เย็นขึ้นสมใจญาติโยมจริงๆ
สมาชิกหลายคนในครอบครัวไม่รู้จักวัด ไม่รู้จักการภาวนามาก่อนเลย
หลายคนถามตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้
คำตอบมีเพียงรอยยิ้มเย็นๆ ตอบกลับว่าโยมต้องฝึกทำเองสิ แล้วจะรู้
ไม่นานนักเริ่มมีญาติๆ ตามมาตักบาตร ฟังเทศน์ จนเริ่มขอฝึกจงกรม
จากแค่พระลูกชายหนึ่งองค์ ก็กลายเป็นทั้งครอบครัวตามมาวัดกันหมด

วัดป่า ช่างเหมือนโรงเรียนหลังใหญ่ที่ฝึกอบรมผู้คนได้ไม่รู้จักจบ
มองแล้วก็ได้ แต่อัศจรรย์ใจในพลานุภาพแห่งพระรัตนตรัย
บอกตัวเองว่าจะไม่ให้แรงของพ่อแม่ครูอาจารย์ต้องสูญเปล่า
เร่งภาวนา หมั่นพิจารณา อบรมตัวเองเพื่อเป็นอาจาริยบูชานะคะ


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


อากาศร้อนนัก เรามาทำน้ำปานะหวานๆ เย็นๆ ชื่นใจถวายพระกันดีไหมคะ

ส่วนผสม (สำหรับ ๑๐ ที่โดยประมาณ)
- น้ำหวานเข้มข้น ๑ ขวด เช่น น้ำเขียว น้ำแดง สตรอเบอรี่ หรือน้ำองุ่นก็ได้
แต่น้ำผลไม้ผลใหญ่ๆ(มหาผล) เช่นสับปะรด หรือแตงโมไม่ได้นะคะ
เพราะผลไม้ผลใหญ่จะกลายเป็นอาหารแทน ใช้เป็นน้ำปานะไม่ได้ค่ะ
- ชีส ๑ ก้อน เลือกซื้อชนิดที่ไม่มีคำว่า Cream หรือ Butter นะคะ
ปรกติที่นิยมใช้กัน คือชนิดที่ห่ออยู่ในกล่องกระดาษสีน้ำเงินค่ะ
- น้ำแข็งทุบละเอียด
- น้ำสะอาด

วิธีทำ
. นำชีสมาปั่นละเอียดกับน้ำสะอาด ๑ แก้ว (ราวๆ ๒๕๐ ซีซี)
เราจะนำชีสปั่นส่วนนี้มาใช้แทนนมข้นหวานค่ะ
ทำให้น้ำปานะของเรามีรสชาติดีขึ้นมาก แถมให้พลังงานมากด้วยนะคะ
. ผสมน้ำหวานหนึ่งขวดกับน้ำเปล่าในอัตราส่วนราวๆ ๑:๓
. นำส่วนผสมที่ได้จากข้อหนึ่งและข้อสองมาปั่นกับน้ำแข็ง
แล้วแต่อยากได้ความหวานและข้นมากน้อยเท่าใด
ระวังอย่าปั่นนานเกินไป จนน้ำแข็งละลายเป็นน้ำหมดนะคะ
ดูง่ายๆ ว่าน้ำแข็งดูตั้งยอดคล้ายๆ ไอศกรีมก็ใช้ได้กำลังดีแล้วค่ะ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP