สารส่องใจ Enlightenment

สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐




งานคือการปฏิบัติธรรมในครั้งพุทธกาลมีเครื่องยืนยัน
แสดงขึ้นเป็นจำนวนมากแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายที่ทำงานเสร็จสิ้นลงไป
หมดภาระในงานทั้งหลายที่เกี่ยวกับการถอดถอนกิเลสอันเป็นภัยแก่จิตใจ
ท่านแสดงบทธรรมไว้ว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ
, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ.
คือพรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานได้เสร็จสิ้นแล้ว งานอื่นที่จะทำให้ยิ่งไปกว่านี้ไม่มี
นี่เป็นเครื่องประกาศในผู้ปฏิบัติด้วย สนฺทิฏฺฐิโก คือรู้ขึ้นมาเอง เห็นขึ้นเอง
เพราะงานของตนที่เกี่ยวเนื่องมาโดยลำดับ
ตั้งแต่ขั้นหยาบจนถึงขั้นละเอียดและละเอียดสุด
ได้หลุดพ้นไปจากจิตใจหมดโดยสิ้นเชิงแล้วประกาศธรรมบทนี้ขึ้นมา
ว่าการประพฤติพรหมจรรย์หรือการปฏิบัติธรรม หรืองานของธรรมได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว
งานอื่นที่จะให้ยิ่งไปกว่านี้ไม่มี คือได้รู้รอบขอบชิดหมดแล้ว



งานการปฏิบัติธรรมมีวันเสร็จสิ้น มีวันจบลงไปได้
ไม่ยืดเยื้อไม่ซ้ำๆ ซากๆ ตลอดไปตั้งกัปตั้งกัลป์จนหาที่ยุติไม่ได้
เหมือนงานของกิเลสจูงสัตว์โลกให้ท่องเที่ยวนี้เลย งานนี้ไม่มีทางสุดสิ้น
ถ้าปล่อยให้กิเลสจูงไปสักเท่าไรก็จะต้องถูกจูงอยู่เช่นนั้น
สถานที่ที่จะยุติเสร็จสิ้นลงไป ปลดเปลื้องอำนาจออกจากสัตว์โลกหมดแล้ว
สัตว์โลกทั้งหลายได้รับอิสระตั้งแต่บัดนี้ต่อไป…..ไม่มี
มีแต่ครอบกันอยู่เช่นนั้นทุกดวงวิญญาณ ด้วยอำนาจแห่งธรรมชาติที่ว่านี้แล
งานนี้จึงหาที่ยุติไม่ได้ หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ไม่มีจุดหมายปลายทาง
ไม่มีจุดที่จะยืนตัวหรือจุดที่เสร็จสิ้นลงไปได้
ผิดกันกับงานของธรรมที่ผู้บำเพ็ญทั้งหลายบำเพ็ญ
เมื่อเต็มภูมิแล้วยุติ คำว่าเต็มภูมิก็คือกำลังของธรรมมีเต็มที่แล้ว
สังหารสิ่งที่แทรกสิงอยู่ภายในจิตใจ
อันพาให้ท่องเที่ยวเกิดแก่เจ็บตาย อยู่ไม่หยุดถอยนั้น
ให้สิ้นลงไปเสียจนไม่มีเหลือ ก็เรียกว่าสิ้นสุด



งานของธรรมจึงมีเวลาสิ้นสุดได้ ถ้าผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจริงๆ
ไม่ว่าครั้งใดไม่ว่าครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ขอให้ได้ประพฤติปฏิบัติตามหลักแห่งสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้เถิด
จะไม่มีคำว่ากาลสถานที่ ใกล้ไกล
เพราะเป็นสัจธรรมคือความจริงประจำใจอยู่ตลอดเวลา
ประหนึ่งว่าท้าทายอยู่ภายในหัวใจของเราทุกดวงที่พอจะทราบได้ ก็คือมนุษย์เรา
เช่น ทุกข์ก็ประกาศอยู่ภายในกายในจิต เฉพาะอย่างยิ่งภายในจิต
ซึ่งออกจากเรื่องของสมุทัยคือกิเลสล้วนๆ ผลิตขึ้นมา
นี่ประกาศกังวานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีคำว่าอดหิวอ่อนเพลียก็คือกิเลสทำงานนั้นแล



ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องชำระซักฟอก หรือคัดค้านต้านทาน หรือสังหารกัน
ไม่เช่นนั้นธรรมชาตินี้จะไม่มีวันเสร็จสิ้นลงไปจากจิตใจของสัตว์โลกให้ได้รับอิสระได้เลย
ธรรมจึงเป็นคู่บ้านคู่เมือง คู่โลกคู่สงสาร จำเป็นเรื่อยมาแต่กัปใดกัลป์ใด ขาดอันนี้ไปไม่ได้
ถ้าขาดธรรมแล้วก็เรียกว่าสัตว์โลกจะหาที่ยุติไม่ได้
เพราะไม่มีช่องมีทางที่จะเป็นไปเพื่อความยุติ เพื่อความเต็มภูมิอำนาจวาสนาของตน
เพราะการสร้างความดีทั้งหลายจากอรรถธรรมที่ท่านแนะนำสั่งสอนแนวทางเอาไว้
และได้บำเพ็ญความดีมีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา เรื่อยมา
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างความดีไว้ เพื่อย่นวัฏจักรวัฏจิตให้สั้นเข้ามาเป็นลำดับลำดา



ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงได้มาตรัสรู้เป็นลำดับลำดากันมา
เรียกว่าเป็นคู่กันมากับโลกหรือกับกิเลส
คือธรรมนั่นละเป็นคู่แก้ไขเป็นคู่ต่อสู้เป็นคู่สังหาร หรือชะล้างกันมาเป็นลำดับลำดา
สัตว์โลกจึงพอมีทางให้ผ่านพ้นไปได้ หรือหนักก็กลายเป็นเบาลงได้
เพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องบรรเทาเป็นอย่างน้อย
และเป็นเครื่องสังหารเป็นอย่างมาก
เรียกว่าสุดจิตสุดคิดสุดอรรถสุดธรรม
ด้วยการสร้างบารมีเต็มภายในจิตใจแล้วกิเลสก็พังลงไป
นี่เรียกว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ด้วยอำนาจแห่งธรรมที่ตนบำเพ็ญมา



พระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้มานี้นับจำนวนไม่ได้
ในตำราท่านบอกไว้ว่ามากจนเราธรรมดานี้คณนานับไม่ได้เลย
เราอย่าพูดเพียงว่าเป็นล้านๆ ล้านๆ ยังมากกว่านั้นอีกเพราะโลกนี้มีมานานสักเท่าไร
เรื่องของธรรมก็มีมานานอย่างนั้นเหมือนกัน
เป็นแต่เพียงว่าเป็นวรรคเป็นตอน ไม่เป็นพื้นสายยาวเหยียดมาโดยลำดับลำดา
เหมือนกิเลสภายในจิตของสัตว์โลกเท่านั้น นี่ต่างกันที่ตรงนี้
คือระยะใดที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม ก็เท่ากับมีหมอมียามารักษาโรค
คนไข้ก็มีหวังที่จะบรรเทาและหายจากโรคจากภัยไปได้
ถ้าไม่ใช่โรคสุดวิสัยดังที่เราทั้งหลายก็ทราบกันอยู่แล้ว
นี่มีทางที่จะเป็นไปได้ มีหวังสำหรับคนไข้ เพราะมีหมอ เพราะมียา



ถ้าไม่มีเลย ปล่อยให้แต่โรคภัยไข้เจ็บเหยียบย่ำทำลายแล้ว
จะไม่มีวันปลงวางลงได้ มีแต่ความทุกข์ความทรมานอย่างเดียว
เพราะนอกจากโรคที่เป็นอยู่โดยลำพังแล้ว ยังมีสิ่งที่แสลงโรคเข้าไปอีก
ทำให้เพิ่มปริมาณเข้าไปจนหาจุดหมายปลายทางไม่ได้ นอกจากตายเสียเท่านั้น



ธรรมจึงเป็นความจำเป็นสำหรับโลกโดยหลักธรรมชาติ
ใครจะเชื่อว่าธรรมมีก็ตาม ไม่มีก็ตาม แต่ธรรมก็เป็นหลักธรรมชาติของตน
ไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือไม่เชื่อของผู้ใด เพราะไม่เป็นน้อยเป็นบ๋อยของใครทั้งนั้น
แต่เป็นหลักความจริงอันหนึ่งที่มีอยู่ประจำโลกนี้
ผู้มีความเฉลียวฉลาดท่านก็ขุดค้นขึ้นมา คุ้ยเขี่ยขึ้นมาบำเพ็ญขึ้นมา
จนปรากฏขึ้นเป็นองค์แรกก็คือพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
พอท่านคุ้ยเขี่ยขุดค้นของจริงในหลักธรรมชาตินั้นขึ้นมา
ปรากฏที่พระทัยคือใจโดยสมบูรณ์แล้ว
ก็ได้นำธรรมที่ประจักษ์ในพระทัยนั้นแหละออกสั่งสอนโลก
ซึ่งผู้มีอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารนั้น มีจำนวนไม่น้อย
ในแต่ละสมัยๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์ๆ



เมื่อทรงอุบัติขึ้นมาแล้ว ก็เท่ากับฝนโปรยลงมารดต้นไม้ใบหญ้า
ให้สดเขียวงดงามขึ้นเป็นลำดับลำดา
บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่มีภูมิวาสนาแก่กล้า
สามารถที่จะได้หลุดพ้นไปด้วยอรรถด้วยธรรมอยู่แล้ว
พอได้ยินได้ฟังอรรถธรรม
ซึ่งเป็นของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์จากพระทัยของพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ
ก็แย้มออกทันที เหมือนกับดอกบัวที่รอจะบานอยู่แล้ว
จิตที่รอกับธรรมอยู่แล้ว ที่จะรู้จะเห็นตามหลักความจริงเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็เช่นเดียวกัน
ท่านจึงเรียกว่า อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู
สัตว์โลกทั้งสองประเภทนี้ มีประจำโลกมาไม่ได้ขาดวรรคขาดตอนเลย
เป็นแต่เพียงว่ามีมากมีน้อย



เฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้นั้นแหละ
มาพอเหมาะกับจังหวะที่สัตว์โลกประเภทที่จะหลุดพ้นมีจำนวนมากนี้พอดี
ถ้าเป็นผลไม้ก็เป็นผลไม้ชนิดหัวปี นี่เป็นอย่างนั้น
ก็มาแนะนำสั่งสอน ผู้ที่มีระดับต่ำกว่านั้นก็ค่อยกระเตื้องขึ้นมาๆ
เพราะการได้ยินได้ฟัง การสร้างคุณงามความดี
ด้วยอำนาจแห่งการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา
เพราะทราบว่ามีบาปมีบุญ มีคุณมีโทษ จากพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนเรียบร้อยแล้ว
ย่อมมีความสนใจใคร่ต่อการปฏิบัติความดี
ความดีนั้นย่อมจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับภายในจิตใจของผู้บำเพ็ญนั้นๆ
แล้วก็เป็นการสร้างบารมีให้เสริมต่อขึ้นเป็นลำดับลำดา ขึ้นระดับนั้นระดับนี้เรื่อยไป



เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้บรรลุธรรมตามเสด็จพระพุทธเจ้าทัน
จึงมีจำนวนมากต่อมากในพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่มาตรัสรู้นั้น
และนอกจากนั้นท่านผู้ที่บำเพ็ญความดีทั้งหลายที่ยังไม่หลุดพ้น
ก็ค่อยเลื่อนขั้นเลื่อนภูมิขึ้นมาเป็นลำดับลำดา
นี่สัตว์โลกทั้งหลายมีหวังอย่างนี้ที่จะได้หลุดพ้น
เมื่อมีพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาโปรดสัตว์
ท่านจึงว่าโปรดสัตว์โปรดอย่างนี้เอง ดูเอาฟังเอา
พอพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ปรินิพพานไป ศาสนาหมดไป
ธรรมแม้จะมีอยู่ก็ไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาชี้แจงแสดงบอกสอน
และพอดีกับจังหวะที่สัตว์โลกกำลังมืดบอดมีจำนวนมาก
ไม่สนใจต่ออรรถต่อธรรมต่อบุญต่อบาป ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้มีอยู่
แต่สนใจไปตามความอยากความทะเยอทะยาน
อันเป็นเรื่องของกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจเป็นลำดับลำดาไป
เพราะฉะนั้นกิเลสภายในจิตใจของสัตว์จึงไม่เป็นกาลเป็นสมัย
เหมือนพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้เป็นกาลเป็นสมัยนั้น นี่ผิดกันที่ตรงนี้
แม้พระพุทธเจ้าองค์นั้นมาตรัสอีกก็ทำนองเดียวกันๆ
สัตว์โลกจึงมีทางที่จะหลุดพ้นไปได้เป็นลำดับลำดา
เพราะอำนาจแห่งความดีเป็นเครื่องปลดเปลื้องเป็นเครื่องบรรเทา
จนกระทั่งถึงได้สิ้นทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง ด้วยอำนาจแห่งธรรม
คือความดีทั้งหลายที่ตนได้บำเพ็ญ ซึ่งเนื่องมาจากการได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น



(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก พระธรรมเทศนา "สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์"
ใน ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม เทศน์ภาคปฏิบัติ
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP