ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

จะแก้นิสัยที่เป็นคนโกรธนานและอยากเอาชนะผู้อื่นได้อย่างไร



ถาม - เวลาที่ผมโกรธก็ได้เห็นโทสะเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังคงโกรธต่อไปอยู่ดี
เหมือนกับแค่อยากจะเอาชนะอีกฝ่าย แบบนี้ควรทำอย่างไรครับ


อันนี้เป็นนิสัยของมนุษย์ทั่วไป อยากเอาชนะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เราไม่พอใจ
คือมนุษย์นี่จะชอบแข่ง แล้วก็ชอบเป็นผู้ชนะ ถึงได้มีเกมมีกีฬามาเล่นกันไง
แล้วเกมกับกีฬาก็เป็นแหล่งทำเงินขนาดใหญ่ที่สุดของโลกด้วย
นั่นพิสูจน์ได้ชัดเจนพอแล้วว่าคนเราชอบเห็นการแข่งขัน
แล้วก็ชอบเห็นคนชนะ โดยเฉพาะคนชนะที่แบบว่ากวาดเรียบทุกรางวัล
อันนี้จะเป็นที่ชื่นชมเป็นพิเศษ
นี้ก็เหมือนกัน ตัวเราถึงแม้ว่าจะไม่เก่งอะไรเลย
แต่ขอให้เก่งกว่าศัตรูคู่อาฆาตหรือคนที่เราไม่พอใจเถอะ
มันก็จะรู้สึกสะใจ รู้สึกว่าตัวเรามีตัวตนอะไรบางอย่างที่มีความหมายอยู่
อันนี้เป็นธรรมดา อันนี้เป็นธรรมชาติ



พอเราเห็นว่ารากของความอยากเอาชนะ ที่แท้มันก็คือการมีอัตตา
อยากจะมีตัวตน อยากจะให้ชาวโลกเขายอมรับ
ว่าตัวตนนี้ประมาทไม่ได้นะ “นี่เจ๋งนะ” “แน่อยู่นะเนี่ย” “ตัวโตเหมือนกันนะ”
หรือว่าอย่างน้อยที่สุดน่ะก็หยามไม่ได้
คือบางคนน่ะไม่ได้ถึงขนาดอยากจะเป็นผู้ชนะตัวโตๆ แต่ไม่อยากถูกหยาม
ไม่อยากถูกมองว่านี่ไก่อ่อน เป็นอะไรที่รังแกได้ง่ายๆ
ไม่มีใครอยากเป็นแบบนั้น มีแค่คนบางคนที่ยอมที่จะเป็นแบบนั้น
เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น
แล้วไม่สามารถที่จะโตไปกว่านั้นได้ ตัวเล็กอยู่แค่นั้นแหละ



ทีนี้มาพูดถึงประเด็นคำถาม คือว่ามันมีความรู้สึกว่าอยากเอาชนะจริงๆ
แล้วดูเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นว่านี่เป็นแค่โทสะ ผ่านมาแล้วผ่านไป
พยายามหายใจก็แล้ว พยายามจะเจริญสติอย่างไรก็แล้ว
ตัวอยากเอาชนะมันก็ยังฝังแน่นอยู่กลางอกอยู่อย่างนั้น
มันมีความคุกรุ่น มันมีความอยากระเบิดเป็นภูเขาไฟ
มันมีความอยากโน่นอยากนี่
เพื่อที่จะให้โทสะมันจบแบบที่อัตตาของเรามันจะได้บึ้ม
มันจะได้ระเบิด "บึ้ม!" เป็นที่ปรากฏกับโลก
บางคนนะ สังเกต คือไม่ได้อยากจะเถียงให้เอาเหตุเอาผลชนะคะคานอะไร
แต่ขอให้เสียงดัง ขอให้เสียงกร้าวกว่าคนอื่นเข้าไว้
หาอะไรมาพูดก็ได้ พูดแบบไม่รู้เรื่องเลยนะ ขอให้เสียงดังเข้าไว้
มันจะมีพอยต์ (
point) ที่อัตตาของแต่ละคนยึดไว้ว่านั่นคือชัยชนะ


ทีนี้เราก็สังเกตว่าชัยชนะในแบบของอัตตาเรา
มันอยากได้อะไรเป็นเป้าหมายสุดท้าย

คือดูดีๆ นะว่าวิธีที่เราเอาชนะ บางทีมันมีเหตุผล แต่บางทีก็ไร้เหตุผล
ทั้งรู้ว่าพูดไปนี่เราเองไม่มีเหตุผลแล้ว บางคนแกล้งพูดไม่รู้เรื่อง
แกล้งพูดอะไรก็ได้ให้เขาปวดหัว แล้วก็เหมือนกับยกธงขาวไปเอง
หรือบางคนโกรธแล้วอยากเอาชนะ คือพยายามหาข้อมูลหาข้อเท็จจริง
หาอะไรก็ได้ที่มันจะมาหักลบหักล้างกับเหตุผลในแบบของเขา
คือให้มองดู ให้มองให้เห็นว่าคำว่าชนะในแบบของอัตตาเรา ในสไตล์ของอัตตาเรา
มันต้องการอะไรเป็นที่หมายสุดท้าย
บางคนนะแค่เขาทำท่าอ่อนลงหน่อย ขอโทษขอโพย
โอเค ยอมให้อภัยได้ เพราะนั่นถือว่าเป็นชัยชนะแล้ว
พูดง่ายๆ เห็นเขายอมแพ้ เราก็จะหยุด
แต่บางคนขนาดเขาบอกว่ายอมแล้ว ไม่สู้แล้ว
โอเค ทุกอย่างเป็นความผิดของกระผมเอง ของดิฉันเอง
แต่เราก็ยังอยากจะกระทืบต่อ เอาให้จมดินหนักกว่านั้น ได้ทีขี่แพะไล่
มันแล้วแต่ว่าแต่ละคนสั่งสมอัตตาที่จะเอาชนะในแบบไหน



ถ้าเรามองเห็นจริงๆ ว่า มองเห็น ณ จุดเกิดเหตุนะ
ไม่ใช่มาสรุปเอาทีหลัง เพราะสรุปเอาทีหลัง คนเรามักเข้าข้างตัวเอง
แต่ถ้าหากว่าเราสามารถมีสติเห็นได้เลย
ว่า ณ ขณะที่เราโกรธ อยากเอาชนะ ขณะนั้นเราต้องการอะไรกันแน่

พอเห็นมันจะเกิดสติขึ้นมาวูบหนึ่ง
อย่างถ้าสิ่งที่เราต้องการคือการพูดออกปากว่ายอมแพ้
ถ้าเขาพูดเมื่อไหร่ว่า "ยอมแพ้" เราจบ
นี่คือเราเห็นแล้ว เรียกว่าเราเห็นธงของการอยากเอาชนะแล้ว



ทีนี้พอมีสติเห็นว่าเราต้องการสิ่งนั้น อัตตาแบบของเราต้องการสิ่งนั้น
ให้มองให้ชัดว่าสิ่งนั้นมีค่ามากพอที่จะทำให้เราดิ้นไม่หยุดหรือเปล่า

คืออย่างที่เมื่อกี้ผมสาธิตให้เห็นนะ เวลาที่เราเริ่มมีสติ เวลาที่เราอ่านใจตัวเองออก
ว่า ณ ขณะแห่งความโกรธ มันมีความดิ้นพล่านอยู่ในใจอย่างไร
มันจะเปรียบเทียบได้กับตอนที่ใจมันสงบนิ่ง
คือถ้าเมื่อไหร่ที่เราเห็นว่าใจ ณ ขณะโกรธ มันดิ้นพล่าน
ภาพของชนวนความโกรธ หรือว่าแม้กระทั่งธง อยากจะเห็นเขาพูดว่ายอมแพ้
มันจะหายไปจากหัว เหลือแต่อาการดิ้นพล่านที่ปรากฏชัดเด่นอยู่ข้างใน



คือเดิมเรามองไม่เห็นอาการดิ้นพล่านนั้น เพราะว่าภาพในหัวมันมาบังหมด
ความมืดที่เป็นธงของเรามันมาบดบังทัศนวิสัยทั้งหมดไว้
ทำให้เห็นแต่ว่านี่ฉันจะต้องเอาชนะ
ฉันจะต้องพยายามทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ให้ได้


แต่พอเราเจริญสติ หายใจทีหนึ่ง หรือว่ารู้ตัวว่ามีภาพธงอยู่ในหัวแบบไหน
แล้วเราเห็น นี่หายใจไปแล้ว ภาพธงของความอยากจะเอาชนะ
หรือว่าภาพอันเป็นต้นเหตุ มันเป็นแค่ความฟุ้งซ่านในหัว
ที่ถ้าแค่เราหายใจเข้าออกไม่กี่ที มันก็เห็นความแปรปรวนที่เกิดขึ้นในหัว
มันเกิดขึ้นได้มันก็หายไปได้ ความอยากที่จะเอาชนะมันจะหายตามไปด้วย
หายตามไปกับความรู้ความเห็นของเรา
แต่ถ้าไม่รู้ไม่เห็นว่าใจของเรากำลังดิ้นพล่านขนาดไหน
เปรียบเทียบกับตอนที่มันสงบๆ มันเลวร้ายกว่ากันเพียงใด
มันก็จะยังพุ่งทะยานต่อ พยายามเอาหัวเข้าไปโหม่งกำแพง
พยายามจะทำตัวเป็นวัวกระทิงที่ไปขวิดผ้าแดง



ซึ่งโดยสรุปก็คือว่าถ้าเรามีสติ เห็นเข้ามาให้ได้ว่าตัวเราต้องการอะไร
ภาพนั้นเป็นแค่ภาพในหัว แล้วจริงๆ มันเป็นแค่ความฟุ้งซ่านชนิดหนึ่ง
ถ้าเราเห็นว่าแต่ละลมหายใจมันไม่เท่าเดิมได้
ในที่สุดภาพนั้นมันก็จะไม่ติดในใจเรา
มันเกิดขึ้นแค่ในหัว แต่มันจะมาเกาะกุมจิตใจเราไม่ได้
มันจะมาครอบงำจิตใจของเราไม่ได้


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP