วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๑๙


Literature

โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

คุณมัคแกอยู่ในห้องคุณแก้วนานจังเลยนะป้า เจ้าชัยเปรยขึ้น

แล้วเอ็งไปสอดรู้เรื่องของเขาได้ยังไงวะ ป้าแฉล้มเอ็ด แต่ใจจริงใช่ว่าไม่อยากรู้

โธ่...ก็ตะกี้ฉันเดินตรวจรอบๆ บ้าน เห็นไฟห้องคุณแก้วยังเปิดอยู่ แถมยังมีเสียงดนตรีดังกรุ๋งกริ๋งอยู่ด้วย

เฮ้อ คุณแก้วนี่ก็ช่างกระไร ผู้ยิ่งใหญ่ประจำบ้านถอนใจเฮือกใหญ่ ไปเที่ยวไหนก็ไม่ยอมบอก จะกลับเมื่อไหร่ก็ไม่บอก นี่มันเป็นอาทิตย์ๆ แล้ว ไม่สงสารคุณมัคบ้างเลย แกเป็นห่วงจะตาย

ป้าจ๋า ตอนนี้สงสารผมก่อนเถอะ เจ้าชัยบ่นอ่อยๆ

สงสารเอ็งทำไมวะ เสาหลักของบ้านด่า

ตั้งแต่คุณแก้วไม่อยู่ คุณมัคแกยิ้มเป็นที่ไหน แถมยังดุกว่าเดิมอีกตั้งเท่าตัว

กูก็ไม่เคยเห็นคุณมัคเขาด่าเอ็งนี่หว่า

ยิ่งไม่ด่านี่แหละ น่ากลัวจะตาย แค่แกมองผมก็เสียวสันหลังแล้ว ถ้าแกเตือนธรรมดา ก็เหมือนถูกป้าด่าไปสิบยี่สิบวันนั่นแหละ

ไอ้ชัย ป้าแฉล้มชี้หน้า เด็กหนุ่มทำคอย่น หัวเราะแหะๆ

อีกอย่างนะป้า คราวนี้เจ้าชัยกระซิบกระซาบ สังเกตมั้ยว่าพอคุณแก้วไม่อยู่ บ้านมันวังเวงพิกล

แค่พูดเปรยๆ ป้าแฉล้มก็ขนลุกซู่ เหลียวหน้ามองซ้ายมองขวา ก่อนบิดหูหลานชายตัวดี

ไอ้บ้า อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าไป เดี๋ยวเถอะ

ถึงจะไม่พูดแต่เจ้าตัวก็รู้ดีถึงความอึมครึมที่รายล้อมนอกกำแพงบ้าน โดยเฉพาะตอนกลางคืนซึ่งปกติจะได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้อง แต่ทุกวันนี้กลับเงียบสนิท...บ้านทั้งหลังเหมือนเกาะกลางป่าช้า ทุกคนรู้สึก แต่ไม่มีใครกล้าพูด

 

เอกสารกองใหญ่ตั้งไว้เต็มโต๊ะ มรรคาต้องใช้สมาธิอย่างมากจึงสามารถทำให้งานตรงหน้าลุล่วงไปได้ เมื่อเสร็จงานส่วนนี้ เลขาหน้าห้องก็พาประสิทธิ์เข้ามาพร้อมปัญหาในโรงงานอีกร้อยแปด

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มรรคาค่อยมีโอกาสหายใจ

มีงานอะไรอีกมั้ย เขาถาม ประสิทธิ์มองหน้าเจ้านาย นึกสงสาร แต่ก็ต้องพูด

ยังเหลืออีกเรื่องครับ

ว่ามา

ผู้รับเหมาที่เราให้ไปปรับปรุงที่ดินทำโรงงานใหม่ เขาบอกว่า งานส่วนรอบๆ จะเสร็จในอาทิตย์หน้าครับ

ได้ยินเรื่องนี้ชายหนุ่มแทบอยากอาละวาด แต่ทำได้เพียงใช้นิ้วคลึงขมับเบาๆ

ถ้าเสร็จแล้วก็พักไว้ก่อน เขาตอบ

แล้วสัญญาตามโครงการล่ะครับ ประสิทธิ์ท้วง

ผมจะคุยกับผู้ควบคุมเอง มรรคาพูดแล้วเงยหน้ามองผู้ช่วยด้วยสายตาคมกริบ หรือคุณอยากให้พวกเขาต้องกระเจิงไปอีกราย

ประสิทธิ์ถอนใจอย่างอึดอัด เราน่าจะลองหาหมอผีมาปราบนะครับ

เจ้าตัวต้องกระซิบกระซาบ เพราะเคยโดนฤทธิ์ เจ้าพ่อ มาพอแรง

ผมจัดการได้ ขอเวลาสักหน่อย มรรคาพยายามทำให้เป็นเรื่องปกติ

มีอะไรอีกมั้ย เมื่อคนเป็นนายถามอย่างนี้ ย่อมเป็นการออกปากไล่ ประสิทธิ์จึงเลี่ยงออกมา แต่ก่อนปิดประตูมรรคาได้สั่งตามหลัง บอกลัษณาด้วยว่าผมขอพักครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องให้ใครเข้ามา

ครับ รับคำพร้อมปิดประตูสนิท

ห้องกว้างเหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศครางเบาๆ มรรคาปรับเก้าอี้เอนนอนแล้วหลับตา รู้สึกปวดหัวและเหนื่อยที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา

เขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไป งานที่หนักและน่าปวดหัวกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว แต่ไม่มีครั้งใดที่เหนื่อยหน่ายเท่าครั้งนี้มาก่อน เหมือนใจไม่อยู่กับตัว ไม่รู้ว่าตนเองทำทุกอย่างเพื่ออะไร

...เมื่อไม่มีปีกแก้ว...

มรรคานอนพักสายตานานเท่าใดไม่อาจรู้ จนกระทั่งมีอาคันตุกะเกินคาดหมายคนหนึ่งมาเยือน...เขาลืมตาและยันกายขึ้น สายตาปะทะกับบุรุษหนึ่งยืนอย่างสง่างาม แต่งกายชุดสีแดงสด ผิวกายขาวจัด ใบหน้างดงาม ราวกับชะลอเอาความคมเข้มของบุรุษและอ่อนหวานของสตรีเข้าไว้ด้วยกัน

จ้าว มรรคาเย็นเยียบไปทั้งร่าง

จำข้าได้แล้วรึ ริมฝีปากไม่ขยับ แต่กระแสเสียงแจ่มชัดกลางใจ

มีอะไร เขาตั้งสติถาม

ในเมื่อจำข้าได้ ไยถึงไม่อาจจำคำสัตย์ที่ให้ไว้ได้

มรรคาขยับตัว ถอนใจ ดูจ้าวจะเร่งเร้าคำสัญญาที่เขาไม่อาจจดจำนั้นได้สักที

ผมต้องปล่อยคุณจากที่คุมขังใช่ไหม เขาถามเพราะจำได้ว่าจ้าวถูกขัง

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น น้ำเสียงเคียดแค้น ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ

ถ้าอย่างนั้น มรรคาพูดอย่างเหลืออด เขาลุกขึ้นยืนสบตาจ้าวแน่วนิ่ง คุณก็ทวนคำสัญญาที่ผมให้ไว้สักทีสิ ถ้าผมทำได้ เราจะได้หมดภาระกันที

ได้ เสียงตอบกึกก้อง เจ้าจงฟัง

ใบหน้าแดงระเรื่อของจ้าวกลายเป็นสีขาว...ขาวจนดูซีด...ซีดแล้วกลับใสกระทั่งสามารถแลทะลุได้

ข้า...ทิชาเทพ เสียงกังวาน ดังมาสู่ใจมรรคา ขอให้สัจจะต่อฟ้าดินและเทพเบื้องสูง ณ แดนสุขาวดี

เมื่อใดที่ข้าได้กำเนิดเป็นมนุษย์ และสามารถทวนความหนหลังสมบูรณ์ ข้าจะมาปล่อยปิศาจ จ้าว ตนนี้ และยอมเข้าต่อสู้หักหาญกับมัน โดยไม่ใช้อำนาจฤทธาแห่งเทพแม้สักเพียงกระผีก

มรรคาตัวชาเห่อ ความร้อนซึมซาบทุกรูขุมขน

ด้วยสองมือและหนึ่งปัญญาเช่นข้าในวันหน้า หากต้องพ่ายแพ้แก่มัน ข้าก็จะยอมติดตามเป็นทาสมันตลอดหนึ่งกัป ไม่ว่ามันจะไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่แห่งหนใดก็ตาม

คำพูดกังวานชัด ทรงอำนาจ ไม่คล้ายเสียงของจ้าวเงียบหายไป ร่างที่เห็นเด่นชัดขึ้น รอยยิ้มเปลี่ยนไป เรือนร่างค่อยๆ แปรสภาพสูงขึ้นๆ จนติดเพดานห้อง กล้ามเป็นมัด ผิวสีน้ำตาลแก่ ใบหน้าบูดเบี้ยวอัปลักษณ์ เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด

เท้าขนาดปั้นจั่นย่อมๆ เหยียบบนยอดอกร่างอ้อนแอ้นบอบบาง มรรคาขยับตัวจะเข้าไปหาแต่ไม่สามารถทำได้ ทั้งร่างเหมือนถูกมัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ขาทั้งคู่ขยับดิ้นรน แต่ไร้ผล เขาทำได้เพียงเบิกตามองดูหญิงสาว ที่กำลังดิ้นรนใต้อุ้งเท้ามัน

ทิชาเทพ ใบหน้าเหี้ยมเกรียม แต่เสียงกลับไพเราะจนขัดหู ขนาดข้าทวนสัญญาให้แล้ว ก็ยังมิอาจทำให้เจ้าระลึกถึงอดีตชาติได้ หรือว่านี่เป็นกลลวงของเจ้า ที่จงใจหลอกข้าแต่แรก

มรรคาสงบใจพูดช้าๆ

เอาเถอะ ปล่อยกะพ้อไปก่อน แล้วฉันจะทำตามสัญญานั่นเอง หญิงสาวใต้อุ้งเท้ามันคือกะพ้อ

ปล่อยนังนี่มันเป็นเรื่องง่ายดายนักสำหรับข้า ถ้าไม่เห็นหน้า ทุกคนต้องคิดว่าผู้พูดเป็นบุรุษรูปงาม ใจงามคนหนึ่งทีเดียว แต่การที่เจ้าจะปล่อยข้าจากที่คุมขังสิ มันแสนยากเข็ญ แววตาปิศาจจ้าวฉายความกลับกลอก ไหนเจ้าลองบอกข้าทีสิว่ากฤตยามนต์ใด ที่เจ้าใช้ผนึกวิญญาณข้า และทำอย่างไร เจ้าจึงจะปล่อยข้าได้

มรรคาอึ้ง...ใช่...เขาไม่รู้...ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย คนที่ขังจ้าวคือทิชาเทพ และคนเดียวที่รู้วิธีปล่อยมันก็คือทิชาเทพ

ฉันไม่รู้ ชายหนุ่มตอบในที่สุด ทรุดตัวบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง บอกทีสิว่าแกมาที่นี่ทำไม

เวลานี้ไม่มีความหวาดกลัวใดเหลืออยู่อีกแล้ว

นอกจากมาเพื่อทวงสัญญาของเจ้า ข้าก็ต้องการบอกว่าวิญญาณอีกะพ้ออยู่กับข้า ตราบใดที่เจ้ายังไม่อาจคืนความทรงจำและยังไม่ไปปล่อยข้า อีกะพ้อจะโดนทรมานทุกวัน...ให้มันเจ็บปวดยิ่งกว่าจมอยู่ในนรก

มรรคาเกร็งมือจับขอบโต๊ะแน่น แววตาปวดร้าว

ดูสิว่าเจ้าจะทนให้หญิงที่รักและภักดีต่อเจ้ายิ่งชีวิต ต้องทนทุกข์ทรมานได้นานแค่ไหน

ไม่ ชายหนุ่มพูดอย่างเจ็บปวด ถ้าอยากทำร้ายใครละก็ ทำฉันสิ ทำไมต้องทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย

มรรคาอยากพูดจาขอร้อง วิงวอนต่อจ้าว...แต่ก็ไร้ประโยชน์ ร่างของมันเลือนหายอย่างช้าๆ ราวกับเย้ยหยัน เนิ่นนานกว่าชายหนุ่มทิ้งร่างบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ความเหนื่อยใจโถมทับดังพายุคลื่น เรื่องของปีกแก้ว เรื่องของกะพ้อ ทำให้สมองเขาตีบตัน จนหนทาง

...คิดไม่ออกก็เลิกคิด...สติเขาร้องบอก มรรคาวางความสับสนลง ชั่วขณะที่ใจผ่อนคลาย ใบหน้าหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวสมอง

...หลวงพ่อ...

เขารู้แล้วว่าใครจะช่วยคลายปัญหาให้เขาได้...

บอกเลิกนัดของผมทุกนัดจนถึงพรุ่งนี้ ใครมีเรื่องด่วนให้ปรึกษาประสิทธิ์ ตอนบ่ายพรุ่งนี้ ผมจะเข้ามาทำงาน

มรรคาสั่งกับเลขาหน้าห้อง ก่อนจะบึ่งรถออกจากกรุงเทพฯ ใจจดจ่อถึงที่วัดแล้ว...


วัดยังคงสงบร่วมเย็นเฉกเช่นเคยเป็นมา ตะวันโรยแสงลับทิวไม้ ท้องฟ้าสีครามจัด พระทยอยขึ้นศาลาเพื่อรวมสวดมนต์ทำวัตรเย็น มรรคาจอดรถไว้นอกวัด แล้วเดินเข้าไปหาพระภิกษุที่เพิ่งเดินมาถึงตีนบันไดศาลา

ผมมาพบหลวงพ่อเจ้าอาวาสครับ ไม่ทราบว่าท่านอยู่หรือเปล่า ชายหนุ่มคุกเข่าลงถาม

ท่านไปร่วมงานศพท่านอาจารย์...พรุ่งนี้คงกลับ

ใจมรรคาหล่นลงไปอยู่ปลายเท้า เรื่องหนักอกที่ต้องการมาระบายกับท่านเป็นอันว่าไม่สำเร็จ

มาจากไหนล่ะโยม เสียงถามค่อนข้างเบา

กรุงเทพฯ ครับ เขาตอบโดยใจยังโหวงๆ

ไกลเหมือนกันนะ ขับรถกลับตอนนี้มันจะไหวหรือ เพิ่งมาถึง

เขาคิดถึงปัญหานี้อยู่เหมือนกัน แรกทีเดียวตั้งใจมาขออาศัยนอนวัดสักคืน ได้พูดคุยกับหลวงพ่อ พรุ่งนี้ถึงกลับกรุงเทพฯ แต่เมื่อหลวงพ่อไม่อยู่แผนการเขาคงต้องล้ม

อย่าเพิ่งรีบกลับเลย พรุ่งนี้หลวงพ่อท่านก็มาแล้ว จะนอนที่วัดนี่ก็ได้นะ ไม่มีใครเขาว่าหรอก ภิกษุผู้อารีพูดราวเข้าไปอยู่กลางใจเขา

ครับ ถ้างั้นผมเห็นจะต้องขอรบกวน มรรคาตัดสินใจในที่สุด


ดึกสงัด...บนศาลาวัดเงียบสงบ แสงจันทร์สาดส่องลงมาแลเห็นเสาแต่ละต้นเป็นเงาตะคุ่ม สายลมโบกโบยพัดมุ้งสีขาวริมศาลาให้ปลิวเป็นระลอก ยอดไม้เอนไหวตัวซู่ซ่า จักจั่นแมลงราตรีเงียบเสียงนานแล้ว

มรรคาปูเสื่อนอนอยู่ในมุ้ง มีหมอนหนุนหัวเพียงใบเดียว อากาศกำลังสบายไม่หนาวไม่ร้อน เขาควรจะหลับนานแล้ว แต่นัยน์ตากลับลืมโพลงมองลูกกรงระเบียงไปยังความมืดเบื้องนอก ใจไม่ยอมหลับ ต่อให้หลับตาจะมีประโยชน์อะไร

เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด กระทั่งสายตาปะทะกับร่างขาวๆ เดินไหวๆ อยู่เบื้องล่าง จังหวะการเดินช้าๆ สม่ำเสมอ และจุดหมายอยู่ที่ศาลาแห่งนี้

มรรคามองตามจนร่างในชุดขาวนั้น ขึ้นมาบนศาลา คุกเข่าที่หน้าพระประธาน น่าแปลกที่เขาไม่ได้ยินเสียงไม้กระดานลั่น ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงฝีเท้า

เทียนจุดสว่าง ตามด้วยธูป ชั่ววินาทีนั้น ชายหนุ่มได้กลิ่นธูปหอมจรุงใจขึ้นมาทันควัน...กลิ่นมาก่อนปลายธูปจะโดนเปลวเทียนด้วยซ้ำ

ปักธูปใส่กระถางเรียบร้อย จึงค่อยกราบพระด้วยกิริยางดงาม จากแสงเทียนวับแวม มรรคาพอมองออกว่าร่างในชุดขาวนั้นเป็นผู้หญิง...อาจเป็นแม่ชี แต่เส้นผมสีดำขลับที่เกล้าเป็นมวยเรียบ ช่างคุ้นตาเขาเหลือเกิน

นิ่งสักพัก ก่อนจะมีเสียงสวดมนต์ดังกังวานขึ้น มรรคาขนลุกซู่ตลอดร่าง กระแสเสียงแห่งการสาธยายพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ดึงจิตเขาให้สู่ความสงบ ซาบซ่าน เสียงนี้กระตุ้นความทรงจำ

ครั้งที่มากับพันเกลียว เขาพบแม่ชีที่มีลักษณะเช่นนี้คนหนึ่ง และตอนที่มาครั้งแรก ปีกแก้วก็บอกว่าพบแม่ชีเช่นกัน ตอนนั้นหลวงพ่อพูดถึงชื่อชื่อหนึ่งออกมา ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ไม่นาน ชื่อนั้นก็เด่นชัดกลางใจ

...แม่ขาวจัน...

 


๑๕

เสียงสวดมนต์เงียบหายนานแล้ว แม่ขาวจันยังนั่งพับเพียบอยู่ที่เดิม อะไรบางอย่างกระตุ้นให้มรรคาเลิกชายมุ้งแล้วคลานออกมา เขาไม่แน่ใจว่าเป็นการเหมาะควรหรือไม่ แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกว่า แม่ชีกำลังรอเขา...

พื้นกระดานดังเอี๊ยดอ๊าดทั้งที่เขาพยายามคลานให้เบาที่สุด จนเกือบถึงหน้าพระประธานเขาก็หยุด และทรุดตัวนั่งพับเพียบเบื้องหลังแม่ขาวจันในระยะสมควร

เงียบกันอยู่นาน มรรคามองเพียงไหล่เล็กๆ ที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวสะอาดกับกรอบเส้นผมที่ถูกแสงเทียนจับเป็นเงามลังเมลือง

อยากฟังนิทานสักเรื่องไหม เสียงจากเบื้องหน้าดังขึ้นโดยเจ้าตัวมิได้หันมา

ครับ

นานมาแล้ว... เป็นการเริ่มต้นที่ไม่ผิดจากนิทานทั่วไป วิญญาณดวงหนึ่งเร่ร่อนมาแสนไกล ไม่อาจคาดกำหนดวันเวลาได้

ในอดีต วิญญาณดวงนี้เคยเป็นใครครับ

เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงตั้งคำถามนี้

วิญญาณดวงนี้เคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง แห่งนครที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เสียงเล่าแผ่วเบา คล้ายเป็นการย้อนทวนวันวานที่ล่วงผ่านมาแสนนาน ชีวิตของนางอยู่ท่ามกลางแสงสีอันแพรวพราย...ชายหนุ่มมากมายต่างหมายปองแต่นางก็มิได้ตกลงปลงใจกับใคร...จนกระทั่ง... คำพูดสะดุดชั่วครู่ ก่อนจะไหลเลื่อนราวสายน้ำในธารใส

วันหนึ่งนางไปซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำรวมกับเพื่อนสาวกลุ่มใหญ่ แล้วจู่ๆ ฟ้าที่ใสสะอาดกลับหม่นมัว หมู่เมฆดำที่มิรู้มาจากที่ใด ต่างกรูเข้าปิดบังแผ่นฟ้า และฝนก็เทกระหน่ำโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ทุกคนหาที่หลบฝนกันกระเจิดกระเจิง นางหลบเข้าไปใต้ชายคาบ้านใกล้ๆ ที่นั่นมีม้าและชายหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่ก่อนแล้ว...เมื่อนางเข้าไปหลบฝน ชายผู้นั้นจ้องมองนางอย่างตะลึงลาน จนครู่ใหญ่เขาจึงค่อยๆ ล้วงผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อมายื่นให้ นางมองเขาอยู่เนิ่นนาน ไม่กล้ารับ...แต่แววตาอ่อนโยน สัตย์ซื่อ จริงใจของเขารวมกับใบหน้าคร้ามคมสมชาย และคำพูดซื่อๆ เปี่ยมไมตรีงดงาม ทำให้นางตัดสินใจรับผ้าผืนนั้นมา...เวลานั้นในใจนาง เท่ากับเอื้อมรับน้ำใจจากเขาแล้ว...

ความรักของนางน่าจะราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใดแผ้วพาน ถ้าหากว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะไม่ใช่ขุนศึกของอีกนครหนึ่งและนครนั้นกำลังคิดก่อสงครามกับมาตุภูมิของนาง

คำพูดขาดช่วง น้ำเสียงมีกังวานสะท้านน้อยๆ

สงครามเกิดขึ้นและเมืองของนางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยับเยิน นางถูกจับเป็นเชลย เกือบจะถูกศัตรูร้ายย่ำยีเสียแล้ว ถ้าหากว่า เขาไม่มาพบเสียก่อน

ด้วยศักดิ์แห่งแม่ทัพ ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว...เขาช่วยนางจากทหารใจทรามและรับนางเข้าไปอยู่จวนแม่ทัพแทบจะยกย่องนางเป็นเมียเอก ถ้าไม่ติดว่านางคือเชลยศึก...แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทุ่มเททุกอย่างให้นาง ทั้งทรัพย์สิน ความรัก ความภักดี ไม่ยอมมีหญิงอื่น และไม่กล้าแตะต้องนาง จนกว่านางจะรับรักเขา

น่าเสียดายที่นางใจแข็งนัก...ก็ใครเล่าจะรักคนที่ทำลายบ้านเมืองตนจนย่อยยับได้ ตลอดเวลานางไม่เคยไยดีเขา ไม่เคยกระทั่งยิ้มให้ ไม่ว่าเขาจะทุ่มเทต่อนางปานใด หนำซ้ำนางยังสมคบกับพวกเชลยศึกระดับแม่ทัพวางแผนก่อกบฏชิงเมืองคืน...อนิจจาแผนการกลับล้มเหลว ถูกจับได้ ทุกคนถูกประหารสิ้น...ยกเว้นนาง

นางรอดตายเพราะเขายินยอมสละชีวิตแทน...วินาทีนั้นเอง ที่นางรู้ว่าได้รักเขาจนเต็มหัวใจ...รักมาแสนนานตั้งแต่แรกที่รับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น...เมื่อเขาตาย นางจึงขอตายตามเขา และก่อนตาย นางตั้งจิตอธิษฐาน ขอติดตามเขาไปทุกชาติภพ จะรักเขาไม่มีวันเสื่อมคลาย ไม่ว่าจะเกิดชาติไหน หรือเป็นอะไร จะขอติดตามรับใช้เขา ดุจทาสผู้ซื่อสัตย์ เพื่อตอบแทนความรักที่เขาให้มา...ความรัก ที่ไม่เคยได้ความไยดีจากนางเลย

เรื่องราวหยุดชะงัก ความเงียบซึมซาบเข้าไปทุกอณูความมืด

พอนางตาย วิญญาณก็ล่องลอยติดตามเขาไปทั่ว...แต่วัฏสงสารกว้างใหญ่เพียงใด เขาอาจเกิดเป็นเทพ พรหม มนุษย์ หรือกระทั่งตกในอบายภูมิทั้งสี่ มิมีผู้ใดทราบ นางก็ไม่ทราบ จึงได้แต่ติดตามอย่างไร้จุดหมาย ไม่เคยรู้ว่า เวลาล่วงผ่านนานเท่าใด นางต้องทนทุกข์ ว้าเหว่ เดียวดาย ท่ามกลางผู้ที่เร่ร่อน เกิดตาย...

จนกระทั่งนางได้พบเณรรูปหนึ่ง...กระแสอันอบอุ่นโยงใยนางไว้กับเณรรูปนั้น นางติดตามเณรไปตลอด ไม่ว่าจะเข้าป่า ธุดงค์ คอยมองดูเณรปฏิบัติธรรมวัตรจากครูบาอาจารย์ด้วยความเลื่อมใส แล้วจู่ๆ นางก็รู้ว่า เณรรูปนั้นคือเขา...แต่ทั้งนางและตัวเณรเอง ยังไม่สามารถติดต่อกันได้ รอจนเณรกลายเป็นพระ ปฏิบัติธรรมด้วยความเพียรเข้มข้น จนบังเกิดผลตามลำดับ...ในที่สุดภิกษุหนุ่มในขณะนั้น ก็ทราบว่านางเป็นใคร ติดตามท่านมาตลอดเวลาเพื่ออะไร...

ท่านกล่าวอโหสิกรรมแก่นาง และใช้เวลาหนึ่งคืนเพื่อเทศนาโปรดนางให้ขึ้นไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น นางซึมซับธรรมะจากท่านจนเกิดปีติ มีศรัทธาแรงกล้าจึงปวารณาติดตาม ถือศีล ปฏิบัติธรรมกับท่านจนกระทั่งถึงทุกวันนี้


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP