วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๒๐


Literature

โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


นิทานจบ มรรคาค่อยสลับขานั่งพับเพียบ สายตามองขึ้นไปยังพระพักตร์พระพุทธรูป

ที่นางติดตามปฏิบัติธรรมกับท่าน เป็นเพราะนางศรัทธาในธรรม หรือเป็นเพราะแรงสัจจาธิษฐาน

ชายหนุ่มหลุดปากถามออกไป...ไม่นาน เขาคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วพลิ้วแว่วมาเบาๆ

นางเองก็ไม่รู้...เรื่องของกรรม และผลแห่งกรรม มันเป็นสิ่งที่เกินคาดคำนวณได้ นางรู้แต่เพียงว่า ยามนี้แค่ได้ปฏิบัติธรรม และช่วยเหลือวัฏฐากท่านบ้างเล็กๆ น้อยๆ ตามความเหมาะควร นางก็พอใจแล้ว

นิทานจบแล้วใช่ไหมครับ มรรคาถามนุ่มนวล

แล้วพ่อหนุ่มอยากให้มีต่ออีกไหม คำถามย้อน เขาก้มหน้า รอฟังต่อ ความรักของผู้หญิง ก็เป็นสิ่งที่เกินหยั่งคาดเหมือนกัน นางจะไม่ครุ่นคิดหรอกว่า...รักเพราะอะไร...รู้แต่ว่าเมื่อรักแล้ว ก็ยินยอมทำทุกสิ่งเพื่อคนที่นางรัก

มรรคาชะงัก นึกถึงกะพ้อ หญิงสาวจะเข้าใจไหมว่า...รักเขาเพราะอะไรและเหตุใด ต้องยอมรับทัณฑ์ทรมานเพื่อเขา...

ส่วนผู้ชาย... ชายหนุ่มเริ่ม พยายามเรียบเรียงคำพูด ควรทำอย่างไรเมื่อรู้ว่ามีผู้หญิงที่ยอมทำเพื่อตัวเองขนาดนี้...ยอมกระทั่งโดนทรมานจากปิศาจร้ายเพื่อชายที่ตนรัก

แม่เป็นผู้หญิงนะ คำตอบที่ได้เรียกรอยยิ้มจากเขา แล้วเธอจะทำอย่างไรล่ะ

เมื่อโดนย้อนถาม เขาถึงกับอึ้ง...

ผมไม่รู้...

เอาอย่างนี้ไหม เธอนิมนต์หลวงพ่อให้ไปช่วยปราบปิศาจร้ายตนนั้นเพื่อช่วยหญิงสาวคนนั้นออกมา หรือไม่ก็ขอของวิเศษจากหลวงพ่อสักอย่างไปสู้กับมัน...

มรรคาตอบไม่ถูก...แท้จริง นี่เป็นวิธีง่ายๆ ตรงจุดที่สุด...แต่เขากระทำได้หรือต่อให้หลวงพ่อรับปาก เขาจะกล้านิมนต์ท่าน หรือขอ ของดี จากท่านเพื่อไปปราบ จ้าว...ทั้งๆ ที่ สัจจะ ซึ่งจ้าวทวนคำให้เขาได้ยินยังก้องอยู่ในหู...ถ้าเขาทำเช่นนั้นก็ยังจะเหลือ ศักดิ์อันใดอยู่อีกเล่า

งั้นแม่จะถามใหม่ เสียงของแม่ขาวจันแฝงความเอ็นดู เวลานี้เธอทำอย่างไรได้บ้าง

มรรคาขยับปากจะตอบ แต่แล้วต้องอึ้ง ก้มหน้ายอมรับ...เวลานี้ เขาทำอะไรได้?

ไม่ได้ครับ เขาตอบ

ในเมื่อเธอทำอะไรไม่ได้แล้วมันเป็นทุกข์อย่างนี้ จะได้ประโยชน์อะไร แม่ขาวจันย้อน

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งราวรูปสลัก นัยน์ตายังจ้องมองพระพักตร์ที่อิ่มเอิบ ปรานีของพระพุทธรูปเบื้องหน้า พระพุทธองค์ทรงช่วยสรรพสัตว์ทุกทั่วหน้า...ไม่เคยแบ่งหญิงชาย ราชา มหาโจร...ถ้าจะถามว่าพระองค์สามารถช่วยส่ำสัตว์ได้หมดวัฏสงสารหรือไม่...คำตอบคือไม่

แล้วพระองค์ทำอย่างไร...?

วางอุเบกขา...

แม้จิตใจเขาจะซึมซับธรรมะเข้าไปไม่น้อย หากส่วนลึกความกระวนกระวายใจยังมีอยู่...

กะพ้อต้องทัณฑ์ทรมานทุกวันเพราะเขา...เขาควรรับผิดชอบ

เมื่อตอนที่วิญญาณดวงนั้นรู้ว่าเณรที่ตนเองติดตาม คืออดีตชายคนรักที่เฝ้ารอมาแสนนาน...แต่ทว่าไม่สามารถติดต่อบอกกับเณรได้...นางรู้สึกอย่างไรครับ มรรคาวนกลับไปที่นิทานอีกครั้ง

ก็คงเหมือนผู้หญิงทั่วไป คือเศร้า...เสียใจ แต่ก็ไม่นาน พอทำใจได้ ก็มีแต่ความปีติ...แท้จริง ต่อให้ทั้งชีวิตเณรจะไม่สามารถติดต่อกับนางได้เลย นางก็ยังพอใจที่ได้ติดตามท่าน ได้รักและเฝ้ารอคอยท่าน...

ทำไม มรรคาพูดช้าๆ ทำไมต้องเสียสละกันถึงขนาดนี้ด้วย...ความรักต้องมีทั้งการให้และรับไม่ใช่หรือครับ ทำไมต้องให้ฝ่ายหนึ่งเสียสละเพียงคนเดียวโดยอีกฝ่ายอยู่อย่างสุขสบาย ไม่รับรู้เรื่องใดเลย

เพราะรักอย่างไรเล่า ที่สุด แม่ขาวจันค่อยๆ หันมา ดวงหน้าไม่สาวแต่ก็ไม่ชรา ความสดใสและราศีฉายชัด จนผู้พบเห็นอดอิ่มเอิบใจไม่ได้

เมื่อรักแล้ว เราจะไม่สนใจหรอกว่า เรากำลังเป็นฝ่ายให้หรือเป็นฝ่ายรับ...ขอเพียงเราพอใจ...ขอเพียงคนที่เรารักเป็นสุข...นั่นคือผลตอบแทนที่คุ้มค่าแล้ว

มรรคาอึ้ง...ลำคอเต็มตื้นด้วยความรู้สึกบางประการที่เอ่อล้นขึ้นมา

ถ้าแม่เป็นกะพ้อ แม่ขาวจันเรียกชื่อตรงๆ ได้รู้ว่าชายที่ตนรักเดือดร้อนและกลัดกลุ้มถึงขนาดนี้ แม่คงยินดี และเสียใจ

แววตาของแม่ขาวจันสุกสกาวดั่งดาวจรัสแสง

ยินดีที่ความรักของตนไม่สูญเปล่า และเสียใจที่ทำให้ชายคนนั้นเป็นทุกข์ นางคงอยากบอกเขาว่า ต่อให้นางต้องโดนทัณฑ์หนักกว่านี้ นางก็ยินยอมรับได้ ขอเพียงเขาได้จดจำนาง...

ชายหนุ่มยิ่งพูดอะไรไม่ออก ขอบตาร้อนผะผ่าวราวกับมีน้ำกรดมาเอ่อคลอ แม่ขาวจันพูดเพียงเท่านี้ เขาก็เข้าใจถึงความรักอย่างกระจ่าง...กระจ่างจน...จนยากอธิบาย

หลวงพ่อท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในช่วงสุดท้ายหัวเลี้ยวหัวต่อ แม่ขาวจันพูดอีกเรื่อง ต่อให้พ่อหนุ่มเจอท่านพรุ่งนี้ ก็ไม่ควรคุยเรื่องเหล่านี้กับบรรพชิตหรอกจ้ะ...แม่ถึงต้องมาคุยกับพ่อหนุ่มเอง

มรรคากล้ำกลืนก้อนขมๆ ลงคอ พับขาขึ้นคุกเข่า แล้วก้มลงกราบแม่ขาวจันด้วยกิริยาเคารพ นอบน้อมสูงสุด...

เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาพบว่า...ตนเองกำลังอยู่โดดเดี่ยว ท่ามกลางแสงเทียนวับแวม และกลิ่นธูปกรุ่นกำจาย...


มรรคาออกจากวัดหลังพระฉันจังหันเรียบร้อย เขาไม่ได้รอพบหลวงพ่อ แม่ขาวจันบอกว่าหลวงพ่อกำลังเร่งปฏิบัติธรรมเฉพาะตน ถ้าไม่จำเป็น เขาไม่กล้ารบกวนท่าน อีกทั้งปัญหาส่วนใหญ่ก็คลี่คลายลงบ้างแล้ว

เขามาถึงออฟฟิศเกือบบ่ายโมง ด้วยเครื่องแต่งกายชุดเดิม ใบหน้าสดใสขึ้น เงาทะมึนแห่งความว้าวุ่นใจจางลงไปเกือบครึ่ง

พันเกลียว มรรคาชะงัก เมื่อเห็นหญิงสาวนั่งรออยู่หน้าห้อง

ดิฉันบอกเขาแล้วค่ะคุณมัค ว่าไม่แน่คุณจะกลับบ่ายนี้มั้ย แต่เธอยืนยันว่าจะรอ เลขาหน้าห้องเขารีบรายงาน

ไม่เป็นไร เขาพูดโดยที่สายตาไม่คลาดจากใบหน้าหญิงสาว เชิญครับ

เขาก้มศีรษะเป็นเชิงทักทาย ก่อนนำหน้าเข้าห้อง

พันเกลียวแทบไม่รอให้มรรคานั่งเก้าอี้เรียบร้อย หล่อนก็รีบพูดเข้าสู่ประเด็นทันที

กะพ้อกำลังตกอยู่ในอันตราย

ผมรู้ มรรคารับคำด้วยเสียงเรียบๆ จ้าวมาบอกผม

มิน่า... นัยน์ตาดำลึกของพันเกลียวฉายแววรำลึก ฉันเห็นภาพกะพ้อกำลังถูกเหยียบด้วยอุ้งเท้าขนาดใหญ่ และโดนทรมานจนน่าสงสาร

มรรคาขบริมฝีปากนิ่ง

แล้วคุณจะทำยังไง หญิงสาวถาม

คุณจะให้ผมทำยังไง เขาย้อนถาม หากเป็นเมื่อวาน เขาคงร้อนรน สงสาร ดิ้นรนพยายามสุดกำลังเพื่อช่วยเหลือเต็มที่ แต่บัดนี้เขารู้แล้ว วิธีเดียวที่ช่วยกะพ้อได้ คือต้องสงบใจรอคอย...

คุณ... พันเกลียวมีอาการเกือบจะโกรธ แต่สงบอารมณ์ได้ทัน ฉันไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับกะพ้อ แต่ฉันแน่ใจว่าฉันกับกะพ้อมีความผูกพันกัน...หลายคืนที่เธอมาเข้าฝันฉัน เธอเล่าซ้ำซากถึงความรักที่เธอมีต่อคุณ แต่คุณกลับทำเฉยทั้งๆ ที่รู้

มรรคาไม่พูดอะไรต่อ...เขาไม่ชอบบอกเล่าความรู้สึกส่วนตัวให้ใครฟัง...

จ้าวมาหาผม บอกให้ผมทำตามสัญญาปล่อยเขาออกมา ชายหนุ่มคุยไปอีกเรื่อง

สัญญาอะไร พันเกลียวสงสัย เรื่องนี้กะพ้ออาจเล่าให้ฟังในฝัน แต่หล่อนไม่อาจจดจำได้ทั้งหมด

มรรคาจึงอธิบายต่อ...ตามเหตุการณ์ที่เขาได้พบกับจ้าว ก่อนปิดท้ายว่า

คุณก็รู้ ผมจะทำอะไรได้...มีแต่ทิชาเทพถึงสามารถปล่อยจ้าวจากที่คุมขังได้...

เดี๋ยว พันเกลียวสะดุดใจ คุณบอกว่าจ้าวถูกขัง แต่ทำไมจ้าวถึงมาทวนสัญญากับคุณได้

มรรคาก็เพิ่งนึกได้เช่นกัน

ทำไม

ใช่...ทำไม พันเกลียวทวนคำถาม แล้วนิ่งไปนาน นึกถึงเหตุการณ์ที่เข้าไปในดงไม้สนธยานั่น... ฉันรู้แล้ว หล่อนอุทาน

หรือว่าเป็นร่างแปลงของปิศาจหมอผีนั่น มรรคาก็เริ่มสงสัย

ปิศาจหมอผีเป็นสมุนเอกของจ้าว...ช่วงเวลาที่จ้าวถูกขัง มีแต่มันเท่านั้นที่ออกอาละวาด พันเกลียวเสริม แต่ยังไงเสีย มันคงไม่กล้าปลอมตัวเป็นจ้าวหรอก นอกจากว่า...

นอกจากจ้าวจะอาศัยมันเป็นสื่อมาบอกกับผมงั้นหรือ

หญิงสาวมองเขาอย่างพิศวง ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะเข้าใจได้เร็วขนาดนี้

จ้าวคงใช้ปิศาจหมอผีแทนกระจก สะท้อนเงาของตัวเองออกมานั่นแหละ มรรคาสรุป

ฉันอยากจะชวนคุณไปช่วยกะพ้อ พันเกลียวบอกเหตุผลแท้จริงที่มา

คุณมั่นใจ เขาถาม ยังจำเหตุการณ์ที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนดี ไม่ใช่ว่าดูถูก แต่จากการที่มันกล้าส่งภาพตัวเองมาจากที่คุมขังได้ คุณก็น่าจะรู้ว่า พลัง มันไม่ใช่น้อย

พันเกลียวขบริมฝีปาก กะพ้อก็เคยบอกฉันว่า อย่าหักหาญกับจ้าวตรงๆ แต่ฉันว่ามันก็น่าจะลอง อีกอย่างพ่อฉันก็ทิ้ง ของดี ไว้บ้างเหมือนกัน คราวนี้เราจะไม่ไปมือเปล่าเหมือนคราวที่แล้ว

เอาสิ มรรคาตอบง่ายๆ ถ้าคุณอยากลอง ผมก็จะร่วมด้วย

เขาพูดทั้งๆ ที่ไม่มีความมั่นใจเลย แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่ลองทำอะไรเลย


พันเกลียวกำลังจะอธิบายแผนของหล่อน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะมรรคาก็ดังขึ้น

ขอโทษ เขาพูดตามมารยาท ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้น มรรคาพูด

ปลายสายมีแต่ความเงียบ แรกสุดเขาคิดว่าสัญญาณคงขาดหาย กำลังจะปิดเครื่อง แต่กลับมีเสียงเบาๆ คล้ายเสียงถอนใจ ไม่ก็เสียงสะอื้น

ใครครับ เขาทอดเสียงเบา อ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว

ในความเงียบ มีเสียงลมและคลื่นดังแว่วๆ ชื่อหนึ่งแล่นปราดเข้าสู่ใจมรรคาเต็มตื้นไม่รู้ตัว

แก้วหรือจ๊ะ

เขามั่นใจว่าได้ยินเสียงกลั้นสะอื้น ก่อนจะมีเสียงเบาอู้อี้ไม่ต่างจากเสียงแมลงหวี่ดังออกมา

คิดถึงจัง เพียงเท่านี้เขาก็ยิ้มออก เป็นรอยยิ้มที่พันเกลียวต้องเบือนหน้าหลบ หล่อนไม่อาจยอมรับกับตัวเองได้ว่า ต้องการให้เขายิ้มกับหล่อนเช่นนี้

มรรคาไม่สนใจว่าในห้องยังมี คนอื่น ซึ่งนั่งห่างกับเขาเพียงแค่โต๊ะกั้นกลาง สำหรับเขา เจ้าของเสียงที่พูดออกมาสั้นๆ มี่ค่ากว่าสิ่งใด ทำให้เขาไม่สนใจใครในโลกก็ได้

เที่ยวสนุกมั้ยจ๊ะ เขาเป็นฝ่ายพูดต่อ โดยอีกฝ่ายส่งมาแค่สายลมและเสียงคลื่น ที่บ้านเหงากันน่าดู คุณนายแฉล้มของเราน้ำหนักลดไปตั้งหลายกิโล บอกว่าทำกับข้าวอะไรก็ไม่อร่อย เพราะขาดแก้วเป็นคนชิม แกให้พี่เพจหาแก้ว บอกว่าช่วยติดต่อกลับบ้านด้วย ที่แก้วเคยหลอกผีแกนั้น แกให้อภัยแล้ว...พี่ก็เพจไปทั้งๆ ที่รู้ว่าแก้วทิ้งเครื่องไว้ในห้อง...

มรรคาพูดต่อไปอีกยืดยาว...ระหว่างที่ปีกแก้วไม่อยู่ ช่างมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน...เขาพูดโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายฟังอยู่หรือไม่ และไม่คิดว่าตนเองจะมีเรื่องมาเล่าให้ฟังได้มากถึงขนาดนั้น

พี่ก็เหงาเหมือนกัน เขาพูดถึงตัวเอง รู้มั้ยว่ากล่องดนตรีรูปปลามีปีกของแก้วน่ะ พี่แอบไปเปิดฟังจนมันจะพังอยู่แล้ว เอาไว้แก้วกลับมา เราค่อยไปซื้อกันใหม่นะ เขาหยุดพูด หวังจะได้รับการตอบโต้บ้าง แต่ก็เงียบ...

พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเกิดของแก้วแล้ว ให้พี่ซื้อเป็นของขวัญอีกชิ้นดีมั้ยจ๊ะ...แก้วอยู่ที่ไหน...บอกพี่ได้หรือเปล่า

ท้ายเสียงเขาไม่อาจปกปิดความร้อนใจเอาไว้ได้

เงียบกันทั้งสองฝ่าย...มรรคากำลังรอฟัง...ฟังคำพูดที่จะตอบออกมา...คำพูดที่มากกว่าประโยคเดียวในตอนแรก

มีเสียงดังปนสะอื้นแว่วๆ... แก้วรักพี่มัค

...เงียบ...คราวนี้เป็นความเงียบจริงๆ เงียบจนลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งจิตใจมรรคา

พันเกลียวนั่งอยู่ในอิริยาบถเดิม ความคุ้นต่อการฝึกจิตให้สงบแน่วแน่ ทำให้หล่อนมีอารมณ์วูบไหวเพียงชั่วครู่แล้วก็ตั้งสติได้ หล่อนมองสีหน้าของมรรคาอย่างเข้าใจ...และลึกลงไปกว่านั้น หล่อนกำลังสงสารตัวเอง

ผมขอโทษ ครู่ใหญ่กว่าชายหนุ่มจะรู้สึกตัว เขาตั้งสติ พูดอย่างเป็นงานเป็นการ เรื่องกะพ้อ เราพูดไปถึงไหนแล้วนะ

ฉันสามารถช่วยคุณตามหาน้องสาวได้ พันเกลียวพูดเรียบๆ มรรคาชะงักแววตาตื่นเต้นปนลังเล

แต่...กะพ้อ

เลือกเอาสิ ว่าคุณจะช่วยใคร หญิงสาวพูดแล้วมองดูอากัปกิริยาของเขา

มรรคาพูดไม่ออก...ถ้าให้เลือก เขาจะเลือกช่วยใคร ปีกแก้วกำลังทุกข์ทรมานใจ...กะพ้อกำลังถูกทำร้ายดวงวิญญาณ...แววตาชายหนุ่มบอกถึงความไม่มั่นใจ แท้ที่จริง เขาไม่ต้องการเลือกเลย

ปีกแก้วโทรศัพท์มาหาเขาเช่นนี้ แสดงว่าหล่อนต้องการเขาอย่างยิ่ง...ส่วนกะพ้อถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือหล่อน...เขายังจะนับว่าเป็นคนมีน้ำใจอยู่อีกหรือ...

พันเกลียวไม่อาจทนดูท่าทางอึดอัด ลังเล และว้าวุ่นใจของเขาได้ หล่อนจึงพูดออกมาในที่สุด

ฉันต้องเอา ของ ที่จะใช้ช่วยกะพ้อ ไปทำพิธีสักวันสองวัน...คุณพอมีเวลา

แล้วหญิงสาวก็ได้เห็นรอยยิ้มของมรรคา เป็นรอยยิ้มที่ชายหนุ่มมอบให้เธออย่างจริงใจ


ถ้วยกาแฟเคลือบสีขาวสะอาด รินน้ำเพียงครึ่งเดียว ถูกวางไว้เบื้องหน้าพันเกลียว น้ำใสบริสุทธิ์กระจ่างดุจกระจกเงา หญิงสาวใช้ปลายนิ้วแตะปากถ้วยเบาๆ แล้วหลับตา มรรคทำตาม นัยน์ตาจับจ้องน้ำใสในถ้วยกาแฟ

น้ำเริ่มหมุนช้าๆ ละอองไอสีเทาจางๆ คลี่ปกคลุมรอบถ้วยจนหมด ความเย็นเฉียบแล่นปราดจากปลายนิ้วสู่ต้นแขน มรรคาค่อยๆ ปล่อยให้ความเย็นหลอมรวมกับความร้อนในร่าง กลายเป็นกระแสอันอบอุ่น แผ่ซ่านสู่ทรวงอก จากนั้นหมอกสีเทาค่อยจางหาย น้ำนิ่งเรียบจนมองเห็นชัด

ท้องฟ้าสีครามเข้มปรากฏอยู่ในนั้น ท้องทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา หาดทรายขาวละเอียด ทิวมะพร้าวทอดตัวเป็นแนวจดขุนเขา คลื่นกระทบฝั่งซัดซ่าใส่โขดหินที่ดารดาษอย่างไม่เป็นระเบียบ

มรรคามองเห็นบ้านหลังน้อยริมทะเล สะพานปลาทอดยาว และร่างเล็กๆ ที่ดูเหมือนจุดดำๆ นั่งอยู่...เขาพอจะรู้ว่า ที่แห่งนั้นคือที่ใด...


ลมแรงพัดตีเส้นผมเขาเสียกระเจิดกระเจิง มรรคาปิดประตูรถ แล้วมองบ้านหลังเล็กๆ ที่ตั้งโดดเดี่ยวริมทะเลหลังนั้น...เขาน่าจะรู้นานแล้วว่าปีกแก้วต้องอยู่ที่นี่ บ้านริมทะเลหลังน้อยของครอบครัวเขาเอง

ประตูบ้านปิดสนิท แสดงว่าเจ้าตัวไม่อยู่ แต่ตรงระเบียงหน้าบ้าน ยังมีกองหนังสือตั้งวางเป็นระเบียบ บนโต๊ะเล็กๆ มีแจกันปักดอกไม้ที่เพิ่งตัดจากต้นไม่ถึงวัน

มรรคามองฝ่าแสงตะวันยามอ่อนล้า ไปยังท้องทะเลและชายฝั่งที่แลลิบๆ ไกลจนเกือบถึงปลายหาด มีสะพานปลาทอดตัวยาวเหยียด เวลานั้น เรือหาปลาต่างออกทะเลกันหมดแล้ว ท้องฟ้าเป็นสีส้มจัด ตัวสะพานมองเห็นเป็นเงาดำตัดกับผิวทะเล

เขาเดินลุยทรายนุ่มขาวละเอียดไปช้าๆ ระยะทางไม่นับว่าใกล้นัก แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ไกลเลย เพียงแค่เอื้อมมือก็ถึงแล้ว

คลื่นยังทยอยซัดชายหาดไม่ขาดระยะ ดวงอาทิตย์เกือบแตะถึงผืนน้ำทะเล คลื่นครามระยิบระยับสะท้อนแดดลำสุดท้ายเป็นประกายสีทอง...ลมยังคงพัดแรง มรรคาเสยผมที่ตีระปัดใบหน้าเขา สายตามองเห็นสะพานปลาที่อยู่ใกล้เข้ามาค่อนข้างชัดเจน

ที่ปลายสะพานมีร่างเล็กๆ นั่งมองทะเลอยู่เดียวดาย

ชายหนุ่มมายืนที่หัวสะพาน สายลมกรรโชกจนเสื้อผ้าเขาแทบปลิวหลุดจากร่าง นกนางนวลบินผ่านตัดหน้าเป็นฝูง เสียงร้องของมันดังผสานจนเป็นจังหวะเดียวกับเกลียวคลื่น...เขาเดินช้าๆ สองมือล้วงกระเป๋า เพื่อบังคับไม่ให้มันสั่น ยอมรับว่ากำลังตื่นเต้น

ทุกก้าวที่ขาพาไป มันยิ่งทำให้จิตใจเต็มตื้นขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบถึงปลายทาง มองเห็นร่างนั้นชัดเจน เด็กสาวกำลังนั่งห้อยขา ใบหน้ามองออกไปยังท้องทะเลอันกว้างไกล เส้นผมยาวหยักสลวยถูกลมตีพัดจนยุ่งเหยิงหากเจ้าตัวก็มิได้ใส่ใจ ราวกับหลอมความรู้สึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้ว

มรรคาอยากเข้าไปหา แต่ขากลับก้าวไม่ออก มันยืนนิ่งเหมือนมีรากงอก ลมแรงพัดเส้นผมเข้ามาแยงนัยน์ตา เขาหลับตาลงแล้วดึงมือออกมาปัด...เมื่อลืมขึ้นอีกครั้ง พบว่าใบหน้าที่หันออกทะเลตลอดเวลาได้เหลียวกลับมาดูเขา

เด็กสาวปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิง มองเขาอย่างตื่นตะลึง...มรรคาก้าวขาออกแล้ว เขาเดินช้าๆ ดึงมือออกจากระเป๋า เวลานี้มือเขาไม่สั่น เท้าทั้งสองมั่นคง ร่างกายโปร่งเบาเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม

ริมฝีปากเขาไม่มีรอยยิ้ม ที่แก้มก็ไม่มี แต่นัยน์ตาทั้งคู่สุกใส สว่างอย่างยิ่ง สว่างเจิดจ้าไม่ต่างจากพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ประกายที่ฉายโชนในดวงตา มันยิ่งกว่าความยินดี ยิ่งกว่ารอยยิ้ม ถ้านับรวมเอาความปีติทั้งมวลมาไว้ในดวงตาเขา ก็ไม่น่าเกินจริงสักเท่าใด

หลังจากหายตกตะลึง ปีกแก้วเริ่มยิ้ม...ยิ้มพร้อมๆ กับหยาดน้ำตาไหลระรินจากดวงตาทั้งสองข้าง

หล่อนโผมาแล้ว...โผมาทั้งร่าง เข้าสู่อ้อมกอดมรรคา...วงแขนทั้งสองโอบรอบเอวเขาแนบแน่น ใบหน้าซุกอยู่ในอ้อมอกเขาดั่งนกน้อยเฝ้าหาไออุ่น น้ำตาพร่างพรมจนอกเสื้อเขาเปียกชุ่มโชก มรรคารัดร่างน้อยไว้ไม่ยอมปล่อย เด็กสาวสะอื้นไห้จนตัวโยน มือใหญ่ นิ้วเรียวยาวลูบหลังหล่อนอย่างอ่อนโยน

ไม่มีคำพูด...มรรคาไม่รู้จะพูดอะไร ร่างในอ้อมแขนก็ไม่มีคำพูด หล่อนพอใจเพียงได้ร้องไห้กับอกกว้างให้สมอยาก ร้องอย่างเต็มที่เพื่อบอกความในใจทั้งมวล


ดวงตะวันถูกกลืนลงทะเลไปแล้ว ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ตรงจุดที่ผิวน้ำแตะกับขอบฟ้าด้านตะวันตก ยังพอมีแสงสีส้มระเรื่อฉาบไล้ คล้ายการสั่งลาก่อนราตรีกาลจะเข้ามาทดแทน

มรรคาทรุดร่างลงนั่งบนปลายสะพาน ปีกแก้วอยู่ในอ้อมแขนเขา วงแขนชายหนุ่มกระหวัดร่างหล่อนจนแนบแน่นราวกับเป็นเนื้อเดียวกัน ศีรษะเล็กๆ ซุกอยู่ระหว่างซอกไหล่กับอ้อมอก น้ำตาแห้งแล้ว แต่เจ้าตัวยังพอใจที่จะให้คนตัวโตกว่ากอดไว้เช่นนี้

คราวนี้อย่าหนีพี่ไปไหนโดยไม่บอกอีกนะ

มรรคากระซิบเบาๆ คนตัวเล็กกว่าไม่ตอบ แถมยังเบียดร่างชิดเข้ามาอีก

หนาวหรือจ๊ะ เขาถาม แต่อีกฝ่ายสั่นหน้า แถมยังพูดไปอีกเรื่อง

ตอนโทรศัพท์คุยกัน...พี่มัคยังเล่าเรื่องที่บ้านไม่จบเลย บัตรโทรศัพท์ของแก้วก็หมดก่อน นัยน์ตาแจ่มแจ๋วเงยขึ้นสบเขา เล่าต่อสิคะ...พี่มัคเล่าสนุกดี

เด็กบ้า เขายีหัวหล่อนด้วยความเอ็นดูกึ่งหมั่นไส้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเล่าเรื่องราวต่างๆ ตามคำขอร้อง...ปีกแก้วไม่อยู่บ้านเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่ทุกคนรู้สึกเหมือนหล่อนจากไปเป็นปี

ดวงดาวขึ้นมาประดับฟ้าทีละดวง ท้องฟ้าสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ เสียงคลื่นยังคงซัดซ่าไม่ขาดระยะ คนทั้งสองยังนั่งอิงไม่ขยับไปไหน...มีเรื่องราวมากมายที่ต้องพูดคุยกัน ถ่ายทอดแก่กัน เวลาที่ล่วงผ่านล้วนไม่สำคัญ ฟ้าจะมืดสักเพียงใดก็ยังมีแสงดาวนำทาง สะพานไม้คงทอดตัวเหนือคลื่นในทะเล ราตรีกาลกางปีกออกขับกล่อมมวลมนุษย์แล้ว...


(โปรด ติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP