วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๒๒


Literature

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

พันเกลียวรู้สึกตัวแล้ว แต่เป็นความรู้สึกที่เหมือนไม่มีความรู้สึก หล่อนไม่รู้ว่าตนเองกำลังอยู่ที่ไหน ร่างกายเหมือนลอยๆ ไม่ได้สัมผัสพื้นดิน หนำซ้ำในตัวกลวงเปล่าคล้ายไม่มีสิ่งใดบรรจุอยู่เลย

หล่อนลืมตาขึ้นและเห็นตนเองกำลังถูกพันธนาการด้วยรากไม้บางอย่างที่ยาวและเหนียว หล่อนพยายามดิ้นรนอย่างแรงและพบว่า ใต้เท้าว่างเปล่า เบื้องล่างเป็นความมืดมิดที่น่าขวัญหาย หญิงสาวตื่นตระหนกเป็นครั้งแรกในชีวิต

พันเกลียว เสียงเรียกแผ่วเบา อิดโรย ที่ค่อนข้างคุ้นหูทำให้หล่อนได้สติรีบหันไปมอง ภาพที่เห็นทำให้ใจตกวูบอีกครั้ง

กะพ้อ พันเกลียวครางเบาๆ กะพ้อถูกพันธนาการด้วยรากไม้ให้ลอยอยู่ท่ามกลางความวังเวงและมืดมิด ร่างกายบอบช้ำ ยับเยินเหมือนถูกทุบตีกระหน่ำอย่างไม่ปรานี เสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้าบวมซีดไร้สีเลือด

ทำไมคุณถึงมีสภาพแบบนี้ ที่นี่เป็นที่ไหน แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หล่อนถามรวดเดียว พยายามขยับตัวดิ้นรนอีกครั้ง แต่ไร้ผล รากไม้แม้เส้นเล็กแต่เหนียวแน่นและแข็ง หล่อนทำได้เพียงแกว่งตัวไปมาโดยไร้ประโยชน์

นี่เป็นที่ต้องขัง กะพ้อเลือกตอบคำถามหลัง อย่าดิ้นรนไปเลย ไม่มีประโยชน์หรอก

พันเกลียวหยุดจริงๆ หล่อนไม่ต้องถามอะไรต่อ เพราะความเข้าใจหลั่งไหลมาอย่างรวดเร็ว หล่อนถูกขังหรือพูดให้ถูก วิญญาณหล่อนโดนจองจำร่วมกับกะพ้อ

หล่อนเสียท่าให้ปิศาจหมอผีแล้ว

เป็นคนอื่นตกในสภาพนี้อาจต้องคับแค้นใจ นึกโกรธโทษสิ่งต่างๆ แต่พันเกลียวกลับนิ่ง ตั้งสติ...หล่อนไม่ใช่คนไร้วิชา...สิ่งที่พ่อสอนมีมากมาย สามารถใช้ประโยชน์ยามคับขันได้

หญิงสาวสำรวมจิต นึกหามนตราต่างๆ ที่จะใช้เอาตัวรอด หลังจากระลึกได้ หล่อนก็เริ่มต้นจากบทสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ไปจนถึงทุกบนที่เคยร่ำเรียน...ท้ายสุดหล่อนอธิษฐานจิตขอให้พ้นจากที่คุมขังแห่งนี้...

ทุกสิ่งกลับเงียบสงัด คาถาทุกบทคล้ายสวดเข้าสู่ความว่างเปล่า อธิษฐานจิตเหมือนการร้องขอต่อตอไม้แห้ง

เปล่าประโยชน์ กะพ้อพูดเหมือนล่วงรู้การกระทำของพันเกลียว ที่นี่แม้จะเป็นฝีมือปิศาจหมอผีสร้างขึ้น แต่มันก็อยู่ในอาณาเขตอำนาจของจ้าว หากกำลังของเราอ่อนด้อยกว่า ทุกสิ่งที่เราใช้ต่อสู้จะไม่มีค่าอะไรเลย

แล้วจะต้องทำยังไง เราถึงจะออกไปได้ พันเกลียวโพล่งขึ้น

กะพ้อเพียงยิ้มเซียวๆ ให้ ไม่ต้องพูดจาย่อมเข้าใจ พันเกลียวหนาวเยือกเข้าไปในอก หากไม่มีสิ่งทรงฤทธากว่าอำนาจที่ครอบคลุมคุกแห่งนี้ ก็ต้องรอ...รอจนกว่ามรรคาจะฟื้นความเป็นทิชาเทพ แล้วเข้ามาช่วย

จ้าวทำกับคุณถึงขนาดนี้เชียวหรือ พันเกลียวถอนใจ เห็นกะพ้อแล้วอดสงสารไม่ได้

ช่างเถอะ...ข้าทนได้ กะพ้อพูด แล้วหันมามองหล่อนอย่างเห็นใจ ที่จริงเจ้ากับข้าก็เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อนเช่นกัน ครั้งนั้น เจ้ากับข้าต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เห็นใจกันในยามยาก...เอาเถอะครั้งนี้ข้าพอจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้างล่ะ กะพ้อไม่ได้ใส่ใจตัวเองมากไปกว่าเพื่อนร่วมชะตากรรม

พันเกลียวอึ้ง แต่แล้วปัญหาที่ค้างคาใจหล่อนมานานก็ผุดขึ้น

ถ้าเธออยากจะช่วย พันเกลียวพูดช้าๆ ช่วยบอกทีว่าเรามีความผูกพันกันอย่างไร ฉันเคยมีสัญญาอะไรกับเธอ

กะพ้อเงียบไปนานก่อนจะตอบอย่างเชื่องช้า เอาสิ...เวลาของเรายาวสั้นก็ยากจะรู้...หากรอให้เจ้าระลึกชาติได้เองคงยาก

ไม่รู้ว่าถูกชมหรือเหน็บแนม แต่เวลานี้หล่อนทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อต้องติดอยู่ที่นี่ ก็น่าจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ดีกว่ามาท้อแท้ สิ้นหวัง หรือกระทั่งหวาดกลัว

จากโต๊ะอาหารริมระเบียงร้าน จะมองเห็นชายหาดกว้างไกล ท้องทะเลไพศาล ทิวเขาทอดยาว และไกลออกไปเต็มไปด้วยเกาะแก่งเล็กๆ กับเรือน้อยที่ลองลำท้าดวงตะวันยามเที่ยง

อาหารกลางวันมือนี้มีรสชาติดีที่สุดสำหรับปีกแก้ว เพราะนอกจากมรรคายอมให้หล่อนเลือกสถานที่และสั่งอาหารแล้ว ตัวเขาก็ค่อนข้างยิ้มแย้มมากกว่าปกติ พูดคุยผิดเคย ซึ่งไม่ใช่โอกาสที่มีบ่อยครั้งนัก

พี่มัคหลบมาอย่างนี้ ทางโน้นจะเป็นยังไงบ้างคะ ปีกแก้วถามเพราะนึกเป็นห่วงงานแทน

ถ้ามีอะไรฉุกเฉินประสิทธิ์คงโทร.มาหาพี่เองมั้ง มรรคาพูดอย่างไม่ใส่ใจ

แต่พี่มัคปิดเครื่องอยู่นี่คะ หญิงสาวสังเกตจากโทรศัพท์มือถือทีชายหนุ่มวางไว้บนโต๊ะ

มรรคาไม่โต้ตอบ แต่ก็ไม่ยื่นมือไปเปิดเครื่อง ปีกแก้วเข้าใจ พี่ชายหล่อนไม่ต้องการให้ใครมารบกวน

เปิดเถอะค่ะ พูดพลางเอื้อมมือเปิดเครื่องเสียเอง มรรคามองตาม นัยน์ตาเฉื่อยเฉย หากยามสบตากับหญิงสาวเขากลับล้อ

ถ้ามีใครโทร.มาบอกให้พี่เข้ากรุงเทพฯ ด่วน แก้วคงต้องฉลองวันเกิดคนเดียวแน่

ค่ะ เจ้าตัวตอบมั่นใจ มรรคาเสมองทะเล ประกายตายิบยับ

...ตื้ด...ตื้ด... เวลาไม่ถึงสิบนาที โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

มรรคาไม่อยู่ ชายหนุ่มพูดพร้อมทำท่าไม่สนใจ

ปีกแก้วค้อนให้แล้วคว้าโทรศัพท์มาพูดเอง

สวัสดีค่ะ

ฮัลโหล เสียงคุ้นๆ เจ้าตัวคงยังไม่แน่ใจจึงย้ำอีกครั้ง ฮัลโหลคราวนี้ปีกแก้วรู้แล้วว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร รอยยิ้มจึงเบ่งบานเต็มใบหน้า

สวัสดีค่ะจะพูดกับใครคะ จะเป็นใคร้...ถ้าไม่ใช่ผู้ชายตรงหน้า ปีกแก้วคิดไปค้อนไป

อีกด้านหนึ่งของสายเงียบ ไม่กล้าพูด...คงรู้สึกแปลกใจที่มีเสียงผู้หญิงรับสาย

เอ่อ... เสียงตอบมาลังเลเล็กน้อย คุณมัคอยู่ไหมคะ

คุณมาร์ค... หญิงสาวแกล้งลากเสียงยาวๆ จนฟังดูกลายเป็นอีกชื่อ ประกอบกับเสียงลมอู้ๆ อีกฝ่ายจึงยังไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร

ไม่ใช่...เอ่อ...รอเดี๋ยวนะคะ ท้ายสุดมีการพักหูโทรศัพท์ ปีกแก้วได้ยินเสียงแว่วๆ มาพอจับใจความได้ว่า ไอ้ชัยมึงต่อโทรศัพท์ให้กูผิดหรือเปล่าวะ มีแต่เสียงผู้หญิงรับสาย ไม่ใช่คุณมัคสักหน่อย

ไม่ผิดหรอกป้า ลองถามแกดูสิ เสียงผู้ชายตอบมาอ่อยๆ ปีกแก้วยิ่งยิ้มมากขึ้น

ค่ะ ขอพูดกับคุณมรรคา ไม่ทราบว่าอยู่หรือเปล่าคะ

คุณมรรคาบอกว่าไม่อยู่ค่ะ ปีกแก้วแกล้งทวนคำของมรรคา คราวนี้ปลายสายจับเสียงของหล่อนได้ชัดเจน

คุณแก้ว... น้ำเสียงดีใจเป็นล้นพ้น คุณแก้ว...โถ แม่คุณของป้า ไปอยู่ที่ไหนมาคะ

ปีกแก้วต้องถือหูโทรศัพท์นานราวห้านาที กว่าป้าแฉล้มจะละล่ำละลัก พิลาปรำพันตามประสาแกจบ จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้ประกาศิตตามอำนาจ เสาหลักของบ้าน

บอกคุณมัคให้กลับบ้านกันเถอะค่ะ เลี้ยงวันเกิดที่บ้านก็ได้ คุณแก้วอยากกินอะไร ป้าจะเตรียมไว้ให้นะคะ คุณแก้วคนดี ป้าคิดถึ้งคิดถึงคุณแก้วจะแย่อยู่แล้ว คุณมัคเองก็เถอะ ไม่ยอมกลับบ้านตั้งเป็นวันสองวัน ไปไหนก็ไม่บอก มีอะไรป้าก็โทร.หาไม่ได้เลย

จ้ะ...จ้ะ...จ้ะ ปีกแก้วได้แต่รับคำ เมื่อวางสายลง เจ้าตัวได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้มรรคา

สงสัยเราต้องเปลี่ยนโปรแกรมกันแล้วละค่ะพี่มัค

มรรคาไม่ตอบ เขารับโทรศัพท์มาวางตามเดิม คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นัยน์ตาสื่อความหมายเป็นคำพูดได้ว่า...พี่บอกแล้ว...

บ่ายจัด ตะวันอ่อนแรง แต่แสงสว่างยังกระจายเต็มฟ้า กระไอร้อนพอลดน้อยลงไปบ้าง

ที่ปั๊มน้ำมันมีคนมาใช้บริการน้อยกว่าปกติ เจ้าแก่นเป็นหนึ่งในลูกค้าไม่กี่ราย...แต่ถ้าจะว่าเขาเป็นลูกค้าคงจะไม่ถูกต้องเต็มที่นัก ลูกค้าจริงๆ ของปั๊มคือเถ้าแก่เจ้าของคิวรถสิบล้อ แก่นเป็นเพียงลูกจ้างขับรถขึ้นล่องให้เถ้าแก่

แก่นกลับจากส่งของเมื่อตอนสายๆ มีเวลานอนไม่กี่ชั่วโมง ก็ต้องขับรถมาเติมน้ำมัน เตรียมออกไปทำงานอีกรอบ

เหมือนเดิมนะลูกพี่ เด็กปั๊มตะโกนถามเขา

เออ แก่นตอบแล้วเปิดประตูกระโดดลงจากรถ เขาต้องการเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเพื่อให้สดชื่นขึ้น ส่งของคราวนี้ไม่ไกลนัก ไม่ถึงกับต้องอดนอนทั้งคืน แต่การขับรถคนเดียวโดยไม่มีเด็กรถนั่งเป็นเพื่อนทำให้ง่วงนอนได้ง่ายๆ เหมือนกัน

ห้องน้ำกำลังว่างคน แก่นทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็มายืนล้างมือล้างหน้าตรงอ่าง แต่แล้วจู่ๆ แก่นกลับขนลุกซู่ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ พอเงยหน้ามองกระจก เขาต้องผงะหงายหลัง

เนื่องจากใบหน้าที่เห็นมันไม่ใช่ใบหน้าของเขา

...เหอ...เหอ... เจ้าของใบหน้ากำลังหัวเราะเสียงแหบๆ และแล้ว...ใบหน้าที่ซีดแห้ง ตายซากก็ผุดออกมาจากกระจก แก่นสั่นไปทั้งตัว แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว...คนที่หมดความรู้สึกย่อมไม่มีความกลัวหลงเหลือ

ใกล้ถึงกรุงเทพฯ เต็มที แดดยิ่งอ่อนลง ดูจากนาฬิกาพอจะบอกได้ว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว มรรคายังขับรถตามสบาย ไม่เร็ว ไม่ช้า รถราบนถนนไม่คับคั่งเช่นเคย ปีกแก้วไม่สนใจกับบรรยากาศนอกรถนัก หล่อนกำลังรื้อข้าวของในคอนโซลรถเล่นเหมือนเด็กๆ สลับกับขยันหมุนคลื่นเลือกฟังเพลงตามใจชอบ

เอ...ไม่มีเลยแฮะ สักพักเจ้าตัวซนก็บ่นขึ้น

หาอะไร ถามพี่ก็ได้ มรรคาพูดโดยสายตายังอยู่บนถนน

ลิปสติกค่ะ ทำไมไม่ยักมี หญิงสาวพูดหน้าตาเฉย

ลิปสติกของใคร มรรคาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ แก้วเคยเอามาทิ้งไว้เหรอ

เปล๊า หล่อนลากเสียงยาว ทำหน้าทะเล้น แก้วหมายถึงลิปสติกของสาวๆ ที่มากับพี่มัคไง ไม่มีใครลืมทิ้งไว้บ้างเหรอ

เด็กบ้า ชายหนุ่มเขกหัวคนข้างตัวเบาๆ หาเรื่องหยอกพี่จนได้นะ

ปีกแก้วหัวเราะคิกคัก แล้วหล่อนก็หยุดกึกขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไป มรรคาเหลือบมองพลางถาม

เป็นอะไรไปจ๊ะ เปลี่ยนมุกใหม่หรือไง

หญิงสาวนิ่ง เหลือบมองเสี้ยวใบหน้าของมรรคาด้วยจิตใจวูบหวิว คล้ายสายป่านกำลังขาด กระแสบางอย่างกระทบใจหล่อนอย่างรุนแรง แต่หล่อนไม่อาจเข้าใจมันได้...ใคร...กำลังจะบอกอะไร...

ชั่วเวลานั้น ปีกแก้วจึงสังเกตเห็น ถนนข้างหน้ากำลังว่างจากรถ...มันว่างจนผิดปกติ...

แก่นจอดสิบล้อตรงด้านหัวมุมจะกลับรถ เขามองเห็นถนนที่ว่างวาย มีเพียงรถยนต์คันเดียวแล่นมาอย่างโดดเดี่ยว เขาเห็น...แต่เขาไม่มีความรู้สึกอะไร หากมีใครนั่งใกล้จะต้องรู้สึกกลัว...

นัยน์ตาของแก่นเหลือกกลับเห็นแต่ตาขาว ท่านั่งของเขาตรงแน่วไม่ผิดหุ่นยนต์...เขาไม่มีตาดำ แต่เขายังเห็น...เห็นรถยนต์คันนั้นขับเข้ามาใกล้...ใบหน้าของแก่นชาด้านไม่มีความรู้สึก แต่ขาเหยียบคลัตช์ มือเข้าเกียร์...เท้าเหยียบคันเร่ง...พร้อม

มรรคามองเห็นรถสิบล้อที่จอดเตรียมจะเลี้ยวแต่ไกล เขายังนึกสงสัย ถนนว่างขนาดนี้ทำไมคนขับถึงไม่ยอมเลี้ยวไปสักที ด้วยความไม่ประมาท เขาจึงลดความเร็วลง เผื่อคนขับสิบล้อเกิดพรวดพราดขับออกมาในระยะกระชั้นชิด เขาจะได้เหยียบเบรกทัน

เขาทำถูกแล้ว...แต่สิ่งที่เขาคาดคำนวณไม่ได้ยังมี

ปัง มรรคาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขามั่นใจว่าตนเองน่าจะขับพ้นรถสิบล้อคันนั้นมาแล้ว แต่ขณะที่เขาขับรถจะผ่านหน้ามันไป มันกลับพุ่งชนเขาอย่างเร็ว...เป็นความเร็วที่คาดไม่ถึง

ไม่มีใครคาดถึงมาก่อนว่ารถที่จอดนิ่งสนิทอย่างนั้น จะพุ่งตัวออกมาได้เร็วขนาดนี้...

รถของมรรคาถูกชนจนตกถนนและกลิ้งไปสามสี่ตลบ จากนั้นก็นิ่งสนิท ส่วนเจ้ารถสิบล้อกลับจอดขวางกลางถนนโดยไม่รู้สึกรู้สา คนขับยังคงกุมพวงมาลัยอยู่จุดเดิม จะผิดแปลกไปบ้างก็ตรงดวงตาที่เหลือกค้าง คอหักพับและเลือดที่ไหลย้อยจากมุมปากจนเปื้อนเสื้อเป็นหย่อมใหญ่


๑๗

บัดซบ

เสียงตวาดมีอำนาจแผดกล้าไม่ต่างจากเสียงฟ้าร้องดังขึ้น รากไทรนับร้อยรวมตัวกันฟาดกระหน่ำยังร่างปิศาจหมอผี

เพียะ เพียะ ทุกรอยฟาดทำให้ร่างนั้นสะท้านเยือก แม้รอยแผลแตกจะผสานคืนอย่างรวดเร็ว แต่ความเจ็บปวดทรมานไม่ได้คลายลงเลย

ขะ...ข้า...น้อย ขอโอกาสกล่าว โทสะของผู้เป็นนายเริ่มคลายลง มันค่อยกล้าเงยหน้าพยายามอธิบาย

มึงมีอะไรจะพูดกับกูอีก

น้ำเสียงกราดเกรี้ยว รากไทรคล้ายเส้นผมนางมารร้ายกรูเกรียวเข้ามามัดมือเท้ามันจนแนบแน่น

สิ่งที่มึงทำ อาจทำให้กูต้องถูกขังอยู่ที่นี่อย่างไม่มีกำหนด

ปิศาจหมอผีถูกดึงร่างขึ้นสูง แขนขากางรอเวลาโดนฉีกได้ทุกเมื่อ

ตะ...แต่...จ้าวให้ข้าแยกผู้หญิงสองคนออกจากมัน ในคำตอบแฝงความประหวั่นพรั่นพรึง

ใช่ กับนางผู้หญิงที่มีอาคม มึงทำได้ดีมาก แต่ที่มึงทำในคราวนี้ มันไม่ใช่แค่ทำให้นังผู้หญิงคนนั้นต้องตายคนเดียว แต่อาจฆ่าทิชาเทพลงไปด้วย อย่างนั้นความหวังที่ข้าจะได้ออกไป ไยมิใช่ยิ่งเนิ่นนาน

ขะ...ข้า...น้อย ผู้ถูกควบคุมไม่อาจหาคำใดมากล่าวแก้ตัว นอกจากท่าทางที่สั่นระรัว ไม่ผิดจากกระต่ายหนีภัยนายพราน ใบหน้ายิ่งซีดแห้งดังกระดาษเก่าๆ

แล้วพลัน รากไทรที่พันธนาการมันก็คลายออกอย่างรวดเร็ว ร่างทะมึนใหญ่ร่วงลงมากระแทกพื้นเสียงดังสนั่น

ตุ้บ... เป็นนานกว่ามันจะเงยหน้าขึ้นรับคำสั่ง

จงฟัง...มึงจะทำยังไงก็ได้ อย่าให้มันตาย กฤตยาคมใดๆ ที่ข้าถ่ายทอดให้เอ็ง จงนำมาใช้ช่วยมัน ให้มันคืนความเป็นทิชาเทพ...ข้ารอมานานพอแล้ว...นานเกินไป

ปิศาจหมอผีขดร่างงองุ้มรับคำ แววตาเจ็บปวดและลึกเร้นกว่านั้น มีประกายประหลาดพิสดารบางอย่าง เป็นแววตาที่ไม่มีใครล่วงรู้ หยั่งทราบ

ทิชาเทพ...ทิชาเทพ...ทิชาเทพ...

แรกทีเดียวเสียงนี้คล้ายสายลมเคล้าเคลียปลายกลีบดอกไม้ แต่เนิ่นนานความเข้มข้นของน้ำเสียงยิ่งหนาหนักไม่ต่างจากพายุใหญ่ แล้วลงท้ายอย่างอ้อยอิ่ง...เศร้าสร้อย

ทิชาเทพ...ท่าไฉนมิอาจมา...

เสียงสตรีที่บอกถึงความรวดร้าว สิ้นหวัง แต่ละคำเจือด้วยเสียงสะอื้น แต่ละเสียงสะอื้น เหมือนกลั่นออกมาจากหยาดน้ำตา

มรรคาถอนใจ เขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังเป็นใคร เสียงเรียกวังเวงนี้เร่งเร้าจนเขาไม่อาจหักใจเบือนหน้าหนี เขาไม่อาจเฉยเมยต่อจิตเจตนาแรงกล้านี้ได้

ควันธูปสีขาวลอยคละคลุ้ง ร่างบอบบางคุกเข่าอยู่หน้าแท่นเพียงตา เส้นผมสีขาวกระจายเต็มหลัง เขายืนนิ่งๆ เบื้องหน้าหล่อน มองด้วยแววตาเวทนาจนหล่อนรู้สึกตัว และเมื่อหญิงผู้นั้นหันกลับมา หัวใจเขายิ่งดิ่งลึกสู่ความรันทด

ท่านมาแล้ว...ท่านมา...ท่านมาจริงๆ

คำพูดละล่ำละลัก หล่อนคลานเข้ามาอย่างลิงโลด ใบหน้าที่เขาคุ้นเคยดูแก่ชราลงจนน่าตกใจ แววตาหม่นหมอง แก้มตอบ ซูบเรียว ยิ่งผมขาวโพลนทำให้ใครๆ อาจคิดว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอายุเกือบร้อยปี

กะพ้อ คำเรียกของเขายังคงเป็นหยาดน้ำอันชุ่มเย็นที่รินรดบนใจแห้งผากเช่นเคย

เจ้าเรียกข้ามากระนั้นหรือ เขาถามอย่างปรานี

ใบหน้าชุ่มน้ำตาของหญิงคล้ายชราเงยขึ้น กล่าวเสียงรันทด

ช่วยพวกข้าน้อยด้วย ขออำนาจแห่งท่าน ช่วยเหลือพวกข้าน้อยด้วยเถิด

แล้วเขาก็ได้รับรู้ จ้าวรักษาสัญญาเพียงสองข้ออย่างที่บอกจริงๆ ข้อแรกห้ามทำร้ายกะพ้อ ข้อสองให้ชาวบ้านเลิกบูชานับถือจ้าวเสีย แต่จ้าวไม่เคยสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายชาวบ้านคนอื่น ไม่เคยสัญญาว่าจะไม่สร้างทุพภิกขภัยแก่ชาวบ้าน ทิชาเทพพลาดเอง พลาดเพราะคิดไม่ถึงความกลับกลอกของจ้าว

การที่ผู้คนจะบูชา นับถือสิ่งใด ล้วนเกิดแต่ใจและศรัทธาเฉพาะตน ไม่มีใครบังคับได้ ทิชาเทพบังคับไม่ได้ จ้าวก็บังคับไม่ได้ แต่หากจะให้ผู้คนเชื่อถือศรัทธา จำต้องสร้างศรัทธาขึ้นมา ซึ่งในสัญญาสองข้อ ทิชาเทพไม่ได้ห้ามจ้าว สร้าง ศรัทธา

จ้าวจึง สร้าง ศรัทธาต่อชาวบ้านโดยใช้ ความกลัว

จู่ๆ อาจมีคนในหมู่บ้านตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือบางทีกระท่อมบางหลังอาจมีไฟไหม้แล้วหามือเพลิงไม่ได้ ที่ร้ายกว่านั้นถึงกับมีโรคห่าระบาด

สัญญาข้อสองของทิชาเทพ แม้จะมีเจตนาดี แต่กำกวมเกินไป และพูดโดยไม่ทันได้ไตร่ตรองรอบคอบ จ้าวจึงถือโอกาสตีตลบหลัง ชาวบ้านส่วนหนึ่งต้องอพยพหลบหนีไป ที่ตายก็ตายไป ที่ยังอยู่ก็มีชีวิตอย่างหวาดผวา

กะพ้อไม่ยอมออกจากหมู่บ้านตามพ่อแม่หล่อน จ้าวรักษาสัญญา ไม่ทำอันตรายหล่อนแม้สักขุมขน แต่ความทุกข์ยากที่ชาวบ้านต้องประสบ ครอบครัวหล่อนต้องพลัดแยก กัดกร่อนจนหญิงสาวไม่อาจต้องการมีชีวิต ความหวังเดียวของหล่อนคือ... ทิชาเทพ

หญิงสาวตั้งแท่นเพียงตาทุกวันได้แต่พร่ำภาวนาชื่อเขา ร้องเรียกให้เขาลงมาจากแดนสรวงเพื่อปราบทุกข์เข็ญ และลึกลงในจิตใจหล่อนต้องการพบหน้าเขา ต้องการเห็นชายผู้ยึดครองดวงใจบริสุทธิ์ของหล่อน

สามปี...สามปีเต็มๆ ที่หล่อนเพียรพยายาม กว่าทิชาเทพจะรับรู้...สวรรค์และโลกอาจไม่ห่างกันนักสำหรับบางคน แต่กับปุถุชนเช่นกะพ้อ กว่าคลื่นเจตจำนงของหล่อนจะประสานถึงผู้อยู่เบื้องบน ก็ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน...สามปี...มันไม่ต่างจากสามร้อยปี เวลากัดกร่อนหญิงสาวคนหนึ่งจนคล้ายคนชราไปเสียแล้ว

ทิชาเทพฟังด้วยความหดหู่ รู้สึกผิด หากเขาไม่ยุ่งเกี่ยวแต่แรก ชาวบ้านคนอื่นๆ อาจไม่เดือดร้อนเท่านี้ และถ้าเขามีความราอบคอบพอ จ้าว ก็คง เลี่ยงคัมภีร์ ไมได้ ความผิดพลาดเหล่านี้ เขาต้องแก้ไข

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP