วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๒๓


Literature

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

ต้นไทรโบราณใหญ่ยักษ์ ที่สถิตแห่งจ้าว ยังคงยืนตระหง่านดังเดิม หนำซ้ำดูจะสดชื่น ลำพองอย่างยิ่ง

ลานดินกว้างปัดกวาดสะอาดเรียบราวกับเตรียมรอรับ รากไทรแขวนตัวย้อยเหมือนยิ้มเยาะ เชื้อเชิญ

ทิชาเทพมาในร่างมนุษย์ แต่งกายไม่ผิดจากชาวบ้าน ใบหน้าผุดผ่อง ราศีเทพฉายชัด กะพ้อยืนรอดูห่างๆ เขามั่นใจจ้าวไม่มีทางทำอันตรายหล่อน...คำสัตย์สำหรับผู้ทรงอาคมเช่นจ้าว ก็เปรียบได้กับชีวิตเช่นกัน

จ้าว ทิชาเทพส่งเสียงธรรมดา กระแสพลังแห่งคำพูดกลับสะเทือนก้องไปทั่วบริเวณ

ออกมา น้ำเสียงเฉียบขาดออกคำสั่ง

สายลมหวิวไหว รากไทรโยนตัวเป็นจังหวะคล้ายหัวเราะอย่างเบิกบาน ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง ปุยเมฆขาวลอยเอื่อยๆ เฉกนาวาน้อยกลางผืนฟ้ากว้าง

ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้จากจ้าว ทิชาเทพแน่ใจ จ้าววันนี้ ย่อมผิดกับเมื่อสามปีก่อน สติเตือนให้เขาระวังตัว ยังไม่ทันทำอะไร สายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงท่ามกลางแดดจ้า

เปรี้ยง บรึ้ม

ฝุ่นขาวลอยคลุ้งจนคล้ายม่านหมอก ทิชาเทพไม่ขยับร่าง เขารู้แล้วว่านี่เป็นการทักทายธรรมดาของจ้าว

ม่านฝุ่นยังไม่จาง ร่างอันงดงามเกินบุรุษของจ้าวเด่นชัดขึ้น อาภรณ์สีแดงขับร่างทั้งร่างจนราวกับลอยอยู่กลางกลุ่มควัน รอยยิ้มคล้ายภาพวาดแย้มออกมาแลเห็นฟันขาวเรียบเป็นเงา นัยน์ตาแจ่มกระจ่าง และลึกลงไป คือเปลวไฟที่แดงสดยิ่งกว่าอาภรณ์คลุมร่าง

ขอต้อนรับเทพผู้สูงส่งจากแดนสุขาวดี น้ำคำทักทายไพเราะ จะให้เกียรติย่างเข้าสู่วิมานอันต่ำต้อยของข้าได้หรือไม่

ไม่จำเป็น ข้ามีเรื่องเร่งกล่าวกับเจ้า คำพูดห้วน แต่ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์

เรื่องอันใด เข้าไปพักผ่อน คุยกันก่อนก็ยังมิสาย ฝ่ายเจ้าบ้านใจเย็นรักษามารยาท

เหตุใดเจ้าถึงต้องทำร้ายชาวบ้าน สร้างทุกขภัยจนพวกเขาต้องล้มตายอพยพไปกันจนเกือบหมด เขาไม่ยอมเสียเวลากับมารยาทจอมปลอม คำพูดที่กล่าวล้วนเข้าสู่ประเด็นทั้งสิ้น

จ้าวยังคงยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่สตรีใดได้เห็น คงแทบยอมมอบหัวใจให้โดยไม่รอช้า

ท่านว่าข้าทำ สีหน้าของจ้าวบอกถึงความประหลาดใจ ถ้าเยี่ยงนั้นข้าคงไม่อาจคัดค้านกระมัง

เจ้าผิดสัญญา ทิชาเทพกล่าว พยายามควบคุมตนเองมิให้เกิดไฟโทสะ

สัญญาอันใด สีหน้าจ้าวบริสุทธิ์ราวปราศจากมลทิน ข้าเคยให้สัญญาใดกับท่านหรือ...ท่านพอจะทวนสัญญานั้นได้หรือไม่

ทิชาเทพไม่ตอบ...ต่อให้ทวนสัญญาจะมีประโยชน์ใด ปิศาจรูปงามก็คงสามารถพลิกพลิ้วไปจนได้ ดูท่ามันจะพยายามกวนไฟโทสะเขาให้ลุกโพลง

ในเมื่อข้าขอให้ท่านทวนสัญญา ท่านก็ไม่ทวน ข้าเชื้อเชิญท่านเข้าไปในวิมาน ท่านก็ไม่ยอมลดเกียรติเข้าไป เช่นนั้น ผู้ต่ำต้อยเช่นข้าคงต้องขอตัว

จ้าวก้าวถอยหลัง ร่างค่อยๆ กลืนหายเข้าไปกับม่านฝุ่นสีขาว

เดี๋ยว ทิชาเทพร้องเรียกพร้อมก้าวขาตาม...แต่เพียงก้าวเดียว เขาก็นึกเสียใจ รู้ว่าทำผิดพลาดแล้ว

ม่านฝุ่นสีขาวหายวับ กลับเป็นม่านไทรสีน้ำตาลแก่รายล้อม รากไทรเหยียดยาวหนาทึบ แต่ละรากมีหนามแหลมคมวับ พวกมันกำลังตวัดเข้าฟาดฟัน

ดาบสีเขียวปีกแมลงทับปรากฏขึ้นในมือทิชาเทพ พร้อมๆ กับรากไทรเส้นแรกพุ่งเข้าจู่โจม

ควับ...ควับ ดาบคมกริบตัดเส้นมรณะราวกับเฉือนก้านบัว หนึ่งเส้น สองเส้น...สิบเส้น....ร้อยเส้น...ยังคงโหมรุกเข้ามาไม่หยุด ดาบในมือเขาตวัดไปมาด้วยท่วงท่าสวยงาม เด็ดขาดและรวดเร็ว มองเห็นประกายสีเขียวเรืองเป็นเงาๆ

ทิชาเทพคิด... หากแต่มัวฟาดฟันอยู่เช่นนี้ ก็รังจะไม่มีที่สิ้นสุด เขาจึงใช้ช่วงเวลาสั้นๆ หลับตาตั้งจิต มือที่ไม่ได้กุมดาบสะบัดกราวออกไปอย่างเร็ว

พรึบ เปลวไฟสีน้ำเงินเข้มลุกเผาผลาญรากไทรมรณะจนหมดสิ้น

การต่อสู้ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เทพจากสรวงสวรรค์ต้องเผชิญกับสมุนของจ้าวอีกนับโขยงใหญ่ ฝ่าม่านมายาของมันเฉียดฉิว และสารพัดอวิชชาที่จ้าวขุดค้นมาใช้

เวลาสามปี...จ้าวแกร่งกล้าจนทิชาเทพแปลกใจ

ในที่สุดฝีมือทั้งมวลของจ้าวไม่อาจต้านรัศมีดาบอันแกร่งกร้าวและอำนาจเทพของเขาได้ ต้นไทรยักษ์คงยืนตระหง่านดังเดิม แต่รากไทรเกลื่อนพื้น ใบเหี่ยวแห้งลงเกือบครึ่ง

หมดเรื่องเล่นแล้วใช่ไหมจ้าว ทิชาเทพพูดเสียงเรียบ

ใช่ ข้ายอมแพ้ เสียงดังจากต้นไทร

เช่นนั้น... วาจายังไม่หลุดจากปาก ลำต้นไทรก็ปริแตก เอนล้มลงมา ทิชาเทพยืนดูอย่างประหลาดใจ จ้าวจะทำลายรากฐานของตนจริงๆ หรือ...

ไม่...คำตอบมารวดเร็วยิ่ง ผู้มาจากแดนสรวงมัวแต่ตะลึงสงสัยจึงไม่ทันระวัง รากไทรที่ตกเกลื่อนได้ขยับขึ้น ของเหลวข้นๆ บางอย่างถูกฉีดออกมา

กลิ่นฉุนกึก เหม็นคลุ้งตลบอบอวล ทิชาเทพผงะหงาย รากไทรตวัดพุ่งมาพันธนาการเขาจนแนบแน่น

ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า

เสียงหัวเราะดังเลื่อนลั่น แผ่นดินสะเทือน แผ่นฟ้าสะท้านไหว จ้าวปรากฏตัวด้วยร่างอันสูงใหญ่ ผิวสีน้ำตาลเข้ม อาภรณ์สีดำ ใบหน้าบูดเบี้ยวอัปลักษณ์ นัยน์ตาเหี้ยมเกรียม

เป็นยังไงบ้าง ไอ้เทวดาผู้ยิ่งใหญ่ เจอของโสโครกเมืองมนุษย์เข้าก็กลับสวรรค์ไม่ได้แล้ว

อะไร ทิชาเทพดิ้นรน อึดอัด ร่างอันเป็นทิพย์หนักอึ้ง สิ่งที่เกาะร่างเหมือนยางเหนียว เหม็นคลุ้ง

น้ำกามของบุรุษที่เป็นโรค เลือดเสียของสตรีกลางเมือง น้ำคูถจากบ่ออันเกรอะกรัง ผสมกับสิ่งโสโครกอีกเจ็ดอย่างที่เทพเช่นเจ้าได้ยินแล้วแทบต้องอุดหู ข้าให้ไอ้หมอผีเก็บมาผสมกันไว้ตลอดเวลา รอการมาของเจ้า ในที่สุดข้าก็ได้แก้แค้นสมใจ

ทิชาเทพหนาวเยือกเข้าไปในอก และคำพูดต่อไป ยิ่งทำให้เขาสะท้านใจ

ข้าจะใช้ตรวนอาคมผูกเอ็งให้เป็นทาสข้าชั่วกัปกัลป์

มืด...มันมืดอีกแล้ว...มืดเหมือนเขาจะจมดิ่งสู่บ่อน้ำที่ไม่มีก้น ลึกจนแสงสว่างใดๆ ไม่อาจส่องมาถึง มรรคายอมรับว่าเขารับรู้เรื่องของตนเองในชาติก่อนเพิ่มขึ้น แต่มันจะมีอะไรดีขึ้น การถูกทำให้รับรู้ ไม่ใช่การเข้าไปในอดีตอย่างแท้จริง เวลานี้จิตเขากำลังถอนขึ้น สู่ปัจจุบัน...ชีวิตปกติของมรรคา

ไม่ เสียงแหบห้าวฟังคล้ายเสียงเสียดสีโลหะ ยังถอนจิตไม่ได้ หรือเอ็งไม่อยากรู้ว่าทิชาเทพรอดมาได้ยังไง และเพราะเหตุใดถึงมีสัญญากับจ้าว

อยากรู้สิ ทำไมจะไม่อยากรู้ มรคาตอบกึ่งๆ ละเมอ

คิดสิ...คิด...ทำยังไงก็ได้ ให้ทิชาเทพเป็นมรรคา และมรรคาเป็นทิชาเทพ

ไม่รู้...ทำยังไง ต้องทำยังไง เขาถาม

ข้าก็ไม่รู้ มีแต่เอ็งเท่านั้นที่รู้ ข้าทำได้แค่นี้ ข้าทำตามคำสั่งจ้าวได้เพียงเท่านี้

เสียงแปลกปลอมหายไป มรรคาเคว้างคว้างมองอะไรไม่เห็น ครุ่นคิดปัญหาเดียว ทำอย่างไร มรรคาจะเป็นทิชาเทพ และทิชาเทพจะเป็นมรรคา

ครุ่นคิด...ครุ่นคิด...ครุ่นคิด...จิตจดจ่ออยู่กับปัญหาเดียว จนอ่อนล้าต้องวางปัญหา คราวนี้จิตใจโล่ง...โปร่งเหมือนนั่งบนลานหินกว้างไกลร่มเย็นเพียงเดียวดาย

คำตอบ...ผุดมาง่ายๆ

มรรคา...ทิชาเทพ ก็เพียงชื่อสมมุติ เทพ...มนุษย์ ก็เพียงสมมุติ...ทั้งเทพ ทั้งมนุษย์ต่างต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิสูงๆ ต่ำๆ...มีแต่จิตที่ถูกกิเลสตัณหาอวิชชาครอบคลุมเท่านั้น ที่ลากไปลากมา เมื่อไรสลัดหลุดจากสิ่งที่พอกพูนในจิตได้หมดสิ้น...ให้ธรรมถึงใจ...ใจคือธรรมะ เมื่อนั้นก็จะหยุดเวียนว่ายตายเกิดอย่างถาวร

ไยต้องใส่ใจ...จะเคยเกิดเป็นอะไร...มีชื่ออะไร

วาง...จึงว่าง

ไม่ต้องใส่ใจ...เคยเป็นใคร...มองลึกเข้าไปในจิตตน...ภพชาติมันซ้อนทับก่ายเกยกันอยู่ในนั้น

แสงสว่างฉายโชนเต็มมโนภาพของมรรคา กลิ่นหอมรวยรินแตะจมูก เสียงดนตรีอันเคยคุ้นกำลังขับกล่อม เขาได้ยินเสียงตนกังวานชัด...

ข้าขอตั้งจิตต่อหน้าองค์พระเกศจุฬามณี อันเป็นที่บูชาเคารพแห่งปวงเทพ...ข้าขอไปเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง...ผู้ซึ่งไม่มีอำนาจฤทธาใดๆ เพื่อสะสางกับปิศาจตนหนึ่งให้เสร็จสิ้น...ขออำนาจบารมีแห่งพระพุทธองค์จงคุ้มครองข้าน้อย ให้สามารถทำการได้ลุล่วงด้วยเทอญ

แวบ...แวบ...แวบ... แสงสว่างวูบวาบจนมรรคางุนงง แต่แล้วความทรงจำที่เรียกหา ก็แทรกซึมเข้าสู่จิต...สิ่งที่ถูกทำให้ลบเลือนด้วยการเดินทางผ่านภพชาติค่อยๆ ลอกออก ราวกับการพลิกหน้ากระดาษย้อนหลัง

ถ้ามีใครถามมรรคาว่า ทิชาเทพรอดจากการเป็นทาสของจ้าวได้อย่างไร เขาก็ตอบได้ทันที ราวกับเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้

ใช่เป็นการช่วยเหลือจากกะพ้อหรือไม่?

หญิงสาวไม่อาจเห็นภาพที่อยู่ในโลกอีกมิติ แต่หล่อนเห็นทิชาเทพถูกมัดติดกับโคนต้นไทร รอบร่างเป็นกำแพงแก้วหนา ไม่มีผู้ใดฝ่าผ่านได้

กะพ้อก็ผ่านเข้าไปไม่ได้

แต่จ้าวยังคงรักษาสัญญา...ไม่ทำร้ายหล่อน หมอผีผู้เป็นสมุนเช่นกัน ต่างมองกะพ้อเหมือนเศษสวะชิ้นหนึ่งที่ไม่คู่ควรต่อการเหลือบแล

หญิงสาวกำลังครุ่นคิด...หล่อนรู้ว่าคืนนี้หมอผีต้องทำพิธีอะไรสักอย่างที่เป็นผลร้ายต่อทิชาเทพ ทำอย่างไรหล่อนถึงจะช่วยเขาออกมาได้

กะพ้อเป็นหญิงชาวบ้าน ไม่มีความรู้ใดๆ ความคิดอ่านไม่ลึกซึ้ง หล่อนจึงใช้วิธีง่ายที่สุดคือนั่งรอ

หมอผีเตรียมแท่นพิธี จัดหาข้าวของเพื่อใช้งาน กะพ้อไม่รู้ว่าเป็นพิธีอะไร ไม่รู้ว่าเหตุใดเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ถึงพลาดท่าถูกจับตัว แต่หล่อนก็จะรอ...รอโอกาส...จนกว่าพิธีจะเริ่ม...หญิงสาวแน่ใจ ต่อให้เอาชีวิตเข้าแลก หล่อนก็ต้องขัดขวางและช่วยเหลือทิชาเทพออกมาให้ได้

ทิชาเทพเห็นหญิงสาวซุกตัวเงียบๆ อยู่ที่พุ่มไม้เบื้องหน้า หล่อนกำลังนั่งรอ หล่อนอยากจะช่วยเหลือเขา แต่มันไม่มีประโยชน์...อีกไม่นานหมอผีจะเริ่มพิธีผูกตรวนอาคม มัดเขาให้เป็นทาสจ้าว...เป็นพิธีที่ไม่มีทางขัดขืนดิ้นรน อำนาจเทพถูกทำให้เสื่อมลงด้วยของสกปรกในมนุษย์โลก มันทำให้อำนาจทิพย์ต้องมัวหมอง เขาไม่อาจติดต่อขอความช่วยเหลือจากเทพองค์อื่นได้ เวลา ของโลกและสวรรค์มิเท่าเทียมกัน กว่าจะมีเทพองค์ใดฉุกคิด เขาก็ตกเป็นทาสของมันอย่างไม่มีทางรอดแล้ว

กะพ้อยังคงมองเขา สายตาหล่อนเผยถึงความรู้สึกทั้งมวล...รัก...บูชา...ยอมพลีให้ได้แม้ชีวิต ทิชาเทพเบือนหน้าหลบ เขามิอาจตอบรับความรู้สึกอันอ่อนหวาน หนักแน่นนี้ได้

บนสรวงสวรรค์ มีเทวนารีองค์หนึ่งยึดครองดวงใจเขาไปแล้ว ทิชาเทพกำลังคิดถึงนาง...

ฟ้ามืดอย่างรวดเร็ว แท่นพิธีถูกตั้งเรียบร้อย เสียงลมกระหึ่มคล้ายการฮัมเพลงของอสุรกาย กำแพงแก้วถูกถอน เขาโดนลากมายืนเหนือแท่นบวงสรวง กะพ้อหายไปแล้ว

พิธีเริ่มต้น ดวงไฟบูชาถูกจุดสว่าง เสียงสวดของหมอผีดังก้อง จนเปลวไฟเต้นระริกดั่งเริงระบำสำราญใจ เมฆฝนตั้งเค้าครึ้ม บดบังแสงดาวแสงจันทร์ ฟ้าแลบเป็นเส้นหงิกๆ งอๆ เหมือนอาวุธจอมปิศาจร้าย

เสียงสวดกังวานไกล รากไทรนับร้อยขยับไหวรุนแรง มนตรากระชั้นเร่งเร้า เส้นผมอสูรร้าย ค่อยๆ รวมตัวเป็นเส้นเดียว ขนาดของมันใหญ่โตเท่าต้นไม้อายุนับร้อยๆ ปี

ทิชาเทพยืนโดดเดี่ยวอยู่บนแท่นบวงสรวง รากไทรมหึมาเคลื่อนตัวยืดยาวลงมาช้าๆ คล้ายงูเหลือม ค่อยๆ ทิ้งตัวจากกิ่งไม้เพื่อเขมือบเหยื่อ ปลายของมันเปิดออกเป็นรูดำลึกเร้น ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นความมืดในปล่องกำลังหมุนตัวช้าๆ ทว่ารุนแรง

ทันใดนั้น คบไฟนับสิบๆ ถูกจุดขึ้นสว่างรอบด้าน ชาวบ้านเดนตายที่ยังหลงเหลือยืนโอบล้อมไทรยักษ์และแท่นพิธี...เสียงโห่ร้องดังสนั่นจนแทบกลบเสียงสาธยายมนต์ของหมอผี

กะพ้อทำสำเร็จ หล่อนสามารถปลุกปลอบและชักชวนชาวบ้านที่ยังหลงเหลือให้มาต่อต้านจ้าว เพื่อช่วยทิชาเทพได้ นอกจากหล่อนจะต้องคุกเข่ากราบอ้อนวอนชาวบ้านทุกคน พูดจาจนคอแหบแห้งแล้ว ก็ยังมีประโยคหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านฮึกเหิม...

ทิชาเทพเป็นความหวังสุดท้าย...ถ้าไม่มีเขา พวกเราจะไม่มีวันได้โงหัวตลอดกาล...

เสียงเฮพร้อมกับกรูเข้ามาช่วยทิชาเทพ หมอผีตกตะลึงหน้าซีด ลืมคาถาสิ้น แต่อำนาจของจ้าว ใช่ว่ามนุษย์จะดูแคลนได้ง่ายๆ

พายุพัดอื้ออึง ฝูงปิศาจผุดจากพื้นดินนับร้อยๆ โถมเข้าใส่ชาวบ้าน เพียงเท่านี้ ความฮึกเหิมของผู้คนก็ปลาสนาการเสียสิ้น ต่างหลบหนีกระเจิดกระเจิง มีแต่กะพ้อที่วิ่งสวนผู้คน ฝ่ากองทัพปิศาจขึ้นสู่แท่นบวงสรวงอย่างไม่เกรงตาย ไม่กลัวจ้าว

ไร้ประโยชน์ รีบเอาตัวรอดไปเถิดกะพ้อ ทิชาเทพพยายามไล่ เมื่อเห็นกะพ้อยืนขวางรากไทรมหึมาให้เขา

ไม่ หญิงสาวตอบเด็ดเดี่ยว แต่ไม่ทันไร ร่างอันบอบบางก็ถูกเจ้าเส้นอสุรกายกระหวัดรัดจนแนบแน่น ปากปล่องครอบลงมายังศีรษะ

อย่า...จ้าว...อย่าทำอะไรนาง

ทิชาเทพแผดเสียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตระหนก

เจ้าเคยสัญญา จะไม่ทำร้ายนาง เขาทวนคำสัญญา

หึ...หึ... เสียงหัวเราะอันหยามหยันดังมา ข้าเคยสัญญาจะไม่ทำร้ายนางจริง แต่ถ้านางเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ข้าก็ไม่อาจวางเฉยได้

ไม่... เป็นครั้งแรก ที่เทพเช่นเขาต้องตะโกนลั่นด้วยความเจ็บช้ำ

แล้วทุกสรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบ พยับเมฆบนฟ้านิ่งงัน ราวถูกสาปให้เป็นหิน หมอผีเหลียวมองรอบตัวอย่างงงงัน กระทั่งรากไทรที่กลืนกะพ้อจนมิดก็หยุดนิ่ง

ในความเงียบนั้นเอง กระแสเสียงอันนุ่มนวล ทรงพลังกังวานมา...

กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตังสันตังปะทังอะภิสะเมจจะ...

ไม่มีลมหวีดหวิว ไม่มีใบไม้ขยับ ไม่มีมนต์ร้ายใดออกหน้าฮึกเหิม กระทั่งจ้าวยังต้องเงียบ

ทิชาเทพถูกกระตุ้นให้ลืมตาขึ้น ร่างกายผ่อนคลายลง น้ำเสียงสวดมนต์บทนี้กระจ่างแก่ใจ เป็นเสียงของพระธุดงค์ที่เขาเคยใส่บาตร ร่างของท่านอยู่ห่างไกลออกไป แต่กระแสจิตถูกส่งมาช่วยเหลือยามคับขัน เป็นเมตตาธรรมอันเปี่ยมล้น

เสียงสวด กรณียเมตตสูตร ดังกังวานเป็นเอก แทรกซึมเข้าไปทุกอณูความเงียบ วังเวง จากฟากฟ้าถึงราวป่า น้ำเสียงชัดเจน สม่ำเสมอไม่แตกต่างกัน

ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหว...ยกเว้น...ทิชาเทพ

แสงสว่างบาดตาฉายเป็นลำจากร่างเขา ราศีเทพเรืองรอง กระจ่างแจ้ง เสื้อผ้าธรรมดากลายเป็นเครื่องทรงแห่งเทพผู้สูงศักดิ์

บทสวดจบ เขาจึงลงมือ

ร่างสีแดงฉานของจ้าวผุดมาจากกลางลำต้นไทร...สิ่งที่พันธนาการเทพเสื่อมคลายลงแล้ว หนทางเดียวที่จะคืนศักดิ์ศรีแห่งตน คือสู้ตัวต่อตัว

ร่างหนึ่งเทพ อีกร่างคือปิศาจผู้ทรงฤทธิ์ ลอยอยู่กลางเวหา มีพยับฝนมืดทะมึนเป็นฉากหลัง ลำแสงสีขาวนวลห่อหุ้มทิชาเทพ ขณะที่แสงสีแดงฉานก็ครอบคลุมจ้าว

การต่อสู้สะเทือนฟ้าสะท้านดินปรากฏขึ้น ลำแสงวูบวาบหลากสี สาดกระจาย เข้าห้ำหั่นกัน ดาบสีเขียวของทิชาเทพ กับดาบสีแดงของจ้าวเข้าต่อสู้โรมรันด้วยความลึกล้ำ จัดเจน รังสีดาบทั้งสองกรีดผ่านพยับเมฆด้านหลังจนกระจุยกระจาย เสียงหวีดหวิว แหลมสูงดังมาเป็นระยะ แผ่นฟ้ามีแสงแลบแปลบๆ ราวกับถูกผ่าแยก แผ่นดินสะเทือน พายุใหญ่โหมกระหน่ำดังอู้ๆ จนต้นไม้ บ้านเรือนปลิวระเนระนาด

การต่อสู้ดำเนินไปพักใหญ่ กว่าทุกอย่างจะสงบ หมอผีหลบเร้นหายไปแล้ว มีเพียงกะพ้อนอนเด่นอยู่กลางแท่นบูชา

ทิชาเทพปรากฏกายขึ้นพร้อมกับร่างที่ถูกพันธนาการของจ้าว

เพียงสายตาแรกที่ทิชาเทพเห็นกะพ้อ เขาหันขวับ จ้องนักโทษด้วยประกายตากร้าว

เจ้าฆ่านางยังไม่พอ เหตุไฉนต้องใช้ตรวนอาคมผูกมัดวิญญาณของนางไว้อีก

จ้าวไม่ตอบ ไม่มีวี่แววท่าทางของผู้แพ้ หลังตรงดังหอกเหล็ก คอเชิด นัยน์ตานิ่งไม่ยอมนับถือ

ท่านชนะแล้ว จะพูดอย่างไรก็เชิญ

ปล่อยนาง

ข้าไม่ปล่อย ท่านมีปัญญาทำอะไรได้ คำตอบเย้ยหยัน

ทิชาเทพอึ้ง เหลียวมองแล้วถอนใจ กะพ้อต้องมารับเคราะห์แทนเขา พิธีกรรมผูกตรวนอาคมนำวิญญาณมาเป็นทาสของจ้าวนี้ เขายอมรับว่าตนไม่มีทางแก้ไข...คนผูกกระพรวนต้องเป็นคนแก้กระพรวน

ข้าจะคร่าวิญญาณเจ้าลงนรก ให้ท่านพระยามัจจุราชลากคอรับโทษทัณฑ์ที่สาสม ดูสิว่าอาคมของเอ็ง จะยังคงอยู่หรือไม่

ท่านว่ามันจะยังคงอยู่หรือไม่ล่ะ ใบหน้าอันงดงามของจ้าวเงยถามอย่างยโส อาคมของข้าใช่ว่าจะสร้างสมมาเพียงร้อย สองร้อยปี แม้ข้าต้องไปชดใช้กรรมในนรก ท่านแน่ใจหรือว่าอาคมข้าจะเสื่อมลง

เขายอมรับว่าไม่แน่ใจ...ในวัฏสงสารล้วนมีแต่เรื่องไม่แน่นอน สิ่งเกินหยั่งคาดมีมากมาย หากเขาตัดสินใจผิดกะพ้อต้องถูกขังไปจนกว่าอาคมจะเสื่อม...นานเพียงใดเขาไม่อาจรู้

ทำอย่างไรเจ้าจึงจะปล่อยนาง เขาถามด้วยสีหน้าสงบลง

ท่านเทพผู้สูงส่ง จ้าวยอกย้อนด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ข้าน้อยมิอาจขู่เข็ญท่านได้หรอก ท่านผู้มีฤทธานุภาพอันล้ำเลิศ มีแต่ท่านกระมัง ที่ใช้อำนาจของท่านบังคับให้ข้าปล่อยนาง

ทิชาเทพทั้งขุ่นเคืองทั้งอับจนปัญญา

เขาขึ้นไปบนแท่น คุกเข่ามองดูกะพ้อ หญิงสาวหมดลมหายใจแล้ว ร่างกายอ่อนเปียก ใบหน้าทุกข์ทรมาน เขาจ้องลึกจนถึงดวงวิญญาณหล่อน แล้วก็เห็นมันถูกกักขังในเขตอาคมของจ้าว มีเส้นใยเล็กละเอียดผูกมัดจนยากแยกแยะ

เขาหลับตา สำรวมจิต ร่างทั้งร่างละลายหายและพุ่งเข้าสู่แดนต้องขังนั้นเพื่อปลดตรวนอาคมให้กะพ้อ

ใบหน้าของจ้าวมีแววสาสมใจ นัยน์ตาลึกเร้นแฝงความมุ่งมาดบางอย่าง กะพ้อเป็นไม้ตายของเขา สามารถพลิกสถานการณ์เอาชัยทิชาเทพได้ ขอให้เวลาเขาใช้อุบายต่ออีกหน่อยเท่านั้น

เพียงชั่วกะพริบตา ทิชาเทพปรากฏกายขึ้น แววตาบอกถึงความคับแค้น จ้าวกำลังจะดำเนินแผนต่อ แต่ไฟโทสะของทิชาเทพไม่ใช่เรื่องที่จะคาดคำนวณได้ง่ายๆ

ดี...ในเมื่อเจ้ากักขังหน่วงเหนี่ยววิญญาณดวงอื่นได้...ข้าก็จะทำเช่นกัน นัยน์ตาของทิชาเทพเป็นประกายกล้า รัศมีส่องแสงเรืองรองรอบร่าง ก่อนจะพุ่งเข้าสู่จ้าวอย่างรุนแรง

อ๊าก...ไม่... จ้าวไม่ทันคิดถึงความโกรธและไฟโทสะของทิชาเทพ วิญญาณของตนจึงดิ่งลึกผนึกแน่นอยู่ในต้นไทร แดนอาคมของตนเอง

เมื่อรู้ว่าตนพลาดท่า จ้าวยังไม่ยอมพ่ายแพ้ ส่งเสียงดังออกมาด้วยความขุ่นเคือง

นี่หรือเทพผู้ยิ่งใหญ่...ปัญญาของท่านมีเพียงน้อยนิด แก้ไขอาคมของข้าไม่ได้ก็ใช้แต่ฤทธีพร่ำเพรื่อ ข้าอยากรู้นัก ถ้าหากท่านไม่ได้เป็นเทพ ไม่มีฤทธานุภาพเช่นนี้ ท่านจะมีปัญญาเอาชนะข้าได้หรือไม่

เอาสิ ทิชาเทพพูดโดยไม่ต้องไตร่ตรอง วาจาของจ้าวกระตุ้นความหยิ่งผยองของเขาขึ้นมา ข้าจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง แล้วหักหาญกับเจ้า ดูสิว่าผู้ใดจะชนะ

ท่านกล้าให้สัจจาหรือไม่

คำโต้ตอบเร่งเร้า รุนแรง...ผู้เป็นเทพไม่มีรีรอเลยที่จะยืดร่างขึ้นเต็มส่วน นัยน์ตาจ้องมองยังท้องฟ้า

ข้าทิชาเทพ เขาตะโกนก้อง ขอให้สัจจะต่อฟ้าดินและเทพเบื้องสูง ณ แดนสุขาวดี เมื่อใดที่ข้าได้กำเนิดเป็นมนุษย์และสามารถทวนความหนหลังได้สมบูรณ์ ข้าจะมาปล่อยปิศาจ จ้าว ตนนี้ และยอมเข้าต่อสู้หักหาญกับมัน โดยไม่ใช้อำนาจฤทธาแห่งเทพแม้สักกระผีก ด้วยสองมือและหนึ่งปัญญาเช่นข้าในวันหน้า หากต้องพ่ายแพ้แก่มัน ข้าก็จะยอมติดตามเป็นทาสมันตลอดหนึ่งกัป ไม่ว่ามันจะไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่แห่งหนใดก็ตาม

เขาหยุดพูด ก้มหน้ามองดินพร้อมกับพูดต่อ...

และยามข้าปล่อยเอ็งจากที่คุมขัง เอ็งกล้าให้สัจจากับข้าหรือไม่ว่าจะยอมปลดตรวน ปล่อยกะพ้อให้เป็นอิสระ เขารู้ว่า ถ้าสั่งให้มันปล่อยกะพ้อตอนนี้ มันต้องไม่ยอมแน่

ข้าให้สัจจา จ้าวตอบโดยไม่รั้งรอ

ดี...และหากข้าชนะ เจ้าจงมาเป็นทาสของข้า ติดตามและเชื่อฟังข้าทุกประการ ละทิ้งมิจฉาทิฐิเสียให้สิ้น ก้าวสู่มรรคาทางดำเนินที่ถูกต้อง เจ้าจะรับปากหรือไม่

ข้ารับปาก เสียงตอบกระหยิ่ม ลิงโลด

คำสัญญาระหว่างเทพกับปิศาจถูกกำหนดขึ้น ทิชาเทพใช้อำนาจปิดบังป่าในส่วนที่เป็นเขตแดนคุมขังของจ้าวเอาไว้ ทำให้ผู้คนไม่อาจเห็นต้นไทรยักษ์และบริเวณรอบๆ เพื่อป้องกันมิให้มนุษย์มารบกวน ซึ่งอาจทำให้อาคมเสื่อมลงได้

แผ่นฟ้าแผ่นดินสะเทือน ฝนห่าใหญ่ตกไม่ลืมหูลืมตา ม่านฝนเข้าบดบังทุกสรรพสิ่งเสียสิ้น...

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP