โหรา (ไม่) คาใจ Astro FAQ

ทุกข์นักหนาเพราะมานะมาก (ภาค ๒)


Astro FAQ

โดย Aims Astro

ถาม - ดิฉันทำทานรักษาศีลและปฏิบัติสมาธิมาหลายปี ตลอดเวลาคิดว่าตัวเองเป็นคนดีไม่เบียดเบียนใคร คนรอบข้างก็ยกย่องว่าเป็นคนมีธรรมะในหัวใจ แต่หลังๆ มาสังเกตเห็นว่าจริงๆ แล้วดิฉันมีความคิดไม่ดีเกิดขึ้นบ่อย เห็นข้อเสียของผู้อื่นได้ง่ายมากและนึกตำหนิในใจ ไม่ได้พูดออกมานะคะ แถมเมื่อไหร่ที่ต้องแพ้ใครสักคนขึ้นมา ก็จะเสียใจนาน อยากเอาชนะให้ได้ ปล่อยวางไม่ลงเลย พยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง และหาข้อเสียของอีกฝ่ายเพื่อให้ดิฉันรู้สึกดีขึ้น แต่ถ้ามีคนที่เดือดร้อนแล้วมาขอให้ช่วย ดิฉันกลับช่วยเต็มที่จริงๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นด้านมืดของตัวเองเสมอๆ จนชักจะทุกข์มากขึ้นทุกที แล้วก็สงสัยว่าที่ทำบุญมานาน ไม่ช่วยให้นิสัยดีขึ้นเลยหรือคะ

ความเดิมจากตอนที่แล้ว ทุกข์นักหนาเพราะมานะมาก (ภาค ๑)

ตามที่ปรากฏในบทความภาค ๑ ว่าแท้ที่จริงแล้วการหันมาสนใจเข้าวัดทำบุญ ประกอบกุศล อาจจะไม่ได้ทำให้กิเลสแบบโลกๆ ลดลงเลยก็ได้ มิหนำซ้ำอาจเพิ่มพูนให้หนาหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย เพราะคนที่ศึกษาธรรมะแล้วไม่รู้เท่าทันกิเลส มานะอัตตาจะพอกพูนขึ้น เห็นข้อเสียหรือจุดด้อยของคนรอบข้างแทบทุกคน บางทีก็ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ (T.T) เพราะคิดว่าตัวเองมีธรรมะ ย่อมดีกว่าคนอื่น ซึ่งก็คือ ความหลงตัวเอง ค่ะ เรื่องนี้ถ้าเจ้าตัวเห็นทันก็นับว่ามีบุญ ได้มีโอกาสใช้ปัญญาทุบทำลายมานะให้ลดน้อยลงไป คนที่อยากจะพ้นทุกข์ต้องดูตรงนี้ให้มาก เพราะยิ่งทำบุญที่ไม่ใช่บุญสายปัญญา มันก็จะยิ่งพอกพูนความรู้สึกว่า เราดีกว่าใคร ไปเรื่อยๆ ค่ะ

เรื่องความรู้สึกว่าเรามีดีกว่าใคร กลับเป็นทุกข์อย่างหนึ่งของลูกค้าบางท่านค่ะ เพราะคิดว่าคนอื่นต้องเห็นความสำคัญของตนเอง โดยเฉพาะคนใกล้ชิดที่ได้รับการคาดหวังสูงว่าจะต้องให้คุณค่าแก่เราเป็นอันดับต้นๆ ยกตัวอย่างลูกค้าหญิงที่มักทะเลาะกับคนรัก ความสัมพันธ์กระเสาะกระแสะ เวลามีเรื่องกันทีไรเธอจะรอให้อีกฝ่ายมาง้อก่อน ซึ่งถ้าเลิกแบกมานะที่มันหนักในอก แล้วเป็นฝ่ายง้อซะเองก็ไม่ต้องทุกข์ใจนาน เพราะบางทีเขาอาจไม่ว่างมาง้อเพราะยังติดธุระ (หรือช่วงนี้ก็อาจกำลังดูบอลโลกอยู่ - -‘) ไม่เฉพาะความสัมพันธ์ฉันคนรัก แต่ทุกๆ ความขัดแย้งเลยค่ะ ถ้าเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมลดมานะลง เริ่มต้นเอ่ยปากขอโทษหรือโอภาปราศรัยก่อน ความคับข้องต่างๆ จะคลี่คลายลง แต่ด้วยรู้เท่าไม่ทันมานะในใจตน หลายคนต้องสูญเสียสิ่งมีค่าในชีวิตไปเพราะเรื่องที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นเรื่อง

ใครที่มีความทุกข์เพราะรู้สึกว่าคนอื่นไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ดิฉันจะสัพยอกว่าเป็น “VIP Syndrome” (อาการอยากเป็นคนพิเศษมาก) บางคนถ้าได้เป็นฝ่ายชนะ มีคนให้เกียรติยกย่องแล้วก็จะมีความสุข ในขณะเดียวกันถ้ามีใครมาทาบรัศมีก็จะนึกไม่พอใจ หรือพยายามเปล่งประกายสู้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่นการหาข้อเสียของเขา เพื่อให้ตัวเองสบายใจว่าเรายังเหนือกว่าในบางเรื่อง (แต่อกุศลที่หนาแน่นในใจตัวเองยังมองไม่เห็น) ลองสังเกตนะคะ ถ้ามีก็จะรักษาได้ทันท่วงทีค่ะ (^_^*)

ว่าแล้วก็ขอหยิบยกคำสอนของคุณดังตฤณ ในเรื่องของการฝึกมีสติรู้เท่าทันความลำพองใจ
(ทั้งหมดในบทความนี้ที่เป็นตัวอักษรเอียงในเครื่องหมายคำพูด คือข้อความของคุณดังตฤณค่ะ)

"การที่เรามีความฮึกเหิมอะไรขึ้นมาเนี่ย มันต้องรู้ตัวให้ทัน มันต้องมีสติให้ได้นะ
ว่าเออนี่มันฮึกเหิมขึ้นมาแล้ว ตอนนี้มันเกิดความลำพองขึ้นมาแล้ว
พอลำพองหรือฮึกเหิมเนี่ย แล้วเราสังเกตดูอาการของใจเนี่ย
มันก็จะแล่นไป แล่นไปตามความโลภ แล่นไปตามความโกรธ แล่นไปตามความเกลียด
แล่นไปตามอคติ แล่นไปตามความรู้สึกว่าเรามีดีกว่าใคร
เราเหนือกว่าใคร เราไม่อยากฟังใคร เราไม่ต้องฟังใคร
สุดท้ายเนี่ย มารู้ตัวอีกทีมันก็เห็นตัวเองค่อยๆ ลาดลงต่ำ ลงสู่ที่มืดนะ"

การมีมานะมากแล้วต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ นั้น นับเป็นความน่ากลัวอย่างยิ่งนะคะ เพราะในชาติก่อนถ้าทำบุญมามาก แน่นอนว่าชาติใหม่ย่อมพร้อมด้วยศักยภาพในการทำบาปใหญ่หลวง ในโลกนี้เราคงจะได้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ ว่าบางคนมีพร้อมทั้งทรัพย์สิน ชื่อเสียง อำนาจ แต่แทนที่จะนำสิ่งที่มีมาสร้างประโยชน์ ต่อเติมบุญที่ตนเองได้ทำไว้ ตรงกันข้ามเลยค่ะ กลับนำมาใช้สนองมานะอัตตาตนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ บางคนถึงกับไม่สนใจในวิธีการว่าจะก่ออกุศลผลเสียขนาดไหน ซึ่งผลที่ตาเนื้อของมนุษย์มองเห็นได้ ยังไม่เท่ากับผลกรรมที่เจ้าตัวจะต้องรับต่อๆ ไป ชีวิตในสังสารวัฏก็เป็นเช่นนี้นะคะ เดี๋ยวขึ้นสูง เดี๋ยวลงต่ำ ทั้งหมดนี้เป็นความน่าสงสารและน่ากลัวค่ะ เพราะทุกคนที่ยังเป็นปุถุชน ถ้าเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ วันใดวันหนึ่งเราก็อาจพลาดพลั้ง จนต้องตกนรกอันทรมานนานอนันต์

"คนเราเนี่ยที่ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ ขึ้นสูงบ้าง ลงต่ำบ้าง ก็เพราะอย่างนี้แหละ
พอลงต่ำมันก็อยากขึ้นสูงนะ มันก็พยายามตะเกียกตะกาย
พอขึ้นสูงได้มันก็ลืมตัว แล้วก็หลงไปทำอะไรที่เป็นเหตุให้เกิดอาการลาดลงต่ำอีก
อย่างนี้ ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้แล้วๆ เล่าๆ"

ถามว่าแล้วถ้าเราไม่อยากเป็นแบบนี้ ควรจะทำยังไง คำตอบก็คือถ้ากรรมดำทำให้เราประสบกับความทุกข์ ความไม่สมหวังนานาประการ ในขณะที่กรรมขาวนำความสุขความสมหวังในโลกมาให้ แต่ก็ยังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ดี ดังนั้นความสุขอันเที่ยงแท้และปลอดภัยจริงๆ ต้องเกิดจากกรรมไม่ดำไม่ขาว ซึ่งจะทำให้เราเหนือบุญเหนือบาปอย่างแท้จริง

ลูกค้าบางท่านทำทานมากด้วยใจปีติอย่างสูง รักษาศีลได้ดี แล้วก็เปิดเผยว่าคิดว่าตัวเองรอดแล้วเพราะทำบุญไว้เยอะ ตรงนี้ต้องเตือนๆ กันไว้ด้วยนะคะ ว่าขนาดพระพุทธเจ้าทรงมีพระบารมีมากมหาศาล ยังถูกพระเทวทัตปองร้ายหลายครั้ง ถูกพวกนอกศาสนาร่วมมือกับนางจิญจมานวิกาใส่ร้ายป้ายสี ฯลฯ หรือพระโมคคัลลานะผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เลิศในทางฤทธิ์ บรรลุอภิญญาใหญ่ ก็ยังไม่พ้นวิบากไม่ดีจากบุพกรรม ต้องถูกโจรทุบตีจนกระดูกป่นเท่าเมล็ดข้าวสาร ก่อนท่านจะถึงซึ่งอนุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานที่ปราศจากขันธ์ ๕) ทั้งพระพุทธองค์และพระอัครสาวกฝ่ายซ้าย ทั้งสององค์นี้มีบารมีและประกอบกุศลมากกว่าเรามากนัก ท่านก็ยังต้องพบเรื่องราวที่เกิดจากกรรมไม่ดีอันเคยกระทำไว้ เพราะฉะนั้นใครที่ยังเป็น พ่อ/แม่บุญหลาย ยังไม่ใช่ พ่อ/แม่บุญรอด รอดพ้นจากเภทภัยในสังสารวัฏ จึงต้องทำกรรมไม่ดำไม่ขาวให้มากเพื่อให้คุ้มกับที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาค่ะ

"ถ้ามีชาติไหนชีวิตไหนเราสามารถที่จะเจริญสติ แล้วก็รู้
ว่าทั้งไอ้ความรู้สึกหลงตัว ทั้งไอ้ความรู้สึกแย่ๆ กับตัวเอง
จะปมเด่นหรือปมด้อยก็ตามเนี่ย มันแค่ของหลอก ให้เราทำอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง
ตามอำนาจกิเลส กิเลสอยากใฝ่ดี หรือว่ากิเลสอยากใฝ่ต่ำ
เมื่อไหร่เราเจริญสติเห็นว่า ไอ้ทั้งใฝ่ดี ทั้งใฝ่ต่ำเนี่ย
ทำให้จิตสว่างบ้าง มืดบ้าง เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้างเนี่ยนะ
มันไม่มีความคงเส้นคงคงวา มันไม่เที่ยง แล้วเราไม่ยึดถือมั่น
ทั้งไอ้ที่มันสว่าง ทั้งไอ้ที่มันมืด ว่ามันเป็นตัวเรา พอไม่ยึดแล้วทั้งสองตัว ทั้งไอ้ตัวมืดทั้งตัวสว่าง
ในที่สุดเราก็อยู่เหนือบุญเหนือบาป ไม่ติดในบุญ ไม่เหลิง แล้วก็ไม่อวดดีในบุญ
แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่ไปหลงยึด หรือว่าไปหลงผสมโรง ไปตามใจอารมณ์ที่มันเป็นบาป

อย่างนี้ที่เขาเรียกว่าเหนือบุญเหนือบาป
เหนือบุญเหนือบาปได้ มีทางเดียวมันต้องมีความเข้าใจ หรือว่ามีพุทธิปัญญา
การมีปัญญาเนี่ย มันต้องเห็นตัวเองเป็นขณะๆ
เมื่อไหร่ฮึกเหิมขึ้นมา รู้ตัวนะ แล้วเมื่อไหร่ที่มันรู้สึกแย่ลงไป ก็รู้ตัวอีก
รู้ตัวว่ามันเป็นแค่ภาวะหนึ่งของจิต เป็นแค่ภาวะชั่วคราว แป๊บๆ เดี๋ยวมันก็กลายเป็นอื่นนะ
พอรู้ตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดแล้ว จิตก็ไม่ยึด ทั้งฝ่ายบุญฝ่ายบาป
มันอยู่เหนือบุญเหนือบาปเนี่ย มันก็กลายเป็นจิตที่ใส จิตที่สว่าง เป็นพุทธิปัญญา"

สุดท้ายนี้ขอฝากหลักสังเกตง่ายๆ ในชีวิตประจำวันที่ลองใช้กับตัวเองบ้าง เก็บมาจากคนรอบข้างบ้างนะคะ เช่น การเขียนข้อความใน facebook แล้วมีคนมากด like ถ้าสังเกตทันเราจะเห็นใจพองๆ ของตัวเองค่ะ (ถ้ารอสักสิบนาทียังไม่มีใคร like หรือเขียนตอบ ก็ชักเริ่มไม่มั่นใจซะแล้ว คราวหน้าต้องเขียนให้ดีกว่านี้ให้ได้ - -!) หรือถ้าไปตอบกระทู้พันทิปแล้วมีคนมาเห็นด้วย เราก็จะเป็นสุข ปลื้มไม่เสร็จ ยิ่งได้กีบ (gift) เยอะๆ ยิ่งสุดปลื้ม แตกต่างกับตอนที่มีคนมาคัดค้าน จะฮึดฮัดในใจ ซึ่งตรงนี้เป็นธรรมดาของคนเรานะคะ แต่ถ้าเห็นได้จะได้เจริญสติ รู้เท่าทันมานะทั้งที่คิดว่าตัวเองดีและด้อยในใจตนค่ะ ^^


: )

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับ ท่านที่สนใจดูดวงกับคุณ Aims Astro สามารถดูรายละเอียดเพิ่ม เติมได้ ตามลิงค์ด้านล่างค่ะ
http://sites.google.com/site/aimsastro/



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP